จิตวิทยาในกัณฑ์เทศน์ไสยศาสตร์


จิตวิทยาในกัณฑ์เทศน์ไสยศาสตร์
กัณฑ์เทศน์นี้ พระปราโมทย์ได้แสดงไว้ด้วยตนเองที่สวนสันติธรรมเช้าวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันแรกที่มีชุมนุมกันหลังจากเกิดกรณีประกาศบ้านอารีย์ และมีการชี้แจงโต้กลับด้วย "คำชี้แจงสวนสันติธรรม" จำนวน 9-10 ฉบับ ซึ่งเขียนโดยสำนวนของพระปราโมทย์เอง และประกอบด้วยข้อมูลเท็จมากมาย (พระปราโมทย์มักอ้างในบางที่ว่า เป็นคำชี้แจงที่กรรมการสวนฯชี้แจงผ่าน wimutti.net โดยละไว้ให้คลุมเครือว่าใครเป็นผู้ร่างประกาศ) 
ผู้อัดเสียงกัณฑ์เทศน์นี้ (มีด้วยกัน 2 ช่วง) คือ ศิษย์สวนสันติธรรมผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่จับได้ถึงความหลอกลวงของพระปราโมทย์ในภายหลัง จึงนำเอาหลักฐานทั้งสองช่วงมามอบให้ผู้เขียนเพื่อเป็นประโยชน์ในการเผยแพร่ให้มหาชนรู้ทันถึงความฉ้อฉลหลอกลวงของพระปราโมทย์
ตัวกัณฑ์เทศน์ถูกแกะคำต่อคำ โดยไม่มีการตัดต่อมาแสดง ณ. ที่นี้ (โปรดตรวจสอบเทียบเคียงกับกระทู้พันธ์ทิพย์ ซึ่งมีผู้นำบางส่วนมา post และถูกคนสนิทของพระปราโมทย์มาขอให้ลบทันที และห้ามนำมาแสดงต่อสาธารณะชนอย่างมีเลศนัย) 
เนื่องจากพระปราโมทย์ได้พูดเรื่องหลอกลวงเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติเท็จของตนเองถูกเปิดโปง ด้วยการใช้เทคนิคทางจิตวิทยามากมายสอดแทรกอยู่ในการพูด ผู้เขียนจึงเห็นควรแทรกคำอธิบายและจุดสังเกตเพื่อขยายความให้ผู้อ่านที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ได้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และรู้ทันเทคนิคที่พระปราโมทย์มักใช้ความถนัดในทางภาษาและจิตวิทยามวลชน มาเป็นเครื่องมือหลอกลวงผู้อื่น
และถึงแม้คำอธิบายทางจิตวิทยาดังกล่าวจะถือได้ว่า เป็นความเห็นของผู้เขียน แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ
1) พระปราโมทย์พูดโกหกถึงเรื่องไสยศาสตร์มากมายเพื่อหลอกลวงให้ลูกศิษย์กลัว และไม่กล้าสอบถามความจริง
2) เรื่องไสยศาสตร์ดังกล่าว นอกจากจะน่าขันและเห็นได้ว่าเป็นเรื่องโกหกแต่แรกแล้ว ยังได้รับการพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเป็นเท็จ และไม่มีอยู่จริง จากพยานบุคคลหลายร้อยคนที่เดินทางไปมายังสวนพุทธธรรม และหลายพันคนที่เดินทางไปมายัง "แหล่งไสยสาสตร์" ที่พระปราโมทย์อ้างไว้ อย่าง บ้านอารีย์ และ สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี หลังจากวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๓
3) กัณฑ์เทศน์นี้ เป็นหลักฐานในตัวเองที่แสดงให้เห็นว่า พระปราโมทย์พูดโกหก เป็นคนหลอกลวง ไม่ได้มีคุณสมบัติใดๆของพระอริยะดังที่เพียรอ้างไว้ และกำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะปกปิดอะไรบางอย่าง
4) สำหรับผู้ที่อ่านหรือฟังแล้ว และยังเชื่อว่า สิ่งที่พระปราโมทย์พูดนั้นเป็นไปได้ โปรดกรุณาจดจำเหตุการณ์นี้ไว้เป็นสำคัญ เพราะเมื่อใดที่ท่านทราบแน่ชัดว่า เรื่องคุณไสยนี้เป็นเรื่องหลอกลวง จะได้มองย้อนกลับมาเห็นความฉ้อฉลหลอกลวงของพระปราโมทย์อย่างชัดเจนภายหลัง

ก่อนภัตตาหารเช้า วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๓ ณ สวนสันติธรรม
เจริญพรโยม...วันนี้ยังอยู่.... เวลาเราทำงานอะไรสักอย่างนะ มันอดมีอุปสรรคไม่ได้แต่เดิมลพ.นึกว่ามันแค่เวลาเราขยายงานไปแล้วมันไปขวางทางเขา คิดแค่นี้นะ เราก็ลดๆลงมาไม่อยากไปยุ่งกับใคร ...พิลึกกว่านั้นเยอะเลย ตอนนี้มันชัดแล้ว วางแผนกันเป็นปีๆอาศัยคนที่พวกเราเชื่อถือเข้าไปค่อยๆให้ข้อมูลทุกวันนะ มันลึกกว่านั้นอีก เป็นเรื่องแปลกนะ ในศตวรรษนี้ ในวันนี้ ไอ้วิทยาการประหลาดๆพวกนี้ยังมีอยู่อีก เรื่องสะกดจิตเรื่องอะไรพวกนี้เนี่ย น่ากลัวมากเลย ตอนนี้สิ่งที่จะช่วยพวกเราได้นะคือพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณนะ   ใคร ที่เค้าให้อะไรเรามานะ เอามาใส่ เอามากินอะไรพวกนี้ ที่ต้องมีข้อตกลงเป็นพิเศษให้ระวังนิดนึง วิชาคุณไสยอะไรพวกนี้มี เมื่อก่อนครูบาอาจารย์ท่านก็โดนเป็นแถบๆนะ หลวงพ่อก็โดน ใส่น้ำมาให้เรากิน พอจับขึ้นมานะ เน่าขึ้นมาเลย นี่ ทำให้คุ้มคลั่ง ถ้าหากเราสังเกตดู
(#1 พระปราโมทย์เริ่มต้นทันทีที่พบหน้าโยม ด้วยการอ้างแก้ตัวเป็นนัยว่า ตนบริสุทธิ์ กล่าวว่าแต่เดิมนึกว่าเป็นเรื่องขัดผลประโยชน์ (เป็นเทคนิคที่พระปราโมทย์มักใช้ใส่ร้ายครูบาอาจารย์ท่านอื่น เมื่อท่านชี้จุดผิดพลาดในการเผยแพร่ธรรมของตนเอง อย่างเช่นในกรณีพระอาจารย์สงบ มนัสสันโต ศิษย์โดยตรงของหลวงตามหาบัว พระปราโมทย์มักใช้เทคนิคนี้เพื่อให้ลูกศิษย์ลืมจับข้อผิดตน และหันไปปรามาสพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้บริสุทธิ์แทน โดยหาว่าหลวงพ่อสงบออกมาวิจารณ์เพราะท่าน "อิจฉา" หรือ "จงใจหาเรื่อง")
ในวันนั้น พระปราโมทย์พยายามเบี่ยงประเด็นที่ถูกประกาศบ้านอารีย์เปิดโปงว่า "เป็นพระโกหก เข้าข่ายปาราชิก และสอนผิดพร้อมแสดงรายละเอียดอย่างชัดเจน 8 ข้อ" ว่าเป็นเรื่องความแค้นคนบางคน และทั้งหมดเป็นการนำไสยศาสตร์มาใช้ควบคุมทุกคน ! / พร้อมอ้างตอนท้ายว่าตนเองมีความพิเศษ ไสยศาสตร์ไม่สามารถเกาะได้ / หมายเหตุ : มีข้อพิสูจน์และพยานบุคคลภายหลังถึงเรื่องน้ำดื่มที่ถูกนำมาอ้างว่า มีสีดำปน เนื่องจากมีผู้ใส่ไส้กรองคาร์บอนในเครื่องกรองน้ำที่สวนสันติธรรมผิดตำแหน่ง พระปราโมทย์จึงฉวยโอกาสนำมาเป็นส่วนประกอบในการแต่งเรื่องโกหกหลอกญาติโยมเรื่องคุณไสย)
