หลวงพ่อสงบ จิตส่งออก


จิตส่งออก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
http://www.sa-ngob.com/content_show.php?content=159
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
 
เดี๋ยวเราดู ดูนี่ก่อนเลยเนอะ เหตุมันเกิดจากตรงนี้ใช่ไหม ต้องเคลียร์ให้เห็นเหตุก่อน
ประเด็น : หนึ่ง จิตที่ส่งออกเป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตส่งออกเป็นทุกข์ ของหลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อ........ ตีความว่า จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัยนั้น น่าจะคลาดเคลื่อน จากสภาวธรรมที่หลวงปู่ดูลย์สอน เพราะจิตที่เป็นตัวสมุทัยเป็นไปไม่ได้
หลวงพ่อ : อันนี้ค้านนะ
ประเด็น : จิตที่เป็นสมุทัยเป็นไปไม่ได้
หลวงพ่อ : อะไรเกิด คนเกิดเกิดจากอะไร จิตที่เป็นสมุทัยเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้ คนก็ไม่ต้องเกิดแล้ว เพราะว่าจิตนี้มันไม่มีสมุทัยเห็นไหม ไอ้กรณีอย่างนี้ มันก็เป็นการเถียงกันที่ว่า จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส เพราะผ่องใส คือนิพพานไง นี่ไง ทางวิชาการเขาคุยอย่างนั้น ถ้าพูดอย่างนั้น จะไปเข้ากับตรงนั้น
ประเด็น : น่าจะคลาดเคลื่อนจากสภาวธรรม ที่หลวงปู่ดูลย์สอน น่าจะคลาดเคลื่อน...
หลวงพ่อ : เห็นไหมเราเคยพูดไว้บ่อยมากเลยว่า ธรรมะที่หลวงปู่ดูลย์พิมพ์ไว้ ธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ ต่อไปลูกศิษย์จะแก้ไข เราพูดบ่อยเห็นไหม ว่าลูกศิษย์จะแก้ไข จะแก้ไขให้เป็นตามความเห็นของลูกศิษย์ แต่ที่ของหลวงปู่ดูลย์ถูกหมด แต่เพราะเราเข้าไม่ถึงสภาวธรรม ของสัจธรรมมันจริง เราเลยเข้าตีความไม่ถึง แล้วเราจะแก้ไขเราจะเปลี่ยนแปลง เราเป็นห่วงมากที่ว่า จิตส่งออกทั้งหมดนะ ความคิดมันออก ส่งออกมันเป็นทุกข์ ต้องหยุดความคิด การหยุดความคิดนั้น ก็ต้องใช้ความคิด หลวงปู่ดูลย์พูดบ่อยมากเลยต่อไปมันจะตัดทิ้งหมด เพราะว่าการใช้ความคิด นั้นเขาถือว่าเป็นกิเลส แต่การใช้ความคิดนั้น ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ว่าเป็นมรรค ถ้าจิตเป็นสมาธิ นี่ไงจะค้านตรงนี้ไว้ก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยอธิบาย
ประเด็น : จิตที่ส่งออกเป็นสมุทัยเป็นไปไม่ได้ จิตเป็นวิญญาณขันธ์
หลวงพ่อ : เราบอกถ้าจิตเป็นวิญญาณขันธ์ เราก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะวิญญาณขันธ์ วิญญาณขันธ์ในขันธ์ ๕ ใช่ไหม วิญญาณขันธ์ วิญญาณขันธ์ก็คือขันธ์ ๕ อวิชชา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท คือ วิญญาณในปฏิสนธิ วิญญาณอันนั้นเป็นวิญญาณในปฏิสนธิ ไม่ใช่วิญญาณขันธ์ เพราะมันเป็นปัจยาการ มันไม่เป็นขันธ์ ไม่ใช่ ขันธ์เป็นกอง
ประเด็น : จิตจัดอยู่ในกองทุกข์ ไม่ใช่ตัณหาอันเป็นตัวสมุทัย
หลวงพ่อ : โคตรสมุทัยเลย! ไม่ใช่ ไม่ ไม่ จัดกอง ไม่ใช่ตัณหา เพราะตัณหา ในการปฏิบัติ เดี๋ยวนะใจเย็นๆ ก่อน อ่านจบก่อน (หัวเราะ)
ประเด็น : หากให้ตรงกับสภาวธรรม จะต้องใช้คำว่า ความส่งออกนอก ความส่งออกนอกของจิตเป็นสมุทัย
หลวงพ่อ : ความส่งออกนอกของจิตเป็นสมุทัย มันก็บอกว่าไอ้โจรปล้นมันอยู่คนละโลก ต้องไปจับไอ้โจรปล้นตัวนั้น แต่มันไม่ได้มองไอ้โจรในหัวใจไง นี่ไงถึงบอกว่า ความส่งออกถึงเป็นสมุทัย แล้วไอ้โจร โจรในหัวใจมันพญามารมันอยู่ที่ไหน ไอ้โจรนอกก็มี เวลาโจรข้างนอก เวลามันมาปล้นเราล่ะนอกบ้าน ศึกในบ้าน ไอ้คนใน ไอ้คนใช้ไอ้คนในบ้านเราเป็นไส้ศึก เอาโจรมาปล้น มึงรู้จักไหม (หัวเราะ)
ประเด็น : หากให้ตรงกับสภาวธรรม ต้องใช้คำว่าความส่งออกของจิตเป็นสมุทัย ผลแห่งการส่งออกของจิตเป็นทุกข์ เพราะความส่งออกนอกของจิต ก็คือความทะยานอยากหรือตัณหา
หลวงพ่อ : ความส่งออกนอกน่ะ ถ้าไม่มีแรงขับจากตัณหา มันจะส่งออกไปได้อย่างไร
ประเด็น : อันเป็นตัวสมุทัย ตามคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า สอง อย่าจิตส่งออกนอกของหลวงปู่ดูลย์ อย่าจิตส่งออกนอก ของหลวงปู่ดูลย์ ของหลวงพ่อ........ ตีความว่า จิตส่งออกนอก คืออาการของจิตที่ไปตั้งมั่น ในขณะที่รู้อารมณ์ คืออาการของจิตที่ไม่ตั้งมั่น ในขณะที่จิตที่รู้อารมณ์ ไม่ว่าจิตจะส่งไปภายนอก หรือส่งเข้าข้างในให้ประคองไว้เป็นกลางๆ คือถ้านอกเหนือจากความรู้ไปตามปกติธรรมดา ถ้านอกเหนือจากการรู้ไปตามปกติธรรมดา ก็จัดว่าก็จัดว่าเป็นจิตส่งออกนอกทั้งสิ้น
หลวงพ่อ : นั่นแน่ !
ประเด็น : ตามปริยัติ ตามพระปริยัติธรรมแล้วอาการที่ส่งออกนอก คืออาการของตัณหา
หลวงพ่อ : แหม รับไม่ได้เลยนะ...
ประเด็น : เป็นความหิวอารมณ์ของจิต
หลวงพ่อ : เนี่ย..ภาวนาเป็นไม่เป็น ที่เมื่อก่อนจะบอกว่า มันเป็นไม่เป็น เนี่ยไอ้เขาพูดมันส่วนเขาพูด ไอ้คนไม่เป็น... เหมือนเราขับรถ เราบอกว่าขับรถมันต้องใส่เกียร์ออกนะ มันนั่งอยู่ มันบอกว่า มันขับรถได้ แล้วรถไม่เคยขยับน่ะ มันผิดตลอด
ประเด็น : จิตส่งออกนอกคือหลงภาพหยาบ จิตส่งในคือหลงภาพละเอียด หนึ่งนะ สอง หลวงปู่สิมเคยชี้แนะแก้ไขให้จิตถลำตามไปรู้อารมณ์ส่วนส่วนลึกภายใน หลวงปู่สิม เคยชี้แนะแก้ไขไม่ให้จิตถลำตามไปรู้อารมณ์ส่วนลึกภายใน หลวงปู่เทสก์สรุปให้ว่า ไม่ส่งออกนอกไม่ส่งออกนอก ไม่ส่งในให้รู้อยู่ตรงกลางกลาง สาม จิตเห็นจิตของหลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อปราโมทย์ตีความว่า จิตเห็นจิตหมายถึงจิตดวงปัจจุบันมีสติ ให้รู้จิตดวงที่ดับไปแล้ว สดๆร้อนๆ
หลวงพ่อ : (หัวเราะ) กูจะอ้วก!