เพื่อนๆเราปกติก็เป็นคนเรียบร้อยแล้วอยู่ๆรุนแรงขึ้นมา ผิดปกติแล้ว ตอนนี้มีเยอะด้วย ทีนี้พอกบฏแล้วก็จะบอกว่า จะบอกอะไรสามอย่างนะ จะต้องสาบานนะ อย่าบอกต่อ  เรื่องที่บอกไม่มีอะไรหรอก ที่คนเค้าด่าหลวงพ่อทางอินเตอร์เน็ต รายเล็กรายน้อย แต่พอฟังแล้วคลั่ง คลั่งแล้วเชื่อเลย นี่มีอยู่คนนึง มาบอกหลายคนแล้ว มันเรื่องธรรมดาๆนะ อย่างเรื่องหลวงพ่อเขียนอีเมลไปถึงดังตฤณ ว่าสาวๆสวนสันติธรรมน่าปล้ำ มันน่าปล้ำตรงไหนวะ เนี่ย แค่เนี่ยนะ ถ้าฟังแล้วเป็นคนปกติน่ะ ไม่เชื่อหรอก แต่ถ้าคลั่งแล้วนะ เชื่อแล้วมันรุนแรง แล้วอย่างถ้าใครเค้าให้อะไรเรานะ ให้อะไรเรานะ 
(#2  พระปราโมทย์ใช้เทคนิคพูดดักว่า คนอาจจะเปลี่ยนไปแล้วอาจพูดรุนแรง โดย"พูดดัก"ไว้ว่าโดนคุณไสย เนื่องจาก เป็นธรรมชาติของผู้ที่เพิ่งรู้ว่าตนเองถูกหลอกลวงและเสียเวลาเสียทรัพย์มาตลอด ซ้ำผู้ที่ศรัทธามาก มักถูกพระปราโมทย์ลวงให้หันไปปรามาสครูบาอาจารย์พระปฏิบัติชอบอย่างรุนแรง ทำให้เป็นบาปเป็นภัยกับตัว เมื่อรู้ทันจึงมักโกรธเคืองบ้างไม่มากก็น้อย / โปรดสังเกตว่า พระปราโมทย์พูดว่า คนที่อาจจะเปลี่ยนไปช่วงนี้ (เนื่องจากจับโกหกได้) ว่า "กบฏ"  - น่าแปลกว่าครูที่สอนธรรมโดยอ้างว่าเป็น "การให้" บ้าง อยากให้ศิษย์ได้ดีบ้าง แต่หากเขาเสื่อมศรัทธา ก็เรียกเขาว่าเป็น "กบฏ" ? / เรื่องนี้พ้องกับเทศน์ปลายเดือนมกราคม 2553 หรือ 1 สัปดาห์ให้หลัง ซึ่งผู้อยู่ในเหตุการณ์คงทราบดีว่า พระปราโมทย์เรียกคนที่จับได้และเปลี่ยนใจจากตนว่า "ทรยศ")
เช่นเอามาไว้ประจำตัว บอกห้ามถอดนะ ห้ามถอด ให้เอาสื่อของการบังคับจิตมา ห้ามถอด ที่ใส่แล้วห้ามถอด หรือฟังแล้วห้ามพูด มันเป็นไสยศาสตร์ เมื่อก่อนเราก็ไม่นึกนะว่ามันยังเหลือ เคยได้ยิน เพราะว่าหลวงพ่อเรียนมาจากทางสุรินทร์ ไม่ใช่เรียนไสยศาสตร์นะ ได้ยินจากครูบาอาจารย์ทางโน้นมา มันมีอยู่สองแบบที่ขึ้นชื่อลือชาที่ผ่านมาในอดีต 
(#3 พระปราโมทย์พูดครั้งที่ 1 เพื่อให้ญาติโยมนึกถึงของที่รับจากผู้อื่นมาใส่ (ประคำ) ว่าเป็นสื่อไสยศาสตร์ / และยังอ้างว่า "เรื่องที่ฟังแล้วห้ามพูด" เป็นไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นธรรมดา ที่ขณะนั้นใครสืบทราบว่าเรื่องที่พระปราโมทย์อ้างมาตลอดเป็นเรื่องโกหก ก็จะค่อยๆมาบอกเพื่อนให้ทราบ พระปราโมทย์จึงพูดหลอกโยมไว้ว่า ใครมากระซิบเรื่องอะไรเกี่ยวกับตน ต้องเป็นไสยศาสตร์ โยมจะได้กลัวและปิดหูปิดตา ไม่กล้ารับฟัง)
สุรินทร์กับพัทลุง นะ ขึ้นชื่อลือชาเลยว่า วิทยายุทธ์นี้เข้มแข็ง นี้เดี๋ยวนี้จะแข็งแค่ไหนก็ไม่รู้นะ ระวังไว้หน่อยก็แล้วกัน 
(#4 พระปราโมทย์เริ่มป้ายร้ายเรื่องคุณไสยให้กับโยมผู้หญิงคนหนึ่ง โดยกล่าวว่า ถ้าไม่มาจากสุรินทร์ ก็ "พัทลุง" โดยอ้างถึงชื่อจังหวัดเพื่อไปผูกโยงกับนามสกุลของโยมผู้หญิงท่านนั้น / มีการอ้างถึงสุรินทร์เอาไว้เพื่อช่วงหน้าจะได้บอกว่าตนเองไปรู้เรื่องมาจากที่ใด)
ดร.เอ๋ ระวังนะ  เวลาดูดูง่ายๆนะมันจะหมอง ดูเศร้าหมองบางทีก็ซึม บางทีก็ฟุ้งซ่าน บางทีก็คลั่งขึ้นมา สิ่งที่จะช่วยเราได้นะ หาน้ำมาสักแก้วนะ หาพระมาสักองค์นึง สวดมนต์ไป พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ทำน้ำมนต์กันเองก็ได้นะ ทำได้นะ ไม่ใช่ไม่ได้ มีคนๆนึง เมื่อวานซืน นอนอยู่กลางคืนนะ อยู่ๆก็มีอะไรวิ่งมากระทบบ้าน เปรี้ยงงง แต่เขาก็ไม่พูดอะไรไม่ทักทาย ทีนี้พอตอนจะหลับก็เคลิ้มๆ เห็นเด็กสองคนนะ ขอมาอยู่ด้วย บอกพอเค้ากำลังเคลิ้มแล้วเค้าก็โอเคนะ เข้าเลย เปิดประตูรับแล้ว เข้าเลย บอก ใจนี้มันคลั่ง มันได้ยินเสียงอะไรอุตลุดเลย คลั่ง ไม่รู้จะทำยังไงนะ เอาน้ำใส่แก้ว เอาพระใส่เข้าไปองค์นึง สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ อธิษฐานเอาเอง ขอให้น้ำนี้นะ ขจัดคุณไสยภัยพิบัติทั้งหลายให้ป้องกันตัว กินเข้าไปนะ หายนะ วิชาพวกนี้นะ ถ้าไม่ถึงขนาดยาสั่ง ลำพังพวกลอยๆมาพวกนี้พอสู้ได้ ที่สู้ยากคือยา มันทาง physical โง่ๆ ฟังแล้วโง่ๆ แต่ไม่รู้จะทำไง ก็ต้องบอกแล้วล่ะ สมัยหลวงปู่ หลวงปู่ดูลย์น่ะไปอยู่สุรินทร์ใหม่ๆ พระเจ้าถิ่นยุคนั้นไม่ชอบเลย พระกรรมฐานมาเดี๋ยวคนหันไปนับถือกันหมด  ไอ้ style นี้มีทุกยุคทุกสมัยนะ ใครเค้าทำดี คนเค้านับถือก็ไม่ชอบนะ หาทางฆ่านะ จะฆ่าหลวงปู่ดูลย์ ปล่อยใบมีดโกนมา เฟี้ยวๆๆๆมากลางคืนนะ มันก็ตกอยู่รอบกุฎิท่าน พอเช้ามาท่านเดินไปเก็บ เอาไปแจกพระได้  ประหลาดๆนะ งั้นลพ.แนะนำพวกเรานะ ไปอธิษฐานเอาเองนะ ไปทำน้ำมนต์กันเอง ขอคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่มีอย่างอื่นหรอกนะ ช่วยตัวเองป้องกันตัวเองไว้ก่อน ถ้าใครเค้าให้อะไรที่มันจะเป็นสื่อของการถ่ายทอดพลัง เอาออกซะให้หมด ทิ้งๆมันไป แต่ว่าเอาไปทำอะไรดี เอาไปทิ้งให้คนอื่น
(#5 พูดถึงโยมผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่นั่นให้มีส่วนร่วมโดยตรง พระปราโมทย์ใช้เทคนิคพูดชี้นำให้โยมเกิดอุปทานทางจิตตามได้ง่าย เพราะเคยชินกับการถูกทักจิตทักใจอยู่เป็นประจำ ซึ่งพอพระพูดปั๊บ โยมจะมองหาอาการในจิตตนเองทันที ถ้ามีอะไรคล้ายๆโยมก็จะจับเอาว่า อันนี้ใช่กระมัง แล้วเชื่อและกลัวตาม / ใส่รายละเอียด อ้างถึงสมัยครูบาอาจารย์ในเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เพื่อให้น่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นวิธีหลักที่พระปราโมทย์มักใช้ในการแต่งประวัติตนเอง / มีการอ้างถึงเรื่องการวางยา เพื่อให้โยมนึกห่วงถึงเรื่องอันตรายและการมุ่งร้ายต่อตนเอง เพื่อให้โยมเป็นห่วงและกระตุ้นให้เกิดความหวาดระแวง โกรธแค้นเพิ่ม / ทั้งหมดเพื่อให้โยมลืมสงสัยเรื่องอรหันต์ปลอม และความผิดฐานปาราชิกของตนเอง)

เดี๋ยวมันเอาไปใช้ ต้องเอาไปฝังซะละมัง วิชาการพวกนี้มันยังมีอยู่นะ เหมือนบางคนคุยกันดีๆนะ วันเดียวมันพลิกไปเลย กลายเป็นพฤติกรรมนะ บุคลิกภาพอะไรวันเดียวเปลี่ยนหมดเลย ต้องระวังให้ดีเชียวล่ะ (ดร.) เอ๋อย่าลืมไปทำนะ เอ๋นะ ดร.เอ๋น่ะแหละ มันไม่ได้ทำได้เฉพาะฆราวาสนะ กับพระมันก็ทำได้ บงการไป หลวงพ่อตั้งแต่อยู่ในวัดนี้นะ มีคนเอามาให้เรา ใส่มากับน้ำ ดีว่าพอมาเข้าใกล้เราแล้วมันสลาย เน่าไปเลย  น้ำเน่า เหม็นหึ่งเลย 