ประเด็น : จิตไม่ได้มีเพียงดวงเดียว แล้วคงถาวรอยู่เป็นนิรันดร์ แต่จิตเกิดดับสืบเนื่องตลอดเวลา เพื่อทำหน้าที่รู้อารมณ์ เมื่อจิตดวงหนึ่งดับไป หากจิตดวงใหม่มีสติระลึกรู้ตามจิตดวงเดิม จิตดวงเดิมซึ่งหมดสถานะจากธรรมชาติที่รู้อารมณ์ไปแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นสถานะให้เป็นอารมณ์ในดวงจิต เป็นอารมณ์ให้จิตดวงใหม่รู้ สติจะเกิดระลึกรู้ดวงจิตที่เพิ่งดับไปได้ เมื่อหัดตามรู้จิตเนืองๆ จนจิตจดสภาวะของจิตได้อย่างแม่นยำ ถิรสัญญา แล้วสติจะเกิดตามระลึกรู้จิตที่เพิ่งดับไป ดับไปเองได้
หลวงพ่อ : ไอ้นี่มันเครื่องถ่ายเอกสารน่ะ มันไม่ใช่จิต! เครื่องถ่ายเอกสาร มันเป็นไปไม่ได้ ตามที่เขาพูด เป็นไม่ได้สักอย่างหนึ่ง เราเห็นแล้วแต่เรายังไม่พูด เราจะไปเทศน์กัณฑ์หน้าว่า ปัญญาหรือสัญญา นี่เทศน์ไว้แล้วนะ อะไรนะ เนี่ย จิตจริงโสดาบันถึงจริง
ประเด็น : เพราะเขาบอกว่ารู้อย่างนี้นะ จะเป็นโสดาบันเอง
หลวงพ่อ : ถ้ารู้อย่างนี้เป็นโสดาบันเองนะ ๙ ประโยคเป็นโสดาบันไปหมดแล้ว เพราะ ๙ ประโยคเขาก็รู้หมด ๙ ประโยคเขารู้ธรรมะหมดนะ มันไม่เข้าหลักสักอันหนึ่ง อย่างเช่นไอ้ข้อ ๑ นี่นะ จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย เนี่ยน่าจะคลาดเคลื่อน คำว่าน่าจะคลาดเคลื่อนทำไมไม่บอกว่าคลาดเคลื่อนเลยล่ะ ถ้าบอกว่าไม่จริงเลยล่ะ.. เพราะหลวงปู่มั่นบอกไว้ ธรรมะมีหนึ่งเดียว ถ้าพูดผิดสองคน คนหนึ่งต้องผิด
แล้วอย่างหลวงตาท่านจะบอกเลยนะ พูดถึงหลวงปู่มั่นนะ ใจมันลง ใจมันลงทันทีเลย ท่านจะเคารพ...เคารพหลวงปู่มั่นมาก หลวงตาจะบอกว่า หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา หลวงปู่มั่นเป็นคนปลุกปั้นหลวงตามา จนหลวงตาท่านปฏิบัติได้ จนลึกซึ้ง เราจะกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะ พวกเราไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า แต่ทำไมเราลงพระพุทธเจ้าล่ะ เพราะพระพุทธเจ้ารู้สัจธรรม สัจธรรม เราไปรู้จริง มันเหมือนสิ่งที่มีคนรู้แล้ว
อย่างเช่นเราซึ้งใจไหมว่า กษัตริย์สมัยโบราณรักษาแผ่นดินไทยให้เราอยู่ เราเกิดมาในแผ่นดินไทย เราจะกตัญญูกับพระนเรศวรไหม กตัญญูกับพระนารายณ์ พระรามคำแหงไหม เราจะกตัญญูไหม แล้วเราเกิดมา เราเกิดมา...ถ้าเราปฏิบัติธรรมถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะเคารพพระพุทธเจ้าไหม แล้วนี่หลวงปู่ดูลย์เป็นอาจารย์ ทำไมบอกหลวงปู่ดูลย์คลาดเคลื่อนล่ะ ดูแค่นี้ มันจะรู้เลยว่า คนเนี่ยใจเป็นธรรมหรือปล่าว แค่ความกตัญญู ถ้ากตัญญูนะหลวงตาท่านไปฟัง สาธุนะ นี่เป็นบุคคลาธิษฐานของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่เอามาพูดเพื่อจะให้มีได้มีเสียกัน
หลวงตาท่านไปฟัง พระธรรมเจดีย์(จูม พนฺธุโล) น่ะ เทศน์นิพพานเป็นอนัตตา นิพพานเป็นอนัตตาน่ะ ท่านก็เก็บไว้ในใจ เพราะหลวงปู่จูมท่านเทศน์แล้วหลวงตาท่านฟังอยู่ ท่านก็รอให้หลวงปู่จูมลงจากธรรมมาสน์ แล้วกลับเข้าไปในกุฏิก็ตามไป ทำไมอาจารย์เทศน์ว่านิพพานเป็นอนัตตาล่ะ เอ๊า ก็นิพพาน มันควบคุมไม่ได้ เอ๊าควบคุมไม่ได้ นิพพานเป็นผู้ต้องหาเหรอ
ทำไมไปเทศน์นี้เป็นอนัตตา ก็ตามตำรามันว่าอย่างนั้น ตำราว่ามันส่วนตำราซิ แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น อธิบายจนอาจารย์จูมท่านยอมรับ ต่อจากนั้นมาท่านจะไม่เทศน์ นิพพานเป็นอนัตตาอีกเลย นิพพานคือนิพพาน แต่คนเรามันไม่รู้ว่านิพพาน คืออะไรใช่ไหม มันก็พยายามนิพพานเป็นอนัตตา เนี่ยพูดถึงอาจารย์เทศนาว่าการผิด หลวงตาท่านเข้าไปแก้ ท่านเข้าไปพูด ไปอธิบายให้ฟังเห็นไหม เพราะความเห็นระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ อาจารย์ท่านภาวนาอาจารย์ผิดก็ได้ เพราะอาจารย์จำมา แต่ลูกศิษย์ปฏิบัติ เป็นตามความจริงเข้าไปแก้ไข แต่นี่อาจารย์เป็นของจริง ของจริงเพราะอะไรเพราะว่า
ประเด็น : ถ้าบอกว่าจิตส่งออกเป็นสมุทัย มันน่าจะคลาดเคลื่อน เพราะสภาวธรรมที่หลวงปู่ดูลย์สอน เพราะจิตที่เป็นสมุทัยมันเป็นไปไม่ได้
หลวงพ่อ : จิตนี่แหละเป็นอวิชชา มันยิ่งกว่าสมุทัยอีกนะ อะไรนะ สมุทัย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตัวสมุทัยมันเป็นอาการ มันเป็นอาการเพราะว่าตัวกิเลสมันเป็นอนุสัย มันนอนเนื่องมากับจิต เป็นอนุสัยมันนอนเนื่องมากับจิต
แล้วเวลาตัวเกิด ตัวสมุทัยมันนอนเนื่องมา แล้วตัวอวิชชาล่ะ ตัวจิตนั่นล่ะ ตัวโคตรสมุทัย ไม่ใช่สมุทัยเพราะอะไร ขนาดจิตพระอนาคายังไปเกิดบนพรหม การไปเกิดบนพรหม จิตมันสว่างไสว จิตผ่องใส จิตว่างๆ มันยังเกิด เพราะอะไร เพราะมันมีแรงขับนั่นน่ะ ตัวอวิชชา
ประเด็น : แล้วบอกว่าตัวจิตเป็นอวิชชาไม่ได้ มันน่าจะคลาดเคลื่อน เพราะตัวจิตเนี่ยตัวจิตจะเป็นสมุทัยไปไม่ได้
หลวงพ่อ : ตัวจิตคือตัวสมุทัย เขาสอนลัดสั้นใช่ไหม ในมหายานบอกว่าเจอพุทธะที่ไหนต้องฆ่าพุทธะที่นั่น เจอพุทธะคือจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เจอพุทธะที่ไหน ต้องฆ่าพุทธะที่นั่น ถ้าเราฟังเป็นเถรวาท เราก็ฟังเขามาก็ทะแม่งๆ เนอะ เราเคารพบูชาพระพุทธเจ้ามากใช่ไหม ทำไมให้ฆ่าพระพุทธเจ้าล่ะ เพราะจิตเดิมแท้นั้นผ่องใส เวลาคนเป็นพูด มันถูกต้อง จิตเดิมใครเจอพุทธะคือเจอความผ่องใส อย่างเช่น (มันติดขัดไปหมดนะ เวลาพูด มันไปกระเทือนครูบาอาจารย์)
อย่างเช่นหลวงปู่ฝั้นท่านพูดเห็นไหม พุทโธสว่างไสว พุทโธผ่องใสเห็นไหม พุทโธสว่างไสว พุทโธผ่องใส พุทโธว่างน่ะ นั่นล่ะตัวพุทธะ เพราะเทศน์อย่างนั้นไง พอหลวงตาท่านไปพบ อู้หูยนึกว่าไปถึงไหนล่ะ มานอนตายอยู่ที่นี่เอง เพราะจิตผ่องใสคืออวิชชา ท่านพูดถึงพุทโธผ่องใส พุทโธสว่างไสว นั่นยังไม่เห็นพุทโธเพราะเป็นคนพูด ถ้าเจ้าตัวเห็นพุทโธนะ เอ๊อะ พอเอ๊อะต้องฆ่า ต้องฆ่าอวิชชา ฆ่าอวิชชาคือฆ่าความผ่องใส ถ้าฆ่าความผ่องใส คือฆ่าพุทธะ นี่ไงถ้าฆ่าตัวนั้นมันไม่เกิดบนพรหม ถ้าไม่เกิดบนพรหม ตัวจิตไม่เป็นสมุทัย มันเป็นไปไม่ได้ ก็ตัวจิตมันคือสมุทัย ตัวสมุทัย
ประเด็น : จิตเป็นวิญญาณขันธ์
หลวงพ่อ : ก็ไม่ใช่ จิตไม่ใช่วิญญาณขันธ์ ขันธ์ ๕ วิญญาณขันธ์มันขาดตั้งพระอนาคา เพราะวิญญาณขันธ์มันขาดที่นั่น พอขาดที่นั่นไปแล้ว เนี่ยถึงจัดว่าเป็นกองทุกข์
ประเด็น : ไม่ใช่ตัณหา ไม่ใช่ตัณหา อันเป็นตัวสมุทัย
หลวงพ่อ : มันเกินใช่นะ ไม่ใช่ธรรมดานะ มันใช่ใช่คูณสอง เนี่ยคนไม่เป็นนะ เนี่ยพูดลงซีดีแล้วเอาซีดีไปให้ฟังแล้วให้โต้กลับมา
ประเด็น : หากให้ตรงตามสภาวธรรม
หลวงพ่อ : อันนี้คือธรรมะนิยาย
ประเด็น : หากให้ตรงสภาวธรรม ต้องใช้คำว่า
หลวงพ่อ : เห็นไหม นี่คือจินตนาการ นี่คือความเห็น นี่ไม่ใช่ความจริง แต่เวลาเขาพูดไป คนฟังแล้วทึ่งมาก
ประเด็น : ความส่งออกของจิตเป็นสมุทัย ความส่งออกของจิตเป็นสมุทัย ผลแห่งการส่งออกของจิตเป็นทุกข์ เพราะความส่งออกนอกของจิตก็คือความทะยานอยาก หรือตัณหาอันเป็นตัวสมุทัย ตามคำสอนของพุทธเจ้า ความส่งออกนอกของจิตคือความทะยานอยากหรือตัณหา ความส่งออกนอกของจิต
หลวงพ่อ : ปัจจุบันธรรมนะ จิตสงบนี่ มันเป็นปัจจุบัน ความคิดอดีต อนาคต จิตส่งออก คือการเคลื่อนออกไป ความคิดเคลื่อนออกไปเห็นไหม เพราะความคิดเคลื่อนออกไป
เขาบอกคือตัวความคิดนั้นต่างหากคือตัวตัณหา แรงส่ง รถดับเครื่องแล้ว แรงเฉื่อยของมันยังมีไหม แรงเฉื่อยของรถ มันมาจากไหน มันมาจากเครื่องใช่ไหม มาจากกำลังของรถที่มันวิ่งมาใช่ไหม ดับเครื่องทุกอย่างแล้ว แรงเฉื่อยยังมีไหม ความคิดที่ส่งออก มันมาจากไหน มันมาจากจิต จิตตัวขับดันออกไป แล้วแรงเฉื่อยกับตัวรถ
ดับเครื่องแล้ว รถมันยังไหลอยู่เห็นไหม ความไหลนั้นมันคือธรรมชาติใช่ไหม คือแรงส่งแรงเฉื่อยใช่ไหม แล้วแรงเฉื่อยนั้นเป็นกิเลสรึเปล่า แรงเฉื่อยมันมีอะไรในตัวมัน แรงเฉื่อยมันมีอะไรในตัวมัน ความคิดที่ส่งออกมันมีอะไรเป็นตัวมัน แล้วความคิดที่ส่งออกมันมาจากไหน (หัวเราะ) มันเป็นเป็นนิยาย
ไอ้คนแต่งนิยาย ไอ้คนฟังก็ฟังนะ ความส่งออกของจิต คือความทะยานอยาก อันเป็นตัวสมุทัยตามคำสอน นี่ไงคนภาวนาไม่เป็น ก็คือไม่เป็นวันยังค่ำ ถ้าคนภาวนาเป็นนะ อย่างที่ความคิดไม่ใช่จิต แล้วความคิดมันมาจากไหน ความคิดมันมาจากจิต แล้วใช้ “ปัญญาอบรมสมาธิ” ตามความคิดไป ความคิดดับ ความคิดดับแล้วกลับมาที่จิต ตัวจิตคือตัวภพ ตัวที่มันสงบ แล้วตัวจิตนั้นค่อยๆ หาตัวมันเอง
ไอ้นี่หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดถูกหมด นี่ไงเราพูดย้ำประจำนะว่า คนพูดถูก คนเป็นพูดถูกหมด คนไม่เป็นพูดผิดหมด แล้วเราพูดมาบ่อยว่าต่อไป หนังสือหลวงปู่ดูลย์จะมีการแก้ไข โดยขบวนการของเขากันเอง ไอ้นี่ชัดเจนมากเลย ไม่ได้แก้ไขนะ นี่บอกเลยว่าหลวงปู่ดูลย์ผิด หลวงปู่ดูลย์คลาดเคลื่อน ตัวเองถูก หลวงปู่ดูลย์ (หัวเราะ)
แล้วเวลาเราบอกว่าเราเชื่อว่าหลวงปู่ดูลย์ถูก เขาก็บอกว่าเรารู้ได้อย่างไร เพราะหลวงปู่ดูลย์ เราจะบอกว่าหลวงปู่ดูลย์เนี่ย เป็นอาจารย์ของหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ดูลย์เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่ดูลย์ ไปเทศน์เอาหลวงปู่ฝั้นมาบวช เพราะหลวงปู่ฝั้นเป็นมหานิกาย หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อนพวกเนี่ย ได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่ดูลย์ แล้วมาญัตติเป็นธรรมยุต แล้วไปฝึกปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น
แล้วอยู่กับหลวงปู่ดูลย์เป็นหมู่คณะกัน หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว ครูบาอาจารย์อยู่ด้วยกัน มีการขัดแย้งกันบ้างไหม ไม่มีเลย ไม่มีเพราะอะไร ไม่มีเพราะความจริงอยู่กับความจริง ความจริงไม่มีขัดแย้งเลย ความจริงคืออันเดียวกัน แต่วิธีคำสอนมันแตกต่างกัน ฉะนั้นถ้าจะดูจิตของหลวงปู่ดูลย์ เราก็ไม่คัดค้าน แต่พุทโธของหลวงปู่ฝั้น เราก็ไม่คัดค้าน ถ้าพุทโธของหลวงปู่ดูลย์เอ๊ยหลวงปู่มั่น เราก็ไม่คัดค้าน ถ้ามันทำถูกต้อง มันถูกต้องทั้งนั้น
แต่นี่เพราะมันไม่ถูกต้อง ที่เราคัดค้าน เราไม่ได้คัดค้านที่ ดูจิตหรือพุทโธนะ เราคัดค้านผลที่เขาพูดมา มันผิดหมด เวลาเขาพูดเฉพาะส่วน เขาพูดเฉพาะส่วน ตอนนั้นมันพูดเฉพาะส่วน อย่างที่พูดออกมา มันยันชัดๆ เลย เพราะอะไรนะ เพราะมันคลาดเคลื่อนหมด นี่ของหลวงปู่ดูลย์ จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย เพราะอะไร เพราะความคิดมันมาจากจิต แรงขับของตัวจิตที่ส่งออกไป เพราะตัวจิตมันเป็นอวิชชา ความคิดทั้งหมด มันส่งออกไปเป็นสมุทัย เพราะตัวจิตมันเป็นสมุทัย ความคิดจากสมุทัย มันก็เป็นสมุทัย เราเป็นโจร เราปล้นเงินมา เราเอาเงินมาแจกลูก แจกหลาน เราเงินของใคร ก็เงินของโจรไง เพราะโจรมันปล้นมา