(#6 พระปราโมทย์พูดดักว่า หากใครรู้ความจริงแล้วพูดเปลี่ยนไป ไม่ศรัทธาตนเองต่อ ให้ถือทันทีว่าเป็นไสยศาสตร์ อย่าไปเชื่อ อย่าไปฟัง เพราะเขาตกอยู่ใต้อำนาจมนต์ดำ ! / เรียกย้ำโยมผู้หญิงอีกครั้งว่าให้กลัว เชื่อ และกลับไปทำตาม เป็นเทคนิคเพื่อให้ทุกคนเชื่อตามว่าคุณไสยที่เอามาโกหกนี้มีจริง และโยมผู้หญิงผู้นี่เป็นหนึ่งในคนที่โดนแน่ๆ / พระปราโมทย์ยังเริ่มพูดว่าพระก็โดนได้เพื่อใช้ประโยชน์ในการอ้างทีหลัง และอ้างซ้ำถึงคุณวิเศษตนเองอีกครั้งว่า ตนเองเป็นผู้รู้ ผู้วิเศษ ไสยศาสตร์ไม่สามารถทำอะไรได้ เพื่อเสริมภาพพจน์ความเป็นพระอรหันต์ผู้วิเศษของตนเอง โยมจะได้เชื่อเรื่องโกหกทั้งเรื่องนี้ง่ายๆ)
เอ้า แถลงข่าวพอสมควรแล้ว ไม่ใช่แถลงข่าวนะ ไม่ใช่ว่าใครเพียงแต่บอกว่า วันนี้ระวังตัวกันบ้าง เมื่อวันไหน วันวาน หรือวานซืน ก็มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งเรียกคนที่มากับท่าน ให้เหรียญ แม่ชีไว้เหรียญนึง บอกว่าครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ท่านเป็นหลักใหญ่ในยุคนี้ ท่านบอกว่ายุคนี้ ไสยศาสตร์เยอะ ท่านปลุกเสกเหรียญไว้สองอัน เราไม่มีเหรียญ เราเอาพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณนี้ไว้นะ ทำน้ำมนต์กินนะ สวดเฉยๆไม่พอหรอก บางทีมันเข้าไปข้างในแล้ว คราวนี้จะสั่งอะไร
(#7 พระปราโมทย์ใช้เทคนิคเสริมรายละเอียดเพิ่ม มีการอ้างของศักดิ์สิทธิ์จากครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่แบบเลื่อนลอย (ท่านที่ถูกอ้างถึงมีตัวตนจริงหรือไม่ / ท่านสามารถดูตัวอย่างที่ใช้เทคนิคคล้ายกันได้จากประกาศสวนสันติธรรม ฉบับที่ 1 ซึ่งอ้างครูบาอาจารย์มากมายแบบลอยๆไม่มีหลักฐาน ขัดกับนิสัยปกติที่จะเอ่ยชื่ออ้างเท็จตรงๆ) เพื่อมาย้ำให้โยมกลัวคุณไสยยิ่งขึ้น ว่าประมาทไม่ได้ เพื่อจะได้ตกอยู่ในความกลัวและหวาดระแวง คิดไปในทางเดียวที่ปลูกฝังให้ตลอดเวลา)
ก็ได้ สั่งอะไรก็ได้  ไอ้พวกมันมาจากความอาฆาตของคนๆหนึ่งเท่านั้นเอง วางแผนกันแรมปีเลย หลวงพ่อไม่ได้กลัวนะว่า เอาตำรวจมาพาเราไปขึ้นศาล อยากขึ้นมากเลย มีคดีอะไรว่ามาเลย ไม่กังวลเลยนะว่าจะไปตั้งอธิกรณ์ ตั้งมาเลยเราจะได้ไปชี้แจง เราก็มั่นใจนะในสิ่งที่เราทำ อะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ มันใส่ร้ายเรารายวันมาเป็นปีๆเแล้ว ที่ผ่านมาไม่
(#8 พระปราโมทย์พูดยกความผิดให้โยมผู้หญิงอดีตกรรมการซึ่งมักถูกนำมาใช้เป็นแพะรับบาปซ้ำอีกครั้ง พยายามบอกว่า ผู้ที่มาแย้งคำสอนของตนเองใน web ก่อนหน้านั้น, หลวงพ่อสงบที่เมตตาแย้งคำสอน, วัดป่าดอทคอมที่ยกเอาพฤติกรรมน่าสงสัยของตนมาแสดง, ประกาศสวนพุทธธรรมที่แยกตัวเรื่องคำสอนและพฤติกรรม, และสุดท้าย ประกาศบ้านอารีย์ซึ่งวิจารณ์ 2 ข้อ คือคำสอน และเรื่องโกหกในประวัติของพระปราโมทย์ ซึ่งมีหลวงพ่อมนตรีและคนในสวนพุทธธรรมเป็นพยานในเหตุการณ์ได้ ทั้งหมดเป็นการใส่ร้ายจากแผนของคนๆเดียว !! / พระปราโมทย์รู้ดีว่า มีหลายฝ่ายกำลังทราบและเริ่มเปิดโปงความเป็นอริยะปลอมของตน หากโยมไปถามและเริ่มพิจารณาความจริง ก็จะจับผิดตนได้ทันที จึงพยายามที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงและอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดเสียใหม่)
ตอบโต้นะ คราวนี้ก็เลยคิดว่าจะไม่ตอบโต้ หลวงพ่อจะไปศาลาลุงชิน เตรียมทำข่าวจับพระดัง ตอนเช้าออกรายการวิทยุก่อนนะวันนี้พวกเราจะช่วยกันไปปราบอลัชชี บอกงี้นะ ตอนสายจะไปจับเราที่ศาลาลุงชิน ข้อหาอะไรล่ะ การจับคนนี่นะ จับซึ่งหน้าเลย ถ้าความผิดซึ่งหน้านี้จับได้นะ แต่ถ้าไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า ส่งหมายจับหมายเรียกอะไรงี้ ไปไม่ได้ จับอะไรไม่ได้หรอก มีเวลานัดหมายนะ นี้ก็รู้ว่า จับหลวงพ่อไม่ได้หรอก แต่ต้องการให้เป็นข่าว แค่นั้นแหละ ตอนบ่ายก็เตรียมกันจัดแถลงการณ์แล้วนะ ๘ ข้อ เตรียมมาถล่มเรา ใครอ่าน ๘ ข้อบ้าง กรรมการ เค้าไปตอบกันแล้วนะ ในคำชี้แจงฉบับที่ ๙ ลองไปอ่านดู
(#9 พระปราโมทย์กล่าวถึงข่าวการจับกุมที่ไม่มีจริงอย่างเลื่อนลอย วกวนไปมาให้โยมที่ไม่รู้กฎหมายเชื่อ แสดงให้เห็นถึงการพยายามย้ำเรื่อง "คำชี้แจงสวนสันติธรรม ฉบับที่ 1" ซึ่งเป็นเรื่องเท็จให้เป็นจริง / มีผู้ตรวจสอบหลังจากนั้น และไม่พบการแจ้งความจับพระปราโมทย์ที่สถานีตำรวจไหนเลย / **วิธีอ้างเรื่องตำรวจเลื่อนลอยนี้ ใช้เพื่อเติมความโกรธเคืองว่าจะมีผู้จ้องทำร้ายตน ให้ลูกศิษย์ที่กลัวเรื่องคุณไสยอยู่แล้ว ให้เพิ่มความโกรธเพื่อรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเพื่อปกป้องอาจารย์ และเกลียดชังผู้วิจารณ์ จะได้ลืมเฉลียวใจเรื่องประวัติของพระปราโมทย์** / โปรดสังเกตว่า พระปราโมทย์เรียกการวิจารณ์วิธีการสอนของตนเอง และการเปิดโปงเรื่องโกหกเกี่ยวกับสวนพุทธธรรมของตนเองว่าเป็นการ "ถล่ม" แทนที่จะเป็นการ "เปิดโปง" หรือ "เข้าใจผิด" อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อเพิ่มความเกลียดชังและให้ผู้ฟังปฏิเสธเนื้อหาไปโดยไม่รู้ตัว)
หลวงพ่อยุบกรรมการหมดแล้วนะ กรรมการที่มีรายชื่ออยู่ตอนนี้เลิกไปหมดแล้ว เค้าหลุดออกไปไม่ได้แล้ว อันตราย ถูกข่มขู่ ถูกอะไรสารพันเลย ดังตฤณยังโดนเลย คือเล่นทุกวิถีทางนะ ไสยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กระยาสารท มันเอามาเลย ทำไม ถ้าหากว่าหลวงพ่อสอนผิดใช่มั้ย พระกับพระก็มาบอกกันสิ อุปัชฌาย์อาจารย์ของเราก็มี ก็บอกกันสิ ใช่มั้ย เออ ไม่ใช่โวยวายๆ มันผิดตรงไหน ลองไปอ่านดูนะ แถลงการณ์ฉบับที่ ๙ เฮ้ย ไม่ใช่ คำชี้แจงฉบับที่ ๙ อย่างบอก 