ตัวจิตมันเป็นตัวสมุทัย ความคิดทั้งหมดที่ออกจากจิต มันเป็นสมุทัยทั้งหมด เพราะตัวจิตมันเป็นตัวสมุทัย จิตปลอมโสดาบันปลอมๆ เห็นไหม จิตจริงโสดาบันถึงเป็นของจริงใช่ไหม จิตปลอมเพราะตัวเองมีอวิชชา เพราะอวิชชามันครอบงำจิตอยู่ ความคิดเกิดจากจิต มันจะเอา มันจะไม่เป็นสมุทัยไปได้อย่างไร ความคิดเกิดจากจิต ตัวจิตมันเป็นสมุทัยอยู่แล้ว ความคิดเกิดจากมัน มันจะถูกไปได้อย่างไร มันก็เป็นตัณหาทั้งหมดล่ะ แต่ตัวตัณหา มันมาจากตัวเริ่มต้น นี่ไงเวลาเราพิจารณากันไป เห็นไหม โสดา สกิทา อนาคา มันจะตัดมาเรื่อยๆ จนเข้ามาถึงตอของจิต
เห็นไหมหลวงตาจะบอกเลย มันจะหดสั้นเข้ามา เข้าไปอยู่ในคูหา เข้าไปอยู่ในถ้ำเสือ เราจะเอาตัวเสือ เราต้องเข้าไปในถ้ำเสือ เพราะเสือมันจะหลบเข้าไปในถ้ำมัน เราอยากได้ลูกเสือ เราต้องเข้าถ้ำเสือ ถ้ำเสือคืออะไร คือตัวคูหาของใจ คือตัวอวิชชา คือตัวภพ คือตัวใจ แล้วนี่พูดถึงมันหดสั้นเข้ามา เพราะวิปัสสนาญาณ แต่ปุถุชนเราเนี่ย เราไม่มีการกระทำเลย มันไม่มีการหดสั้น มันเป็นสายบังคับบัญชา คือมันเป็นสัญชาตญาณของมัน สัญชาตญาณของมันออกมาจากอวิชชา การขับเคลื่อนมันเป็นอวิชชาหมด มันเป็นสมุทัยทั้งหมด
หลวงปู่ดูลย์พูดถูก พูดถูกเพราะจิตมันเป็นอวิชชา จิตส่งออกนอก เป็นสมุทัยล้านเปอร์เซ็นต์ ถ้าจิตมันไม่ส่งนอกไม่เป็นสมุทัย เราจะไม่มาเกิด คนที่มาเกิด คนมาเกิดจากความไม่รู้คือตัวอวิชชา เวลาเกิดระลึกชาติไม่ได้ เวลากาฬเทวิลทำความสงบของใจเข้ามา กาฬเทวิลระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ คนที่ระลึกอดีตชาติได้ ไม่ต้องเป็นพระอริยบุคคล ปุถุชนก็ระลึกอดีตชาติได้
เพราะเวลาเกิดตายเกิดตาย เนี่ยเราเกิดเป็นนาย ก ชาตินี้เราทำความดีความชั่ว ความดีความชั่ว มันก็เป็นชาติปัจจุบัน เรารู้หมดเราทำอะไร เราทำอะไร แต่พอเราตายไปเกิดใหม่เนี่ยนาย ก นี่จิตเวลาตายนาย ก จิตนาย ก ไปเกิดเป็นนาย ข พอเกิดเป็นนาย ข เนี่ยความพฤติกรรมของนาย ก มันซับลงเพราะมันเกิดจากจิต
จิตเป็นคนทำใช่ไหม เกิดจากพลังงานที่เรา พลังงานเฉยๆ ตัวพลังงานจะทำอะไร มันต้องมีความคิด ความคิดเป็นสัญชาตญาณ สัญชาตญาณก็ออกมาทำความดี ความชั่วกัน ความดีความชั่วที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น มันก็ย่อยสลายลงมาอยู่ที่จิต ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ทำดีไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ทำชั่วไปเกิดเป็นนรกอเวจี
นี่ความดีอันนี้มันไปซับอยู่ที่จิตนาย ก พอนาย ก ตายไป ตายไปเพราะสมมติที่เป็นนาย ก ตายไป แต่ตัวจิตมันไม่ได้ตาย ตัวจิตมันไปเกิดเป็นนาย ข นาย ข มันมีกรรมของนาย ก ไป ข้อมูลของนาย ก ไปอยู่ที่ใจของนาย ข นาย ข ไปเกิดเป็นคนใหม่ กรรมดีก็ทำดีต่อไป ถ้ากรรมชั่วนาย ข เป็นนาย ข แต่จิตที่นาย ก ตายไปแล้วนาย ก ไม่มี นาย ก เป็นอดีตไปแล้ว แต่ตัวจิตนั้นยังปัจจุบัน เพราะนาย ก ตายไป
เพราะนาย ก มันเป็นจิตตัวนี้ ตัวนี้พอมาเกิดเป็นนาย ข นาย ข ก็ทำบุญก็ได้บุญต่อไป ทำชั่วก็ได้ นี่ไงเวลาเราเข้าถึงข้อมูลนั้น เราเห็นว่าเราเป็นนาย ก แล้วเกิดปัจจุบันเป็นนาย ข นี่ไงทีนี้ตัวจิต ตัวจิตมันไม่เคยตาย แล้วตัวจิตมันไม่เคยตาย ตัวจิตตัวนั้น มันเป็นอวิชชา มันทำอะไร มันต้องออกไปจาก ความคิดของมัน
จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย แล้วมันจะส่งออกนอกเป็นธรรมชาติ พอเราส่งออกนอกเป็นธรรมชาตินี่ธรรมชาติของมัน ทีนี้หลวงปู่ดูลย์ท่านปฏิบัติ ท่านเห็นของท่าน ท่านก็อธิบายตามข้อเท็จจริงของที่ท่านรู้ท่านเห็น ท่านอธิบายตามความจริงของท่าน ความจริงของท่านเนี่ยธรรมเหนือโลก
นี้พอพวกเราลูกศิษย์ เราลูกศิษย์รับรู้ก็ฟังจากการบอกเล่า คือบอกจากสิ่งที่ท่านสั่งสอน ท่านสอน เราก็ใช้ตรรกะ ตรรกะเราคิดตามไป พอคิดตามไป เราเข้าไม่ถึง เราเข้าไม่ถึงจุดที่เกิดของความคิด เราเข้าถึงแต่ความคิด เพราะไงความคิดเป็นตัณหา ความคิดต่างหากถึงเป็นตัณหา เนี่ยจิตส่งออก จิตส่งออกคือความทะยานอยากคือตัณหา จิตส่งออกเพราะมันเข้าได้ที่ความคิดไง
เพราะความคิด มันคิดว่านี่พลังงาน พลังงานนี่มันมาแล้ว มันจับได้ตรงนี่ไง ว่าตรงนี้เป็นตัณหาเพราะเราคิดผิด คิดถูก แต่ความคิดผิด คิดถูก มันคิดมาแล้วนะ แต่เริ่มต้นความคิดมันอยู่ที่ไหน ถ้าจิตปกติเข้าไปเขาเข้าไปถึงตัวจิต เขาจะเห็นข้อมูลได้ที่ว่าระลึกอดีตชาติได้ ของหลวงปู่ดูลย์ถูกหมด เพราะมันมีที่มาที่ไปมีจุดเริ่มต้น ถ้าเขาบอกว่าความส่งออกของจิต คือความทะยานอยากคือตัณหา ความส่งจิตส่งออก แล้วมันส่งออกจากตรงไหน เพราะคำพูดคำนี้ มันจะบอกว่าจิตดวงนี้ไม่เคยสงบ จิตดวงนี้ไม่เคยเข้าถึงข้อมูลของจิต มันจึงไม่รู้ว่าจิตและอาการของจิตต่างกันอย่างใด
หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่าให้ดูจิต ดูจิต ดูจิต แล้วเราไปคุยกับลูกศิษย์ของท่านเยอะ พอบอกตอนหลวงปู่ดูลย์มีชีวิตอยู่ พอไปหาหลวงปู่ดูลย์บอกเห็นจิต ท่านบอกว่าไม่ใช่ นี่คือความคิด อาการของจิต อาการของจิต อาการของจิต พอมันเข้าไปถึงจิต นี่จิต ถ้าคนผ่านอาการ.. เราจะพูดบ่อย ส้ม เปลือกส้ม คนผ่านเปลือกส้มจะเข้าถึงเนื้อส้ม คนไม่เคยผ่านเปลือกส้มเหมือนเด็ก ซื้อส้มก็ได้ส้มมาใบนึง ซื้อส้มได้ส้มมาตลอดเลย