(#10 พระปราโมทย์อ้างปลดกรรมการหมด โดยให้เหตุผลลอยๆ เพื่อพยายามบอกญาติโยมเป็นนัยๆว่า กรรมการที่ออกเป็นเพราะถูกข่มขู่ เป็นเทคนิคการ "รักษาหน้า" และลดความสงสัยของญาติโยม ว่าที่จริงแล้ว กรรมการที่ออกรู้ความจริงอะไร / ซึ่งตรงกันข้ามกับความจริง เพราะหากใครสามารถติดต่อกับกรรมการที่ลาออกมาได้ จะทราบทันทีว่า กรรมการทั้งหมดออกเพราะจับได้ว่า พระปราโมทย์โกหกหลอกลวงมาตลอด และเหตุที่ออกพร้อมๆกัน ก็เพื่อลดโอกาสการถูกป้ายร้ายเป็นรายบุคคล ที่เห็นตัวอย่างในกรณีโยมผู้หญิงอดีตกรรมการ / กรรมการทั้งหมดรู้นิสัยและพฤติกรรมของพระปราโมทย์ดี และความพยายามป้ายร้ายโยมผู้หญิงท่านนี้ซ้ำอีกในสถานการณ์นี้ ทั้งๆที่เป็นผู้เดินออกจากสวนสันติธรรมไปนานแล้ว ก็เป็นการยืนยันว่า ท่านเหล่านี้ รู้จักนิสัยฉ้อฉล ชอบป้ายร้ายของพระปราโมทย์ และคาดเดาได้อย่างถูกต้อง / ภายหลังมีผู้วิจารณ์ว่า สาเหตุแท้จริงที่พระปราโมทย์ปลดกรรมการหมดในคราวเดียว ก็เพราะไม่สามารถไว้ใจกรรมการที่เหลือได้อีก  ไม่แน่ใจว่า จะมีใครทราบความจริงและลาออกตามอีกหรือไม่ เพราะหากเกิดเหตุการณ์เพิ่มเติม ก็จะเป็นการย้ำให้คนสงสัยว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นภายใน และออกสืบถามหาความจริง)
หลวงพ่อไม่ไปบิณฑบาต เราไม่สะดวกนะ บิณฑบาต อย่างอยู่เมืองกาญจน์นะ บิณทุกวันเลย บิณไกลเลย แต่หลวงพ่อมีปัญหา น้ำหนักมันเยอะแล้วและข้อเท้า ข้อเท้ามันเคยบาดเจ็บ เดินไปแป๊ปเดียวก็เดินจะไม่ได้ไปหลายๆวัน มาอยู่นี่คนเยอะ ไปก็กลับมาไม่ทันสอนแล้ว หอบ เดินแล้วก็หอบ ทำอะไรนิดหน่อยก็หอบ ก็ต้องประหยัดออมแรงไว้สอนน่ะ แล้วหลวงพ่อฉันอาหารอะไร ฉันอาหารบิณฑบาตนะ เอาบาตรตั้งไว้ ลูกศิษย์ไปบิณฑบาตมา มาใส่บาตรเรา ครูบาอาจารย์ท่านก็ใช้วิธีนี้ ไม่ใช่ท่านไม่ใช้ งั้นใส่ความเราได้ทุกประเด็นๆ บอกที่นี้ไม่ทำวัตรสวดมนต์ เค้าก็ทำกันทั้งนั้นแต่เค้าไม่ได้ทำรวมกัน หลายวัดท่านก็ทำแยกกันนะ ไม่ได้ทำรวมกันเพราะว่าไม่ให้คลุกคลีมาก เอาเวลาส่วนใหญ่ไว้ไปภาวนา เนี่ย
(#11 พระปราโมทย์แก้ตัวเรื่องบิณฑบาตรซ้ำ แสดงให้เห็นชัดว่ารับรู้ในเนื้อความ "คำชี้แจงสวนสันติธรรม" ทุกฉบับ / ความจริงที่ทราบกันในวงในสวนสันติธรรมคือ พระปราโมทย์เป็นผู้ร่างประกาศทุกฉบับเอง บางฉบับมีปัญหาทางด้านการควบคุมอารมณ์จนต้องกลับไปแก้ไข (ฉบับ 8 ) / แก้ตัวเรื่องการบิณฑบาตรซึ่งถูกวิจารณ์ในลักษณะที่ไม่รักษาพระวินัย จากจำนวนหลายๆข้อที่พระปราโมทย์ไม่นิยมรักษาอยู่แล้ว บิดบังความเกียจคร้านของตนเองด้วยการอ้างเรื่องสุขภาพ และกลับเอามาอ้างขอความนิยมเป็นอามิสกับโยมว่า เอาแรงไว้สอนพวกเขา (มีพฤติกรรมต่างจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระป่าแท้ๆเป็นอย่างยิ่ง ที่หลายๆองค์เดินไม่ได้ หรือชราภาพมากๆ ท่านยังบิณฑบาตรในรถเข็นให้พวกเราเห็น) / โปรดสังเกตว่า ถึงพระปราโมทย์จะพยายามกล่าวแก้ตัวในแทบทุกอย่าง แม้ในเรืื่องข่าวลือเลื่อนลอยและไม่ค่อยมีคนสนใจอย่าง email ลามก แต่กลับไม่ยอมกล่าวถึง เรื่องที่ตนเองโกหกทั้งหมดในประกาศบ้านอารีย์ข้อ 7 ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด / **และเหตุที่ไม่กล้าอ้างถึง ก็เพราะชี้แจงไม่ได้ และเหตุที่แต่งเรื่องคุณไสยมาขู่ญาติโยมทั้งหมด ก็เพื่อให้ลืมประเด็นเหล่านี้ **)
 ใส่ร้ายเราไปเรื่อยเรื่องกระจุ๊กกระจิ๊กๆเยอะแยะเลย ไม่ไหว ไม่น่ารัก ไม่น่ารัก ไม่น่ารักภาษาบาลี
(*****พระปราโมทย์จะพูดอยู่เนืองๆว่า คำว่า ไม่น่ารัก ภาษาบาลี คือ อัปรีย์*****  / ไม่ = อัป  น่ารัก = ปิยะ  อัปปิยะ คือ ไม่น่ารัก หรือ อัปรีย์ (สันสกฤต) โปรดตรวจสอบจาก Google หรือพจนานุกรม)
(#12 แทนที่จะเกิดความละอายที่ตนเองเป็นสมณะ แต่กลับบกพร่องในวินัยสงฆ์เป็นนิจ พระปราโมทย์กลับกล่าวหาผู้วิจารณ์ตนเองว่า "จับผิด" หรือ "ใส่ร้าย" / และแทนที่พระปราโมทย์จะประพฤติตนสมเป็นพระสงฆ์ด้วยการให้ความเคารพแก่พระวินัยที่พระบรมศาสดาทรงบัญญัติไว้ให้เป็นศาสดาแทนพระองค์ และมองเห็นการผิดพระวินัยแม้เพียงเล็กน้อยเป็นเรื่องใหญ่ กลับบอกว่าเป็นเรื่องจุกจิก เล็กน้อย  ! / ซ้ำสุดท้าย พระปราโมทย์ยังถือโอกาส ระบายอารมณ์ไม่พอใจเพราะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยการแฝงด่าโยมลงท้ายประโยค ซึ่งเป็นจุดที่ผู้อ่านทุกท่านควรสังเกตให้ดี)
พวกเราจำไว้อย่างนะ หลวงพ่ออาจจะถูกบีบ ถูกยำ ถูกอะไรก็ได้ ไอ้เรื่องขึ้นศงขึ้นศาลอะไรเราไม่กลัวหรอก เรามั่นใจ ตั้งแต่บวชมาเราไม่เคยทำความชั่วอะไร ก่อนบวชก็ไม่เคยคิดจะทำชั่วนะ ไปขุดไปคุ้ยไปอะไรแต่งเรื่องมาก็เยอะ คนรุ่นเก่าๆเป็นพยานได้ทั้งนั้นนะ โยงไปโยงมา ถึงขนาดว่าบทความเก่าๆ ที่เขียนสมัยเป็นฆราวาสนั้นโกหกไม่จริงหรอก ไม่จริงได้ยังไง ตอนที่เราอยู่กับหลวงปู่ดูลย์นะ ไม่ได้คุยกับหลวงปู่ตามลำพัง มีพยานนะ คือ หลวงพ่อพุธกับหลวงพ่อ หลวงพ่อพุธท่านรู้เรื่อง ท่านถึงสั่งให้ไปเขียน พอหลวงพ่อไปเขียนลงหนังสือไปแล้วนะ อีกเดือนนึงไปหาท่าน ท่านก็ "โอ้ มาแล้วเหรอ คนเอาหนังสือมาให้หลวงพ่ออ่านตั้งหลายคนแน่ะ แล้วมาถามว่าใคร หลวงพ่อก็ตอบว่าเค้ามาเรื่อยๆแหละ แต่วันนี้ไม่มา" ครูบาอาจารย์ท่านก็เป็นพยาน แต่ว่าตอนนี้ท่านก็สิ้นไปแล้ว เราไม่รู้ว่าใครได้ยินบ้างมาเป็นพยานแวดล้อม ตอนนั้นปี ๒๗ หลวงพ่อพุธยังแข็งแรง คนเข้าหาท่านเยอะแยะเลย หนังสือนี่เป็นหนังสือที่ well-known (เป็นที่รู้จัก)ท่านได้รู้ได้เห็นแน่นอน ท่านไม่เคยท้วงนะ นี่พยายามตีเราทุกเรื่องเลย ดิสเครดิตไปเรื่อย เราไม่สนใจเครดิตหรอก แต่ว่าเจตนาไม่ใช่เจตนารักษาพระธรรมวินัยแล้ว เฮ้อ บ่นมาก อย่าว่ากันนะ เอกสิทธิ์ในการบ่นเป็นของคนแก่ อยากบ่นมาหลายวันแล้ว พระสงฆ์องค์เจ้าก็โดนนะ เออ พระอาคันตุกะ บางองค์มาก็มี โอ้ วิทยายุทธ์นะ เข้มแข็ง 
(#13 พระปราโมทย์ย้ำว่าตนเองกำลัง "โดนทำร้าย" อีกครั้ง (ถูกทำร้ายจากประกาศบ้านอารีย์ ซึ่งวิจารณ์คำสอนตามตรง และแจ้งว่าเขาพบแล้วว่า ท่านแอบโกหกหลายเรื่องมานาน ?) / พยายามนำเอาข่าวลือมาประกอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อให้คนลืมประเด็นในประกาศบ้านอารีย์ หาว่าเป็นอคติทั้งสิ้น / พยายามให้โยมเผลอลืมประเด็นปาราชิกและอดีตเท็จของตนเอง ยกเรื่องไสยศาสตร์มากล่าวยืดยาว เพื่อให้โยมกล้วมากๆ เมื่อเดินกลับออกไปแล้ว จะได้ไม่กล้าเดินทางไปถามหลวงพ่อมนตรี / สุดท้ายแก้ตัวว่า เรื่องคำขู่, ป้ายร้าย, เสี้ยมให้โกรธ, เรื่องโกหก, การเบี่ยงประเด็น, คำกล่าวย้ำเรื่องคุณไสยซ้ำๆ นี้ ทั้งหมดตนเองพูดเพียงเพราะเป็น "เรื่องบ่นของคนแก่")
เอ้า เปลี่ยนๆๆมาเรียนธรรมะ คนแก่นะ ขี้หลงขี้ลืม เกิดอะไรขึ้นนะ ไม่ต้องตกอกตกใจ อย่ายึดหลวงพ่อ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่หลวงพ่อบอกพวกเราไว้ ธรรมะจะอยู่กับเราตลอด เราพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่าสิ่งที่หลวงพ่อพูดน่ะ จริงหรือปลอม พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติดู ถ้าชีวิตเราเปลี่ยนแปลงได้นะ มันก็ของจริงน่ะ มันดีขึ้น กิเลสน้อยลง ทุกข์น้อยลง ถ้าหากปฏิบัติแล้วเลวสารพัดจะเลวเลย ก็ไม่จริงหรอก ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองนะ อย่างตอนนี้ หลวงพ่อก็สบายใจอย่างนะเราจะเป็นจะตายอย่างไรไม่สำคัญ สิ่งที่หลวงพ่อบอกไว้เรื่องการเจริญสติน่ะ รู้สึกตัวขึ้นมา รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง เอาว่าพร้อมกันซิ มีสติรู้กายรู้ใจ ดูจิตที่ตั้งมั่นตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จำไว้นะ หลวงพ่อตายก็ไม่สำคัญ ธรรมะต้องอยู่ คนตายได้ อธรรมมันจะชนะตลอดกาลเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้คนซึ่งได้รับประโยชน์ได้รับความสุขจากที่มาฝึกกับหลวงพ่อนี้เยอะแยะเลย เขียนจดหมายมาก็เยอะนะ ไปลงหนังสือพิมพ์ก็มีนะ อะไร ซีเคร็ตเล่มใหม่ๆนี้ก็มี เราก็ไม่เคยอ่านหมด มันซีเคร็ตอ่านไม่ได้ ไปดูวามลับคนอื่น พวกเราสำรวจตัวเองก็แล้วกันนะ สำรวจตัวเอง ไม่ต้องมาบอกว่าหลวงพ่อถูกหลวงพ่อผิดหรอก เอาแค่ว่าปฏิบัติตามแล้วดีขึ้นมั้ย ถ้าได้แค่นั้นหลวงพ่อจะอยู่ หลวงพ่อจะไม่อยู่ไม่สำคัญเลย ธรรมะต้องอยู่ อยู่ในใจคนนั้นแหละ การปฏิบัติจริงๆไม่มีอะไรมากนะ ให้พวกเรามีสติขึ้นมา มีสติระลึกรู้ลงในกาย มีสติระลึกรู้ลงในใจ ให้พวกเรามีสติของตนเอง รู้ไปสบายๆ รู้ด้วยจิตใจที่สบาย ด้วยจิตที่ใจตั้งมั่น จิตใจที่เป็นกลาง รู้อย่างนั้นเรื่อยไป ถ้าเราไม่ลืมกายลืมใจนะ แล้วคอยรู้กายรู้ใจ เค้าทำงานไปตามที่เค้าเป็น ถึงวันหนึ่งอย่างไรก็ต้องเห็นความจริง เหมือนเราจะคบใครสักคนนึงนะ เราเห็นฉาบฉวย นานๆเห็นครั้งหนึ่ง เราไม่รู้จริง จะต้องอยู่ใกล้ชิดกัน อยู่ด้วยกันนานๆ อยู่ด้วยกันใกล้ๆ อยู่ไปๆ โอ้ คนนี้มีศีลหรือไม่มีศีล ดูออก การปฏิบัติเหมือนกันนะ เราหัดรู้กายรู้ใจเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็ดูไม่ออก ความจริงของกายเป็นยังไง ความจริงของใจเป็นยังไง ดูความจริง ไม่ใช่ไปดัดแปลง ถ้าเมื่อไหร่เราลืมกาย ถ้าเมื่อไหร่เราลืมใจ เมื่อนั้นเรียกขาดสติ เมื่อไรลืมกาย เมื่อไรลืมใจ เมื่อนั้นหลงไปอยู่ในโลกของความคิดปรุงแต่ง เราก็ไม่สามารถรู้กายรู้ใจได้ แต่ถ้าเมื่อไรมีสติขึ้นมาใจมันอยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจที่อยู่กับเนื้อกับตัวนั่นแหละ จิตที่มีสัมมาสมาธิ พวกเราวาดภาพสมาธิ มากเกินความจำเป็น สมาธิจริงๆก็คือความตั้งมั่นของจิต จิตที่มีความตั้งมั่น พูดภาษาไทยง่ายๆ ก็คือจิตใจที่อยู่กับเนื้อกับตัวนั่นเอง ไม่ลืมเนื้อลืมตัว เมื่อจิตใจไม่ลืมเนื้อลืมตัวนะ ไม่หลงไป ขาดสติลืมเนื้อลืมตัวจิตใจอยู่กับตัวเองบ่อยๆ อย่าไปเพ่งให้มันนิ่ง ถ้าเราไปเพ่งให้มันนิ่ง เช่นเรารู้ลมหายใจจนกระทั่งร่างกายนิ่งจนหยุดหายใจ บางคนเพ่งจนจิตนิ่ง เมื่อกายนิ่งจิตนิ่งแล้ว อะไรล่ะ จะแสดงไตรลักษณ์ จะไม่มีอะไรแสดงไตรลักษณ์ให้ เพราะฉะนั้น เราต้องไม่ไปเพ่งให้มันนิ่ง เราต้องปล่อยให้มันทำงาน ด้วยการตามรู้มันด้วยจิตที่ตั้งมั่น จิตตั้งมั่น จิตเป็นกลางไม่เข้าไปแทรกแซง คอยรู้อยู่อย่างนั้นบ่อยๆไป ยังไงก็ต้องเห็นความจริงอยู่เนืองๆ ฉะนั้นเรามีสติรู้กายรู้ใจ ถ้ารู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางมันจะรู้ลงตรงความเป็นจริง แต่ถ้ารู้ด้วยจิตไม่ตั้งมั่นนะ จิตถลำไป จิตไหลไป จิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เช่นเราหายใจไป จิตไปอยู่ที่ลม ก็ลืมโลกไปเลยอยู่กับลมอย่างเดียว โลกนี้ มีแต่ลมหายใจ อันนั้น ไม่ใช่การเจริญปัญญา เป็นการทำสมถกรรมฐาน แต่เราคอยรู้สึกตัว เราเห็นร่างกายเราหายใจ ใจเป็นคนดู จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู มันก็จะเกิดปัญญาว่าร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่ตัวเรา เป็นอัตโนมัติเลยนะ เป็นอัตโนมัติ จิตใจก็เหมือนกันนะ เราตามดูมันไป ถ้าเราไปเพ่ง จิตนิ่ง ถ้าจิตนิ่ง จิตไม่แสดงไตรลักษณ์ให้ดู กี่วันๆมันก็นิ่งอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นการปฏิบัติอย่าไปเพ่งให้จิตนิ่งนะ ปล่อยให้มันทำงานแล้วตามดูมันด้วยจิตที่ตั้งมั่น อาการที่ตั้งมั่นกับการที่นิ่งเฉยๆอยู่คนละส่วนกัน จิตตั้งมั่นเป็นคนดู สบายๆ แต่สภาวะธรรมมันเลื่อนไหลอยู่ตลอดเวลา สภาวะธรรมมันเลื่อนไหลอยู่ตลอดเวลามันจะเห็นเลยโลกนี้เป็นภาพมายา เป็นสิ่งลวงตา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ใจซึ่งเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ อยู่ต่างหากนะ เป็นอิสระจากปรากฏการณ์นั้น ก็จะเห็นปรากฏการณ์ได้ชัด ถ้าใจเราถลำไปในปรากฏการณ์เราจะเห็นปรากฏการณ์ไม่ชัด ยกตัวอย่าง อย่างเราดูฟุตบอล ถ้าเรายืนดูในกลางสนามนะ หลบลูกฟุตบอลมั่ง หลบนักฟุตบอลมั่ง เราจะเห็นจิตนั้นไม่ชัดนึกออกมั้ย เราอยู่บนอัฒจันทร์เราดูได้ชัด เวลาขึ้นชก ชกมวยน่ะ สังเกตเห็นมั้ยว่าคนชกมวยเก่งอยู่ที่ไหน อยู่ข้างเวที เอาอย่างนั้นสิ เอาอย่างนี้สิ ถ้าหลวงพ่อเป็นนักมวยนะ บอกมึงมาชกเองสิ ???