แต่ผู้ใหญ่ฉลาดกว่า ผู้ใหญ่ได้ส้มมา ปลอกเปลือกส้มทิ้งกินแต่เนื้อส้ม เด็กมันได้แต่เปลือกส้มมาเปลือกส้มมา นี้มันเข้าไม่ถึง ไม่ถึง มันไม่ทะลุเปลือกส้ม มันไม่เห็นตัวเนื้อส้ม มันถึงบอกว่าความส่งออกต่างหากถึงเป็นตัณหา แต่ถ้าคนเข้าไปถึงเนื้อส้มนะไม่ใช่ เนื้อส้มต่างหาก เนื้อส้มต่างหาก เปลือกส้มเป็นความคิด เนื้อส้มต่างหากคือตัวจิต พอเข้าถึงตัวจิต มันถึงอ๋อ..ความคิดมันมาจากจิต
หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกให้ดูจิต ดูจิต ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต จนจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นความคิด จิตเห็นความคิดนะ จิตเห็นความคิด พอจิตมันสงบใช่ไหม พอความคิดมันเกิดล่ะ ความคิดมันจะเกิด ถ้าจิตมันตั้งมั่น จิตมันจะเห็นว่าเวลาเกิดเกิดอย่างไร จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตเห็นอาการของจิตขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา อาการของจิตคือความคิดไง จิตเห็นความคิด ความรู้สึกเห็นความคิด ถ้าความรู้สึกเห็นความคิดแล้วแยกแยะความคิด นั่นวิปัสสนาเกิด แต่นี่ไม่เคยมี (หัวเราะ)
เราคาดการณ์เอาไว้แล้วว่า กิเลสมันจะเป็นอย่างนี้ กิเลสนี่นะ เหมือนลูกศิษย์ทุกทุกคน อยากจะมีความรู้เหนืออาจารย์ อยากจะคัด อยากจะวิเคราะห์วิจารณ์ให้สูงกว่า แต่ความเป็นจริงไม่รู้ว่าโง่กว่าอาจารย์เยอะมากเลย อาจารย์รู้หมดแล้ว เพราะธรรมเหนือโลกเนี่ย โลกคาดการณ์ไม่ได้ แล้วนี่ชัดเจนมากเลยนะ
ประเด็น : สอง จิตส่งออกนอกของหลวงปู่สิม จิตส่งออกนอกนะ หลวงพ่อ........ตีความว่า จิตส่งออกนอกคือการอาการของจิตที่ไม่ตั้งมั่น จิตส่งออกคืออาการของจิตที่ไม่ตั้งมั่น ในขณะที่รู้อารมณ์ไม่ว่าจิตจะส่งไปภายนอก หรือส่งเข้าข้างใน หรือประคองไว้กลางกลาง คือ ถ้านอกเหนือจากการรู้ไปจากตามปกติธรรมดา จัดว่าจิตส่งออกนอกทั้งสิ้น
หลวงพ่อ : ตามปริยัติไง ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ เนี่ยจิตส่งออกนอก มันส่งออกมาข้างนอก มันไม่เข้าถึงตัวจิต
ประเด็น : ตานี้เขาบอกว่าที่เขาพูดแบบนี้ ถ้าจิตส่งออกภายนอก เพราะไม่ประคองไว้เป็นกลางกลาง
หลวงพ่อ : ถ้าประคองไว้อันนี้คือจินตามยปัญญาไง คือประคองใจไว้เฉยๆ ไงประคองความรู้สึกไว้เฉยๆ แล้วเพราะคำว่าประคองใจไว้เฉยๆไว้เขาถึงได้พูดว่าเห็นไหม ถ้าเผลอไปสติจะเกิดเอง ถ้าเผลอไปสติจะเกิดเอง ถ้าตกใจสติก็จะเกิดเอง แล้วจำสภาวะนั้นต่อไป จึงจะเกิดสติ เกิดปัญญา คำพูดอย่างเงี้ย คำพูดของเขามันฟ้องมาตลอดนะ เผลอก็จะเกิดสติเอง เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะมันไปพูดที่ความคิดหมดไง เผลอก็จะเกิดสติเอง ตกใจก็จะเกิดสติเอง เพราะอะไรเพราะมันพูดกันได้ที่ความคิดเห็นไหม จิตส่งออก คำว่าจิตส่งออกเนี่ย คำว่าส่งออก มันต้องมีที่ส่งออก แล้วที่ไม่ส่งออกไม่ใช่ประคองไว้เฉยๆ แล้วเป็นการไม่ส่งออก ประคองไว้เฉยๆ มันเหมือนออกไปแล้ว มันออกจากจิตไปแล้ว มันจะไปประคองที่ไหน
มันออกไปแล้วไปประคองมันได้อย่างไร มันเป็นอากาศธาตุไปแล้ว แต่เริ่มต้นข้อมูลนี่สิเราแก้ไขตรงนี้ได้ ฉะนั้นมันต้องถึงจิตเห็นไหม ดูจิตจนเห็นอาการของจิต มันต้องเข้ามาถึงตรงนี้ แล้วกลางกลางเห็นไหม จิตส่งออกนอก คือ ภพหยาบ หรือภพในละเอียด หลวงปู่สิมเนี่ย หลวงปู่สิม หลวงปู่เทสก์ ยกไว้เพราะว่าหลวงปู่สิม กับหลวงปู่เทสก์เนี่ย เพียงแต่ต้องการเอามาเอามาการันตีว่า ความเห็นตัวเองถูกไง หลวงปู่สิมกับหลวงปู่เทสก์เพราะไอ้อย่างเงี้ย คำพูดเนี่ยเห็นไหม
หลวงตาท่านก็บอกเลย บางทีถ้าเด็กมัน.. ถ้าจิตพระอรหันต์ มันเป็นอย่างนั้นงั้น แต่ถ้าเดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่ท่านจะไม่ค่อยพูดถึง ท่านบอกธรรมธาตุตลอด เพราะคำว่าจิตพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่มีจิต จิตคือภพนี่ไง ความส่งออกก็ส่งออกจากจิต ถ้าจิตสงบก็สงบมาที่จิต ตัวจิตสงบเห็นไหม ที่ว่าตัวจิตสงบเป็นสมาธิขนาดไหน จิตสงบขนาดไหน จิตตัวนั้นก็มีอวิชชา สงบขนาดไหนคือสงบชั่วคราว มันสะอาดขึ้นมาไม่ได้ ถ้ามันไม่ออกวิปัสสนา วิปัสสนาเนี่ย วิปัสสนาคือการสอนจิตที่มันสกปรก ให้มันสะอาดขึ้นมา อันนั้นคือวิปัสสนา แต่ถ้าไม่ถึงตัวจิต ไม่ถึงตัวจิต ไม่ถึงตัวสมาธิ วิปัสสนานั้นไม่มี ไม่มี แล้วความเห็นอย่างนี้ เป็นความเห็นเกิดขึ้นจากความเห็นของเขา มันไม่เป็นความจริง เนี่ยจิตเห็นจิตของหลวงปู่ดูลย์จิตส่งออกนอก จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย จิตส่งออกนอกของหลวงปู่ดูลย์ จิตเห็นจิตของหลวงปู่ดูลย์ จิตเห็นจิตหลวงปู่ดูลย์เนี่ย เวลา... (หัวเราะ)
เราเทศน์บ่อยเนอะว่าจิตเห็นจิต จิตส่งออก จิตส่งออก หรือตัวจิตเราเทศน์บ่อย แล้วเราอธิบายภาษาความความรับรู้ของเรา อันนี้เพราะเราก็เหมือนกับหลวงปู่ดูลย์ ท่านทำอย่างนี้ แล้วเราปฏิบัติมา เราปฏิบัติในทางจิตเหมือนกัน นี้เราปฏิบัติในทางจิตเหมือนกัน เราถึงเข้าใจหลวงปู่ดูลย์ แล้วเราอธิบาย เราตามความเข้าใจว่า เราเข้าใจว่าหลวงปู่ดูลย์ ท่านต้องการสื่อความหมายอย่างนี้ ฉะนั้นมันจึงไปขัดแย้งกับเขา
เพราะเขาตีความอันหนึ่ง เขาบอกว่า จิตเห็นจิตของหลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อปราโมทย์มีความเห็นตีความว่า จิตเห็นจิตหมายถึงจิตดวงปัจจุบัน มีสติไปรู้จิตดวงที่ดับไปแล้ว จิตเห็นจิต จิตดวงปัจจุบันไปรับรู้จิตดวงที่ดับไปแล้ว แล้วมันอยู่ที่ไหน ดวงที่ดับไปแล้วมันอยู่ที่ไหน เราก็ไปคิดกระแสไฟฟ้าไงไฟฟ้าสถิตเห็นไหม ไฟฟ้ามันออกไปเห็นไหม เราไปคิดอย่างนั้นไง ถ้าขนาดนี้นะเห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าแม้แต่ความคิดเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก็เป็นอนาคตไปแล้ว