กล้าเผชิญอยู่ในสถานการณ์นี้มันเมามันนะ การทำกรรมฐานก็เหมือนกัน ถอนตัวออกมาซะ อย่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ปล่อยให้กายนี้ใจนี้มันทำงานไปเราถอนตัวออกมาอย่ามีส่วนเกี่ยวข้องดูมันทำงานไป ดูมันทำงานไปเรื่อยๆ ไป ถ้าดูไปเรื่อย ต่อไปก็เห็นความจริง มันทำของมันได้เอง จิตใจของมันก็คิดเอง ปรุงเอง เราบังคับมันไม่ได้ ถ้ามันมีเหตุมันเป็นไปได้เอง เพราะงั้นเราค่อยๆฝึกไป ค่อยๆดูของจริงไปเรื่อย วันนึงเราจะเห็นความจริง ถ้าเมื่อไรเราเห็นความจริงนะ ร่างกายนี้ ไม่ใช่เราหรอก ความจริงของมันมันเป็นวัตถุมีธาตุเคลื่อนไหวไหลเข้าไหลออก อยู่ตลอดเวลา นี้ความจริงของกาย ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ความจริงของจิตก็เหมือนกัน มีแต่ความไม่เที่ยง เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เคลื่อนไหวตลอดไม่เที่ยง  แล้วก็บังคับไม่ได้ บังคับไม่ได้หมายถึงอะไร หมายถึงว่ามันเป็นไปตามเหตุ ถ้ามีเหตุมันก็เป็นถ้าไม่มีเหตุมันก็ไม่เป็น 
ทีนี้ถ้าเราฟังว่าบังคับไม่ได้ มาแปลว่าบังคับไม่ได้แบบภาษาไทยนั้นจะไม่เข้าใจ คำว่าอนัตตานั้น หมายถึงว่า ไม่เป็นไปตามใจอยาก ไม่เป็นไปตามใจปรารถนาแต่เป็นไปตามเหตุ เหตุตั้งอยู่อย่างนี้นะ อนัตตา มันเป็นไปตามเหตุ อย่างเรานั่งสมาธิเราเพ่งให้จิตนิ่งได้มั้ย เพ่งได้ แต่ว่าไม่ใช่ว่ากูเก่งๆ แต่เป็นเพราะว่าเราทำเหตุให้จิตนิ่ง ถ้าทำเหตุให้จิตนิ่งนะ จิตก็นิ่ง การที่เราพุทโธๆๆไปเรื่อยๆนี้เราทำเหตุให้จิตจะนิ่ง จิตก็นิ่ง เรารู้ลมหายใจไปเรื่อย ทำเหตุที่จิตจะนิ่ง จิตก็นิ่ง สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุ ถ้าจิตของเราฟุ้งซ่านคิดโน่นคิดนี่ สั่ง นิ่ง ไม่นิ่งหรอก สั่งไม่ได้นะ สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุ กระทั่งจะดับไฟใช่มั้ย ไฟจะไหม้ก็เพราะมีเหตุ แต่เหตุให้ไฟไหม้มันมีเชื้อเพลิงอยู่ มีการจุดประกายไฟขึ้นมามีออกซิเจน ก็มีคนดู แต่คนดูไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวกับไฟไหม้ เวลาที่เค้าจะดับไฟ เค้าจะดับเหตุของไฟนะ ไม่มีใครดับตัวไฟ ไฟไหม้เพราะอุณหภูมิสูง เอาน้ำไปฉีด อุณหภูมิลดลงไฟก็ดับ ไฟไหม้เพราะมีเชื้อเพลิง ไฟก็ลาม มาตึกแถว ไหม้มาเรื่อยๆ รื้อไปซักห้องสองห้อง ไฟไม่มีเชื้อเพลิงที่จะไหม้ต่อ ไฟก็ดับ หรือไฟไหม้ลุกเลย ??? เคยเห็นมั้ย ไฟไหม้ในตัวถังข้างหน้า ไฟพุ่งๆขึ้นมา เอาโฟมไปฉีด มันไม่มีออกซิเจน ไฟก็ดับ แม้กระทั่งดับไฟนะ มันก็ดับเหตุของไฟ พระพุทธเจ้าท่านก็เหมือนกัน สอนให้เราดับทุกข์นะด้วยการดับเหตุของทุกข์ เนี่ยความลึกซึ้งของท่านอยู่ตรงนี้ซึ่งคนทั่วไปมุ่งไปดับตัวทุกข์โดยตรงซึ่งมันไม่มีทาง ตัวทุกข์เป็นผล เราดับที่ตัวเหตุ เนี่ยธรรมะลึกซึ้งนะ ค่อยๆเรียน ไม่ใช่ว่า ทำๆไป เดี๋ยวก็แจ้งแล้ว แจ้งอะไร แจ้งโมหะสิ ทำๆไป ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมะเผื่อฟลุก เป็นธรรมะที่สมบูรณ์ด้วยเหตุด้วยผล ใครที่ฟังแล้ว อุทานนะ แจ่มแจ้งนักพระเจ้าข้า ไม่ใช่มีอุทานนะ งงนักเจ้าข้า ไม่ใช่เป็นอย่างนั้นนะ แจ่มแจ้ง ธรรมะของพระพุทธเจ้ามันสมบูรณ์ด้วยเหตุด้วยผล ท่านไม่ได้สอนให้เราดับทุกข์ท่านสอนให้เราดับเหตุของทุกข์ วิธีดับเหตุของทุกข์อะไรคือเหตุของทุกข์  ตัณหา คือความทะยานอยากของจิตคือเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรที่อยู่เบื้องหลังของตัณหา อวิชชา อยู่เบื้องหลังตัณหา ถ้าดับตัณหา ที่ตัวตัณหา ทุกข์ก็ดับแต่ดับชั่วคราวเพราะเหตุของตัณหายังมี นึกออกมั้ย เหมือนเราเห็นไฟไหม้แล้วเอาน้ำไปฉีดนะ เออ มันดับไปแล้ว เหตุของมันยังอยู่คือมันยังคุอยู่ข้างล่าง เดี๋ยวมันก็ไหม้ขึ้นมาอีก สิ่งที่อยู่หลังตัณหาคืออวิชชาความไม่รู้แจ้งอริยสัจ ฉะนั้นท่านสอนให้ลงมาดับความไม่รู้อริยสัจ ความไม่รู้อริยสัจข้อที่ ๑ คือ ไม่รู้ทุกข์ สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ก็คือ ขันธ์ ๕ คือรูปธรรม นามธรรม คือกายคือใจ คำว่ากายกับคำว่ารูปไม่ตรงกันทีเดียวนะ แต่ว่าอาศัยเรียกไปก่อน อย่างเรารู้สึกนี่เป็นมือ เป็นอะไร นี่แขนของเรา นี่เป็นร่างกายของเรา รูปจริงๆมันเป็นท่อนๆ เป็นวัตถุ เป็นธาตุ  เพราะฉะนั้นบางคนก็ท้วงหลวงพ่อว่าควรจะใช้คำว่ารูป อย่าใช้คำว่ากาย บอกน่า รู้กายไปก่อน ถ้าจิตตั้งมั่นแล้วมันจะเห็นรูป เริ่มต้นด้วยรูปแล้วไปรูปๆอย่างนี้ ฟังไม่รู้เรื่อง เนี่ย เราต้องล้างความเห็นผิด ความไม่รู้ในทุกข์คือความไม่รู้ในรูปนาม ในขันธ์ ๕ ในกายในใจ คือในสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา ไม่รู้ว่าอะไร ไม่รู้ว่าไม่ใช่ตัวเรา ไม่รู้ว่าตัวเราจริงๆไม่มี ยังคิดว่ามันเป็นตัวเรา เพราะฉะนั้นเรารู้ลงในตัวทุกข์นี้แหละ การที่เรามีสติ รู้ทุกข์รู้กายรู้ใจ มีสมาธิมีจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง รู้ไปเรื่อย มีสติ มีสมาธิ ปัญญาก็เกิด 
ทีนี้ก่อนจะมีสติมีสมาธิได้นะ ก็ต้องมีอะไร มีความเห็นถูกก่อน รู้ทฤษฎี มีสัมมาทิฏฐิ  พูดภาษาแขกแล้วแปลยาก ถ้าพูดภาษาฝรั่งแปลง่าย บางคนเค้าว่าอีกว่าเราใช้ภาษาต่างด้าว โธ่ ภาษาบาลีมันก็ต่างด้าวเหมือนกันน่ะ สัมมาทิฏฐินะ ภาษาอังกฤษคือ ไรท์เทออรี่ (Right Theory) ทฤษฎี ทิฏฐิก็คือ ทฤษฎีนั่นเอง สัมมาก็คือ ถูกต้อง นี่ทฤษฎีที่ถูกต้องก็คือรู้วิธีการปฏิบัติ นี่ ต้องเรียน เรียนจากครูบาอาจารย์เรียนจากพระพุทธเจ้า เรียนจากคัมภีร์ คือการเรียนปริยัตินั่นเอง เรียนแล้วก็ต้องวางใจให้ถูกต้องคิดให้ถูกต้องมีดำริชอบ ถ้าอยากพ้นทุกข์จริงๆต้องมีดำริชอบ ถ้าเราดำริว่าเราจะทำกรรมฐานเนี่ย เพื่อจะอยู่กับโลกนะ เสพกาม เพื่อย่างโน้นเพื่ออย่างนี้ ไปไม่รอดหรอก ไม่ถึงมรรรคผลนิพพาน เราต้องมีความดำริชอบ ดำริชอบก็คือดำริออกจากกาม นี่สำหรับคนที่มุ่งมรรคผลนิพพาน จะเอาชีวิตนี้ให้จบ ออกจากกาม ถ้ายังไม่ออกจากกามก็อยู่ในกามในขอบเขตที่ไม่ผิดศีลธรรม ไม่พยาบาท 
(#14 พระปราโมทย์พูดว่า "หลวงพ่อไม่เป็นไร อย่าห่วง" เพื่อ "หยอด" ให้ญาติโยมห่วงและเห็นใจ ในฐานะ "ผู้ถูกกระทำ" อีกครั้ง / จากนั้นจึงเริ่มพูดธรรมะหลังจากให้ความสำคัญในการ "ขู่ให้โยมกลัว ยั่วให้โยมโกรธ" เป็นสิ่งแรกตั้งแต่พบโยมเช้านั้น / อีกทั้งพยายามชี้ให้โยมเห็นชัดว่า ตนเองมีประโยชน์ และมีบุญคุณต่อโยมมาก เพราะมีคนเห็นด้วยและชมมาก็มากมาย / บิดวิธีการพูดถึงสิ่งที่ตนเองสอนจาก "กรรมฐานลัดสั้นที่ทำให้ถึงมรรคผลนิพพานได้ง่ายๆอย่างแน่นอน" ที่เคยเป็นข้อโฆษณากับญาติโยมมาตลอด ชวนให้โยมหันมาเน้นแค่ "จิตใจดีขึ้นก็น่าพอใจแล้วนะ เดี๋ยวคงดีเอง" เนื่องจากแรงกดดันภายนอกที่เริ่มชี้ให้เห็นว่า "สอนผิด" / ***โปรดสังเกตว่า เป็นผู้พูดผู้เดียวกับที่เพิ่งพูดสิ่งที่อาจจัดได้ว่าเป็น "อธรรม" ไปมากมายเมื่อครู่***/ คำอรรถาธิบายในการสอนกรรมฐานต่อไปนี้ มีที่ผิดหลายจุด แต่ผู้้เขียนจะขอไม่วิจารณ์ในที่นี้)
โห หลวงพ่อกำลังเจอ ภาพยนตร์ ชุดวิญญาณพยาบาท ไม่คิดเบียดเบียนล้างผลาญ บอกก็ต้องเจอภาพยนตร์ชุดนี้ เนี่ย ถ้าใจเรามุ่งไปจริงๆนะ มีความดำริชอบ มีศีล มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา คือศีลข้อ ๔ พูดความจริง ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ส่อเสียดคือพูดให้เค้าแตกกัน วัด???หลวงพ่อนี้ ส่อเสียด นึกออกมั้ย นี่หรือชาวพุทธ นี่หรือชาวพุทธ ใส่ร้ายกัน พูดคำหยาบ หยาบมั้ย ที่ด่าเรา ทางอินเตอร์เน็ต พูดเพ้อเจ้อ เพ้อมั้ย นะ ศีล ให้มี สัมมากันมันตะคืออะไร ศีลข้อ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ สัมมาอาชีวะ คือการดำรงชีวิตอย่างสะอาดบริสุทธิ์ เป็นฆราวาสต้องทำมาหากินไม่โกงเค้า ถ้าคิดแต่จะโกงๆ ก็ไม่มีสัมมาอาชีวะ นี่สิ่งเหล่านี้เป็นการปูพื้น ปูพื้นทำให้เราเจริญสติง่าย มีสัมมาสติ ทีนี้มีสติแล้วอย่างเดียวไม่พอต้องมีจิตที่ตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่น จิตที่ใจที่อยู่กับเนื้อกับตัว สติมีอยู่สองอันนะ เวลาที่มีสติ คือ สติออกนอก เช่น เราเห็นพระพุทธรูป ใจเราก็ปลื้ม ศรัทธาในพระพุทธเจ้า นี้สติไปอยู่ที่พระพุทธเจ้า เป็นกุศลเหมือนกันแต่ไม่ใช่สติที่จะเจริญปัญญา งั้นตัวที่จะใช้เดินปัญญานี้เรียก สติปัฏฐาน ท่านอธิบายสัมมาสติด้วยสติปัฏฐาน จะทำสติปัฏฐานนี้จิตต้องตั้งมั่น เรียกว่ามีสัมมาสมาธิ มีจิตตั้งมั่น พอมีสติรู้รูปธรรมนามธรรมไป มีจิตที่ตั้งมั่นอยู่ ปัญญาจะเกิด เกิดปัญญา พอจิตตั้งมั่นนี้เรียกสัมมาสมาธิ มีความเพียร พอมีความเพียร มีสติรู้สภาวะทั้งหลายด้วยจิตตั้งมั่นและเป็นกลางเรื่อยไป เรียกว่ามีความเพียร นี่ฝึกอย่างนี้บ่อยๆไป เราก็จะเห็นของจริงนะว่า โอ้ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวเราหรอก ขันธ์ก็เป็นแค่สภาวะธรรมไม่ใช่ตัวเรา เมื่อมันไม่ใช่เราแล้ว ความทุกข์ไปอยู่ที่ไหน ความทุกข์ไปอยู่ที่ขันธ์ ในเมื่อมันไม่ใช่เรา เราก็ไม่ทุกข์ 
งั้นถ้าเมื่อไรนะ เราภาวนา ... ใครทำพวกเราวอกแวก จิตใจทำไมแตกไปหมด อ้อ พระถือไม้กระบองเข้ามา ดูสิ ธรรมะหายไปหมดเลย แค่เห็นพระองค์เดียว มีสตินะ มีสัมมาสมาธิ รู้เนืองๆ เรียกสัมมาวายามะ มีความเพียรชอบ ถ้ามีสตินะก็มีความเพียรชอบเมื่อนั้น ความเพียรชอบก็คือ เพียรละอกุศลที่มีอยู่ เพียรปิดกั้นอกุศลที่ยังไม่เกิดอย่าให้เกิดขึ้นได้ ถ้ามีสติอยู่แล้วมันละเอง มันปิดกั้นเอง เช่นทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด เช่นทำกุศลที่เกิดแล้วให้งอกงามไพบูลย์ มันจะเพิ่มขึ้นๆ เวลาฝึก ฝึกอย่างนี้นะ มีสติ รู้ไปเรื่อย รู้สภาวะไปเรื่อย ความเห็นชอบมันก็มีอยู่ในตัว แต่อย่าขี้เกียจก็แล้วกัน ในที่สุดมันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะเกิดสัมมาทิฏฐิในภาคปฏิบัติ คือรู้แจ้งเห็นจริง เบื้องต้นเป็นสัมมาทิฏฐิในภาคปริยัติ อาศัยการฟังเพื่อให้รู้วิธีปฏิบัติ พอลงมือปฏิบัติแล้วต่อมาเกิดสัมมาทิฏฐิตัวจริง สัมมาทิฏฐิตัวจริงนี้แหละ เป็นสัมมาทิฏฐิในอริยมรรค สัมมาทิฏฐิประเภทฟังหลวงพ่อพูดนี้ยังไม่ใช่สัมมาทิฏฐิในอริยมรรค เป็นแค่เบื้องต้นเท่านั้นน่ะ ให้รู้ทาง ถ้าเรารู้นะ เราจะดูๆออกไปเรื่อยๆ ปัญญาของเรานะ อยู่ในมือเรา 
(#15 เมื่อเห็นว่าเปลี่ยนบรรยากาศไปพอสมควร พระปราโมทย์ก็กลับมากล่าวร้ายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ว่าเป็น "ความพยาบาท" ของโยมผู้หญิงท่านเดิม ซึ่งตกเป็นเป้าหมายของการส่อเสียด ว่าร้าย นินทาโดยพระปราโมทย์อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดินออกจากสวนสันติธรรมไปเมื่อหลายปีก่อน / พระปราโมทย์ยังยกเอา มรรค 8 มาใช้เป็นเครื่องมือส่อเสียด ว่ากล่าวผู้เกี่ยวข้อง ลากผู้ฟังออกจากเนื้อความประกาศบ้านอารีย์ที่ชี้ชัดว่า ตนเองโกหก เป็นพระหลอกลวงและต้องอาบัติถึงปาราชิกแล้ว / ในขณะที่พระปราโมทย์กล่าวสอนญาติโยมถึงมรรค 8 การกระทำของพระปราโมทย์เองก็แสดงให้เห็นถึงความขาดคุณสมบัติในมรรค 8 อย่างชัดเจน)