ถ้าจิตสงบยังเป็นนิ่งอยู่ ถ้าไปรู้ ถ้าไปรู้ดวงที่ดับไปแล้ว มันเป็นอดีต อนาคตไหม มันเป็นอยู่แล้ว ถ้าไปรู้ดวงที่ดับไปแล้ว คำว่าดับไปแล้ว ชาติหน้าแล้วนะมึงแต่มันเร็วมาก ดวงที่ดับไปแล้วแล้วมันจะเป็นปัจจุบันได้อย่างไร นี่จิต (หัวเราะ) จิตเห็นจิตหมายถึงจิตดวง ดวงจิตดวงปัจจุบัน มีสติไปรู้จิตดวงที่ดับไปแล้วสดๆร้อนๆ จิตไม่ได้มีเพียงดวงเดียวแล้วคงถาวรอยู่นิรันดร์กาล
จิตไม่ใช่มีดวงเดียว แล้วจิตมันตั้งมั่นได้อย่างไร จิตหนึ่งเดียวได้อย่างไร จิตไม่มีดวงเดียว หลวงพ่ออะไรนะ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับหลวงพ่อไร หลวงพ่ออะไร สิงห์บุรี หา อีกองค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่ง หลวงพ่อบุดดา หนึ่งเดียว หนึ่งเดียวตลอดเห็นไหม หลวงปู่บุดดานะเอามาออกประจำน่ะ จิตหนึ่งเดียว จิตหนึ่งเดียวไม่มีสอง เนี่ยของจริง ของจริงพูดไม่มีผิด หลวงปู่บุดดาน่ะไปฟังดิ มีดวงหน้าดวงหลังไหม
หลวงปู่บุดดาเคยมีจิตกี่ดวง หลวงปู่บุดดานั่นของจริง ถ้าของจริงแล้วหลวงปู่บุดดาพูด อาจหาญมาก หลวงปู่บุดดาไม่เคยกลัวใครเลย เพราะหลวงปู่บุดดาท่านเห็นความจริงของท่าน จิตมีหนึ่งเดียว จิตมีดวงเดียว จิตไม่มีสอง จิตมีสองคืออาการ ความคิดเกิดจากจิต เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามีอันเดียว แต่พลังงานไฟฟ้าออกไปจากเครื่อง มันไหลออกไปตลอดเวลา เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามีอันเดียว ไดมีตัวเดียวแต่ไดหมุน ไฟฟ้ามันหมุนไปตลอดเลย ไดไม่มีร้อยร้อยดวงหรอก ไม่มี ไม่มี (หัวเราะ)
ภาษาเรานะว่าไอ้แพร(เด็กอายุ ๓ ขวบ)มันจะรู้ดีกว่านี้นะ ไอ้แพรมันน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่านี้นะ ไอ้แพร ไอ้นี่มันสู้ไอ้แพรไม่ได้นะ (หัวเราะ)
ประเด็น : ดวงจิตปัจจุบันมีสติไปรู้ดวงจิตที่ดับไปแล้ว เป็นสดๆร้อนๆ จิตไม่ได้มีดวงเดียวแล้วคงถาวรอยู่นิรันดร์
หลวงพ่อ : จิตมีดวงเดียวแต่ไม่นิรันดร์ ถ้าคงถาวรนิรันดร์มันเป็นอัตตา เวลาสอนเขาไม่สอนว่าจิตนี้เป็นอัตตา ถ้าสอนจิตนี้เป็นอัตตา จะเป็นอาตมัน มันจะเข้าไปสู่ฮินดู จิตของเราไม่เข้าสู่อาตมัน ไม่เป็นนิรันดร์ มันแปรสภาพโดยกรรม แต่มันมีสถานะของมันอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่นิรันดร์ ถ้านิรันดร์ก็อัตตาไง นิพพานเป็นอัตตา นิพพานเป็นอนัตตา
แต่จิตนี้ไม่เป็นอัตตา อัตตาคือทิฏฐิ อัตตาคือกิเลส อัตตาคือการยึดมั่น จิตนี้ไม่ได้คงถาวรเป็น นิรันดร์ไม่เป็น ก็พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าเป็น ไม่ได้บอก แต่พระพุทธเจ้าบอกจิตมีอยู่ จิตไม่เคยตายแต่มันแปรสภาพตามกรรม เกิดโดยกรรม กัมมพันธุ มันโดยเผ่าพันธุ์ กัมมปฏิสะระโณ กรรมแดนเกิด มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มันเป็นไปตามกรรม
จิตไม่เป็นนิรันดร์ ถ้าเป็นนิรันดร์ เกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นมนุษย์ทุกๆ ชาติ เกิดเป็นสัตว์ต้องเกิดเป็นสัตว์ทุกๆชาติ จิตไม่เป็นนิรันดร์ ไม่มี อย่าเข้าใจผิด นี้ตัวเองเข้าใจผิดเอง แล้วไปบอกว่าคนอื่นเข้าใจ ว่าจิตเป็นนิรันดร์ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าจิตเป็นนิรันดร์ แต่ แต่จิตเกิดดับสืบเนื่องตลอดเวลา จิตเกิดดับสืบเนื่องตลอดเวลา เพื่อทำหน้าที่รู้อารมณ์ แต่จิตเกิดดับตลอดเวลา เกิดดับบนอะไร จิตเกิดดับตลอดเวลา ฟังมันน่าศรัทธาน้า... จิตเกิดดับตลอดเวลา จิตเกิดดับก็คือความคิดเกิดดับบนจิต ไม่ใช่จิต
ความคิดเกิดดับบนจิต เพราะเขาเห็นความคิดเกิดดับบนจิต เพราะเขาเห็นว่าความคิดเกิดดับสืบเนื่องตลอดเวลาเพื่อรับรู้อารมณ์ แต่สันตติของมัน มันไม่ได้เกิดดับ มันพลังงานมันเกิดตลอดเวลา คือจิตมันพลังงานอย่างนั้น แต่พลังงานมันพลังอย่างนั้น ธาตุรู้ไง สสารที่มีชีวิต ธาตุที่มีชีวิต ธาตุที่มันสืบเนื่อง แต่ถ้าเป็นธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์นี่ไง มันฟ้องถึงคนพูดนี่มีวุฒิภาวะแค่ไหน รู้จักจิตของตัวเองลึกตื้นแค่ไหน
คำพูดเห็นไหมหลวงตาบอกประจำ เวลาเทศน์มันเปิดอกนะ ฉันรู้แค่นี่ไงคือคำพูด พูดจากความรู้ของตัว นี่ความรู้ของตัวแค่ไหน เรายืนยันมาตลอด ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าสอนผิด สอนผิดเพราะตรงนี้ เพราะเราเห็นมาเยอะ นี่ขนาดนี่คือไฮไลท์นะ นี่คือจุดหัวใจของเขาแล้วนะ เพราะเขาเอาโศลกของหลวงปู่ดูลย์มา จิตส่งออกนอกเนี่ยเป็นสมุทัย จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย จิตเห็นจิต นี่คือไฮไลท์ของหลวงปู่ดูลย์แล้วนะ นี่เขาประกาศถึงถึงขั้วของความรู้ของเขา แล้วเขาถึงแสดงออกมาด้วยด้วยสัจธรรมไง
ประเด็น : จิต แต่จิตเกิดดับสืบเนื่องตลอดเวลาเพื่อรู้อารมณ์
หลวงพ่อ : มันไม่ใช่เพื่อรู้อารมณ์หรอก ธรรมชาติของเขา เขารู้สึกตัวเขาแล้ว ธรรมชาติของตัวนะ หลวงตาบอกว่าจิตเนี่ย ความสว่างไสวมันเกิดจากจุดและต่อม ในจุดและต่อมเวลาเข้าไปนะ เห็นไหม เตือนเอาไว้พลังงานเกิดจากจุดและต่อม พอจุดและต่อม เวลาจิตนี่เห็นไหม จุดและต่อมเป็นอวิชชา จุดและต่อมเป็นธรรมชาติ