จรรยารู้สึกตัวมั้ย ใจมันลอยๆ (โยมจรรยา พูดโต้ตอบกลับมา แต่เสียงฟังไม่ชัด) เอาออกซะเลย นั่นแหละ คือสื่อล่ะ (พูดโต้ตอบฟังไม่ชัด แต่มีคำว่า ลูกประคำ) ใช่นั่นแหละ เจออีกคนนึงแล้ว คือมันกระจัดกระจายไปหมดแล้ว ต่อไปเวลาเค้าจะสะกดจรรยา จรรยาก็บอกไปว่า เคยมาปล้ำกับหลวงพ่อ จะใช้วิธีนี้แล้ว เอาออกซะนะ จรรยา มันคือสื่อซึ่งตอนนี้ คนที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือนะ (หมายถึง แม่ชีอุไร ชมแขไข - หลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร) ท่านก็ไม่รู้ตัวหรอก เลิกซะ แล้วไปทำน้ำมนต์กินอย่างที่หลวงพ่อบอกนะ จู้ โบว์ โดนนิดหน่อยนะ ข้างหลัง สามสี่คน พยายามรู้สึกตัวเรื่อยๆ อย่าให้เคลิ้ม  (โยมด้านหลังพูดโต้ตอบมาซึ่งฟังไม่ชัด) ใช่ มันจะกดจิตเราไว้ตลอดให้เราเป็นทาสมัน (ฟังไม่ชัด) ทิ้งออกไปนะ ไม่ ต้องระวังนะ มันจะเล่น ไม่รู้ตัวเลย เอา พวกเราไปกินข้าวนะ ต้องกับเอ๋นะ มันหมอง 
(#16 พระปราโมทย์กลับมาย้ำขู่ให้โยมกลัวมากที่สุดก่อนจบช่วงแรก / ชี้โยมผู้หญิงและขมวดปมเรื่องลูกประคำที่เริ่มอ้างไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง / ใช้เทคนิคอ้างถึงโยมหลายๆคนพร้อมๆกัน เพื่อ "อำ" ให้นึกว่ามีคนที่โดนคุณไสยมาจริงๆหลายคน พร้อมอวดอ้างให้โยมนึกว่าเป็นผู้รู้จริงไปในตัว ด้วยการกล่าวว่าโยมบางคน "โดนแค่นิดหน่อย" แต่บางคนก็ "โดนมาก" / รีบอ้างถึง "ท่านที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ" เพื่อให้โยงขมวดให้โยมเข้าใจตรงกันว่า แหล่งแพร่ไสยศาสตร์ที่พูดยืดยาวมาตั้งแต่ต้นคือ สวนพุทธธรรม-ป่าละอู (ที่ซึ่ง พระปราโมทย์กำลังกลัวที่สุด ว่าญาติโยมจะไปถามความจริงเรื่อง ตนเองโกหกจริงหรือไม่ ตามเรื่องข้อ 7 ในประกาศบ้านอารีย์ 3 วันก่อนหน้า พอดี) / ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญหรืออำนาจอภิญญาแต่อย่างใด เพราะพระปราโมทย์ทราบมาก่อนชี้แล้วว่า ญาติโยมไปรับประคำมาจากป่าละอู เพียงแต่ไม่ทราบลึกกว่านั้นว่า ประคำนั้นได้มาจากหลวงปู่ฟัก วัดเขาน้อยสามผาน จันทบุรี พระวิปัสสนาจารย์สำคัญที่หลวงตามหาบัววางใจเป็นมาก มอบมาให้ท่านแม่ชีอุไรโดยตรง / ในทางตรงกันข้าม เรื่องนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า พระปราโมทย์ไม่ได้มีอำนาจอภิญญาอะไรอย่างที่โกหกมาตลอดเลย จึงสั่งเผาประคำศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว เพื่อใช้เป็นเครื่องมือป้ายร้าย และขู่คนไม่กล้าไปถามเรื่องอดีตที่แท้จริงของตนที่สวนพุทธธรรม / หลังจากมีความแตกตื่น และญาติโยมถูกหลอกให้ชวนกันเผาประคำ ผ่านไปหลายวัน จึงเป็นที่ทราบกันว่า ที่จริงเป็นประคำจากหลวงปู่ฟัก / จากนั้นจึงมีความพยายามอย่างมากในการหาคนและเครื่องมืออย่างกล้องเกอร์เลี่ยน (ภายหลังถูกวิจารณ์จากชาวหว้ากอ-พันทิพย์ว่าเป็นกล้องลวงโลก) เพื่อมาอ้างแก้ว่า เป็นเพียง "บางเส้น" ที่มีคุณไสย พร้อมทั้งร่วมกันกุเรื่องที่มาของประคำ "บางเส้น" นี้ใหม่ / ปัจจุบัน หลวงปู่ฟัก วัดเขาน้อยสามผาน ยังกรุณาตอบคำถามต่อญาติโยมที่ไปถามเรื่องลูกประคำ ด้วยประโยคสั้นๆที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา ว่า "เป็นของอาตมาเอง")
**** โปรดสังเกตว่า พระปราโมทย์ใช้เรื่องคุณไสยกับศิษย์ภายใน และอ้างว่า หลวงพ่อมนตรี ถูกคุณไสยครอบงำ *โดยไม่รู้ตัว* แต่กลับบอกบุคคลภายนอกว่า กรณีบ้านอารีย์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องพระยุคเก่าและยุคใหม่ *อิจฉาความสำเร็จซึ่งกันและกัน* - เป็นการโกหกคนนอกด้วยเหตุผลอย่างหนึ่ง และหลอกคนในด้วยเหตุผลอีกอย่าง โดยมีจุดประสงค์เดียวกัน คือ ปกปิดหลักฐาน ที่จะพิสูจน์ได้ว่าตนเองอ้างเป็นพระอริยะปลอม และต้องอาบัติปาราชิกแล้ว /ปัจจุบัน กัณฑ์เทศน์นี้เอง จึงเป็นหลักฐานพิสูจน์ความกลับกลอก หลอกลวง ชิ้นใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งของพระปราโมทย์ โดยไม่ต้องอาศัยหลักฐานอื่นประกอบ ****
(มีตำรวจเข้ามา) ตำรวจจะมาจับหลวงพ่อรึ อ้อ ตำรวจมาดูแลความเรียบร้อย ที่จริงวัดเราเรียบร้อยที่สุดเลย นิมนต์เลยครับนิมนต์ อาจารย์สุรวัฒน์ คุณแต๋ม อ๊า ชมพู มา (เรียกเข้าไปคุยในห้องพักส่วนตัวด้านหลัง)
(#17 สวนสันติธรรมจัดตำรวจเข้ามา "ดูแลความเรียบร้อย" เพื่อสร้างภาพว่า พระปราโมทย์กำลังเป็นผู้ถูกกระทำหรืออาจถูกปองร้าย (แทนที่ภาพจริงของการเป็นพระหลอกลวงผู้กำลังกลัวถูกเปิดโปง) / การจัดตำรวจเข้ามา ทั้งๆที่อ้างในประกาศชัดเจนว่า กำลังถูกแจ้งจับ ดำเนินคดี ทำข่าว ขึ้นศาล ? หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นจำเลยคดีอาญาผู้เรียกตำรวจมาคุ้มครอง ? ทำให้เป็นเรื่องที่น่าสับสนว่า หากเป็นเรื่องจริง ตำรวจชุดนี้ หรือชุดใหม่ควรจะเป็นผู้จับพระปราโมทย์ และหากพบกัน ทั้งสองชุดจะควรจะวางท่าทีอย่างไร ควรจะช่วยกัน หรือขัดกัน ?/ ปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 4 เดือนนับแต่ประกาศบ้านอารีย์ ตำรวจชุดที่ถูกอ้างว่าเดินทางไปจับพระปราโมทย์ ตามคำชี้แจงเท็จฉบับที่ 1 ก็ยังไม่เดินทางมาถึง เพราะเป็นคำโกหกที่สร้างสถานการณ์หลอกโยมตั้งแต่แรก/ การที่พระปราโมทย์อ้างในประกาศว่าเป็นการจับที่ศาลาลุงชินเท่านั้น ยิ่งเป็นเรื่องโกหกที่น่าขันยิ่งกว่า)
(#18 หลังจากพระปราโมทย์เป็นต้นเรื่องในการกล่าวเรื่องคุณไสยเท็จนี้ ก็ปรากฏว่ามี forward email เรื่อง "คุณไสยจากป่าละอู" และมีผู้สมรู้ร่วมคิดช่วยกระจายข่าวบน website ภายในกลุ่ม พร้อมตั้งตนเปิดบ้าน เป็นผู้รักษาคุณไสยที่ไม่มีอยู่จริง เพื่อหลอกลวงและขู่ให้ผู้ศรัทธาอยู่ในความกลัว ไม่กล้าสอบถามความจริง
ในทางกลับกัน กลับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่ถูกหลอกลวงในการพิสูจน์ความผิดถูก เพราะเพียงแต่ใช้สามัญสำนึก หรือเพียงทราบว่า ที่สวนพุทธธรรม-ป่าละอู, บ้านอารีย์, หรือ ดีเอ็มจี ไม่มีคุณไสยอย่างที่กล่าวจริง ก็ย่อมชี้ให้เห็นแล้วว่า พระปราโมทย์เป็นพระหลอกลวง ทุศีล มาตลอด)