แต่เวลาหลวงตาท่านตั้งสติของท่าน แล้วท่านสืบค้นเข้าไปหา พอสืบเข้าไปหาความเกิดของมัน เป็นมะพร้าวสองขั้ว มะพร้าวสองขั้วเห็นไหม จิตเกิดสืบเนื่องเพื่อรับรู้อารมณ์ มันเป็นมะพร้าวสองขั้ว ดีกับชั่ว ดีไง รับรู้ดี รับรู้ชั่ว มันรับรู้ดี รับรู้ชั่ว แล้วมันไปพลิกขั้วสองขั้วนี้ พอจิตสงบเข้าไปอวิชชา ปัจยาการของมัน มรรคญาณของมันเข้าไป พลิกสองขั้ว พลิกฟ้าคว่ำดิน พลิกฟ้าคว่ำดิน
มันไม่ใช่หน้าที่รับรู้อารมณ์หรอก หน้าที่รับรู้อารมณ์ มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว คำว่าหน้าที่รับรู้อารมณ์ ตา หู ลิ้น กาย ใจไง อายตนะเนี่ยหน้าที่รับรู้อารมณ์ มันเป็นฆานวิญญาณเห็นไหม วิญญาณจากจมูก วิญญาณจากลิ้น วิญญาณเนี่ยทำหน้าที่รับรู้อารมณ์
ประเด็น : เมื่อจิตดวงหนึ่งดับไป
หลวงพ่อ : นั่นแน่
ประเด็น : เมื่อจิตดวงหนึ่งดับไปหากดวงใหม่มีสติแล้วระลึกรู้จิตดวงเดิม ถ้าจิตดวงหนึ่งดับไป หากมีจิตรับรู้ดวงเดิม จิตดวงหนึ่งดับไปหากจิตดวงใหม่
หลวงพ่อ : มันบอกมีคนสองคนมั้ง มีจิตสองดวงไงสงสัยเป็นคู่แฝด สงสัยจิตมันเป็นคู่แฝด มีจิตดวงหนึ่งแล้วก็มีจิตดวงใหม่ (หัวเราะ) มันเวียนหัว
ถ้าเขาพูดถึงเรื่องธรรมะหยาบๆ นะ มันมีดีมีชั่ว มันมีสองคนสามคนได้ มีดี มีชั่ว มีกลางๆ ถ้าออกมาแล้วเวทนา มันมีสาม มีสุข มีทุกข์ มีอัพยากฤต แต่ขณะที่เป็นตัวจิตแล้ว จิตมันจะไม่มี จะรับรู้ มันจะรู้เร็ว มันจะรู้ธรรมชาติของมันมันจะมีหนึ่งเดียว มันมีดวงหนึ่ง ดวงสองเนี่ย มันก็เที่ยว มันจะเทียบ เขารู้ได้แต่ธรรมะหยาบหยาบไง เขารู้ได้แต่ดีกับชั่ว สุขกับทุกข์ อัพยากฤต เขารู้ได้อย่างนี้พอเข้าไปถึงจิตละเอียด เขาก็จะเอาจิตละเอียดนี้มาเทียบเคียงกับจิตหยาบๆ ถ้าจิตหยาบๆ มันจะฟ้องถึงวุฒิภาวะของคน
ถ้าคนเห็นได้แค่นี้ เวลาคนไปที่บ้านของเศรษฐี พอเห็นตึกใหญ่ๆ อู้ฮู อู้ฮู เราเห็นแต่เปลือกนอกนะ เรายังไม่ได้เข้าบ้านเขาเลยนะ ในบ้านเขามีกี่ชั้นก็ไม่รู้ ห้องหับเขาจะสวยขนาดไหน เราก็ไม่เห็นน้า พอไปเห็นตึกใหญ่ อู้ฮู อู้ฮู นี่ก็เหมือนกันพอไปรู้อะไรจิตดวงดับไป มันไปรู้แต่เปลือกเห็นไหม อาการไงรู้แต่ภายนอกไง มันยังไม่ได้เข้าไปในบ้านนะ มันยังไม่รู้ว่าในบ้านเขาจะมีห้องมีหับขนาดไหน ตู้เซฟจะใหญ่โตขนาดไหน จะมีเงินทองซ่อนไว้อย่างไรยังไม่รู้นะ เพราะยังไม่เข้าถึงตัวจิต พอไม่เข้าถึงตัวจิตมันพูดนะ อู๋ ไปบ้านนั้นมาแล้วล่ะ อู้ฮู หลังใหญ่มากเลยนะ อู้ฮู้ อู้ฮู เลยนะ แต่ไม่รู้ข้างในมีอะไรบ้าง ไม่รู้
ประเด็น : มันถึงพูดอย่างนี้ไง จิตดวงหนึ่งดับไป หากจิตดวงใหม่มีสติระลึกรู้จิตดวงเดิม จิตดวงเดิมซึ่งหมดสภาวะ หมดสถานะจากธรรมชาติ ที่รู้อารมณ์ไปแล้ว ก็เปลี่ยนสถานะไปเป็นอารมณ์ เป็นอารมณ์ให้จิตดวงใหม่รับรู้
หลวงพ่อ : จะบอกว่าเป็นปัจยาการสืบต่อไง มันบ่วงโซ่ไง ไร้สาระ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเขาไม่เคยเห็นความเร็วของจิต ความเร็วของจิต ทำไมจิตดวงใหม่ดวงเก่ามันรับรู้กัน แล้วเนี่ยเขาด่าเรานะว่าเราชั่วแล้วเราลืมไปล่ะตั้งเมื่อวาน แล้ววันนี้มาคิดได้ แล้วดวงโน้นกะดวงนี้ มันเกี่ยวกันอย่างไร ก็ด่ากูตั้งเมื่อวาน กูเพิ่งมาคิดวันนี้ แล้วดวงเก่ามันไปแล้วน่ะ แล้วจะมาเกี่ยวกะดวงใหม่ได้อย่างไรว่ะ
เพราะเขาบอกว่าอารมณ์เนี่ยเห็นไหม อารมณ์ที่เนี่ยจิตดวงหนึ่งดับไป จิตดวงใหม่เป็นสภาวะดวงที่รู้ เมื่อจิตดวงหมดสภาวะไปตามธรรมชาติที่รู้อารมณ์ไปแล้ว ก็เปลี่ยนสถานะ ก็เปลี่ยนสถานะเขาจะบอกว่ามันเป็นห่วงโซ่ความคิดไปเลยนะ
แต่เขาไม่คิดหรอกว่า ธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของจิต ธรรมชาติที่รู้ในอวิชชา บอกว่าจิตนี่เปรียบเหมือนยางเหนียว แปะอะไรก็ติด มันแปะคือมันคิดอยู่ตลอดเวลา ธรรมชาติมันรู้ ธาตุรู้คือธรรมชาติรู้ ธรรมชาติรู้ มันรู้ถึงธรรมชาติของมัน ขณะที่เรานั่งเฉยๆ เราก็รู้ความความเหม่อ ความเหม่อถ้าเราไม่รู้เราจะเหม่อได้อย่างไร เรานั่งเฉยๆ นี่เหม่อ เหม่อลอย เหม่อนั่นมันรู้เหม่อนั้นน่ะ ถ้าไม่รู้ว่าเหม่อ มึงจะว่ามึงเหม่อได้อย่างไร
แต่ตัวรู้มันละเอียดกว่าเหม่อนะ เนี่ยเวลารู้ คิดเจ็บช้ำน้ำใจนะ รู้คิด รู้สุขนะ ไอ้เหม่อก็รู้ว่าเหม่อนะแต่ไม่รู้ตัว พอมันผ่านค่อยรู้ว่าเออเมื่อกี้เหม่อเว้ย (หัวเราะ) เหม่อไป แล้วมันไปเกี่ยวกะดวงไหน ไปเกี่ยวกะดวงไหน นี่เพราะคิดคิดเป็นวิทยาศาสตร์ แล้วพยายามอธิบาย พยายามอธิบายจิตเป็นวิทยาศาสตร์ จิตนี่ เป็นวิทยาศาสตร์น่ะ วิทยาศาสตร์ทางจิต ถ้าพิจารณามันเป็นวิทยาศาสตร์ แล้ววิทยาศาสตร์ยิ่งกว่านี้อีก เป็นวิทยาศาสตร์
ถึงเวลาครูบาอาจารย์บอก ธรรมเหนือโลก ธรรมเหนือโลกคือว่ากิเลสไม่มีเหตุผล เราคิดนะ สิ่งที่เราคิดนี่ไม่ดีหมดเลย แต่เรามีเอาเหตุผลอะไรไปสู้กับมัน ให้กิเลสมันไม่คิดล่ะ นี่เวลาคิด คิดธรรมะก็เหมือนกัน เวลาธรรมะมันเกิดขึ้นมา มันเหนือเหตุเหนือผลไง เนี่ยธรรมเหนือโลกไง แต่ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์มันต้องคิดได้แค่นี้ เป็นวิทยาศาสตร์ต้องมีค่าของมันใช่ไหม เนี่ยมีค่าทางฟิสิกส์มีค่าต่างๆ ต้องออกมาเป็นอย่างนี้ แต่ความคิดของเรามันมีค่ามากกว่านั้น มันถึงจะปิดกั้น ปิดกั้นกิเลสอยู่ได้
เออว่าธรรมเหนือโลกเนี่ย เหนือวิทยาศาสตร์ เหนือ เราถึงบอกเหนือวิทยาศาสตร์ เหนือวิทยาศาสตร์เหนือธรรมชาติ เหนือทุกอย่าง แล้วจะบอกว่าถ้าไปรู้ไปเห็นเข้าแล้วจะสาธุ ถ้ายังไม่รู้ไม่เห็นนะยังตีโพยตีพายว่าคนพูดสงสัยท่าจะบ้า (หัวเราะ) มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าใครไปรู้เข้านะมันจะรู้เข้า
ประเด็น : สติจะเกิดระลึกสติจะเกิดระลึกรู้จิตดวงที่เพิ่งดับไปได้ เพื่อหัดตามรู้จิตตามรู้จิตเนืองๆ จนจิตจนจำสภาวะของจิตได้แม่นยำ
หลวงพ่อ : จนจำสภาวะของจิตเนี่ยมันสัญญา จนจำสภาวะของจิตเนี่ย ก็เวลาเรา.. ในอภิธรรมน่ะมาหาบ่อย เราบอกพิจารณากาย ผ่านกายแล้ว เราบอกพิจารณา โอ้ผ่านกายแล้วน่ะ แล้วทำอย่างไรต่อไป ต้องกลับไปทบทวน เอ้า ผ่านแล้วไปทบทวนทำไม จำสภาวะไง
ประเด็น : จำสภาวะของจิตได้อย่างแม่นยำ ถิรสัญญา เอาอะไรนะบาลีมาค้ำประกันด้วยนะ กลัวจะว่ามันเป็นสัญญาธรรมดาไง เป็นถิรสัญญา แล้วสติจะเกิดตาม แล้วสติจะเกิดตามรู้ระลึกรู้จิตที่เพิ่งดับไปเอง
หลวงพ่อ : ดับไป คือดับไปเป็นจิตตัวเก่า จิตตัวใหม่ก็คือตัวใหม่ ความรู้อันเก่าดับไปแล้วคือดับไป คือถ้าเอาความรู้อันเก่า หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์เรา เวลาเทศนาว่าการ ท่านบอกเลยนะเทศน์นี้ฟังให้เป็นจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง คือเป็นการกระตุ้น ใครอย่าจำไปนะ ถ้าใครจำไปจะเป็นทุกข์ของคนจำไป เพราะคนจำไปจะสร้างภาพ ธรรมะเนี่ย หลวงตาเวลาท่านเวลาเทศน์ธรรมะ เวลาเข้าถึงจุดไคลแมกซ์ของมัน ท่านบอกว่าไม่เอา เดี๋ยวมีพระจะจำ ท่านบอกอันนี้ละไว้ ท่านเทศน์ข้ามไปเลย
เพราะการจำนั้นเป็นโทษของการปฏิบัติ เพราะการจำ การไปรู้ การไปรู้ก่อน พอการไปรู้ก่อน มันจะสร้างภาพ แล้วจิตมันต้องการ มันมีกิเลส มันต้องการมรรคผล มันต้องการต้องการสิ่งที่ให้มันเป็น ขนาดที่มันไม่รู้ มันยังหลอกยังลวง มันยังสร้างขนาดนี้ แล้วถ้ามันรู้มันจะปฏิบัติไปได้อย่างไร
ประเด็น : อันนี้บอกเลย เนี่ยจิตจนจิตจำสภาวะของจิตได้แม่นยำ แล้วจะเกิดความระลึกรู้ ถึงเกิดดับไปได้เอง แล้วจะเกิดปัญญาเอง
หลวงพ่อ : ก็ปัญญาก็เลยเกิดอัตโนมัติไง อันนี้มาจากเว็บไซต์หรือมาจากไหน ถ้าออกไปในเว็บไซต์ ถ้าใครอ่านแล้วนะโอ้โฮ โอ้โฮเลยนะ แต่เราเห็นแล้วนะ โทษนะ.. อยากจะร้องไห้ อยากจะร้องไห้เพราะอะไรรู้ไหม เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านพูดของท่านไว้ เป็นธรรมะจากหัวใจของหลวงปู่ดูลย์ ท่านใช้ชีวิตของท่านทั้งชีวิต ค้นคว้าของท่านมา ท่านปฏิบัติของท่านมาจนเป็นสัจธรรม แล้วท่านก็สร้างของท่านมาเป็นคุณธรรม ให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ประพฤติปฏิบัติตาม
แล้วลูกศิษย์ของท่าน อ้างว่าเป็นลูกศิษย์ของท่าน แล้วเอามาบอกว่า ท่านคลาดเคลื่อน คนนี้คลาดเคลื่อน แล้วสร้างความรู้ความเห็นอันใหม่ขึ้นมา พอสร้างความรู้ความเห็นอันใหม่ขึ้นมา แล้วคนที่วุฒิภาวะไม่ถึง อ่อนด้อย ไปเห็นคำพูดที่มันจินตนาการตามได้ ก็หาว่าสิ่งนี้เป็นคุณธรรม เห็นไหมหลวงปู่ดูลย์การกระทำของท่านสิ่งเนี่ยโศลกอันนี้ใครๆ อ่านแล้วทุกคนก็ทึ่ง ทุกคนก็ว่าหลวงปู่ดูลย์นี่มีวุฒิภาวะที่น่าเคารพบูชา
แต่สุดท้ายแล้ว เขาเข้ามาตีความให้มันคลาดเคลื่อนไปหมดเลย อ่านแล้วน่าเศร้าไหม คือพวกเรานะ หรือชาวพุทธเราที่นับถือครูบาอาจารย์ มันก็มีของมีค่า คือมีเพชรนิลจินดา หลวงตาท่านพูดนะ เวลาสร้างจากจิตใจดวงหนึ่ง เพชรน้ำหนึ่ง เพชรน้ำเอก เพชรน้ำหนึ่งนะ ก็มาประดับในศาสนาว่าพุทธศาสนามีมรรคมีผล ผู้ใดปฏิบัติมาเนี่ยเป็นเพชรน้ำเอก เป็นเพชรน้ำหนึ่งก็มาประดับศาสนาไว้ว่าศาสนานี้มีมรรคมีผล
แล้วหลวงปู่ดูลย์ ท่านปฏิบัติมาเป็นเพชรน้ำหนึ่ง เป็นเพชรน้ำหนึ่งที่มีคุณค่า แล้วเราเนี่ยมาทอนคุณค่าของเพชรเอง แล้วไปเอาไอ้เพชรอัด ไปเอาคริสตัล ไปเอาพลาสติกมาบอกว่านี่เป็นเพชร แล้วมันหาได้ง่าย มันทำได้ง่าย ทุกคนก็ว่านี่คือเพชร ไอ้เพชรแท้แท้เลยหมดค่าไปนะ ไอ้เพชรแท้แท้เลยไม่มีใครเอาจะไปเอาไอ้พลาสติก ไอ้สิ่งที่เขาอัดกันมาสวยงาม เด็กๆ มันห้อยกันอยู่เต็มคอนั่น เพราะอะไร เพราะมันตีความได้ไง แต่เราอ่านแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลย มันสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้นเลย
หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดถูกหมด แต่เพราะว่าอย่างเช่นเราพูดบ่อยนะคำนี้ เมื่อก่อนเขาพูดมาไงว่าเราบอกว่าแต่เดิม ไอ้เนี่ยไอ้พวกซินตึ๊ง เสื่อผืนหมอนใบ แล้วเรามาหาอยู่หากินกัน พวกที่อพยพมาเนี่ย เขามีเสื่อผืนหมอนใบนะ เขามีความขยันหมั่นเพียรของเขา เขาทำมาหากินของเขาถึงตั้งเนื้อตั้งตัวขึ้นมาได้ เดี๋ยวนี้จะทำแบบนั้นอีกไม่ไหว ไม่มีใครทำอย่างนั้นได้ เพราะมันอ่อนแอกันหมด
เมื่อก่อนซินตึ๊งมานะ พอเรือเข้าปากอ่าวเข้ามาทุกคนดีอกดีใจหมดเลย เพราะอะไรเพราะมันเขียวขจีไปหมดไง กูมีกำลัง กูมีแรง กูจะหาอยู่หากิน กูจะทำพืชผล กูจะมี กูรอดตาย แต่เดี๋ยวนี่นะไม่ได้เลย อ่อนแอกันไปหมดเลย ทำอะไรกันไม่ได้เลย แล้วจะใช้ปัญญามาตีความกัน ไอ้ที่เราเศร้าใจ เราเศร้าใจตรงนี้ไง เราเศร้าใจว่าคนมันจะอ่อนแอ แล้วใช้ดูจิตดูจิตกันไปแล้วก็สร้างภาพนะ เราเห็นอีกอันหนึ่งที่เขาเอามานั่นน่ะ ดูจิตไป ดูจิตไปนะ พอทันจิตแล้วเนี่ย พอเดี๋ยวมันจะเกิดปัญญาเอง จะเกิดปัญญาเอง มันจะเป็นไปได้อย่างไร
ถ้ามันเป็นไปได้อย่างนี้นะ ไอ้การศึกษาต่างๆ ทำไมนักเรียนเวลาลอกข้อสอบ เขาไม่ให้คะแนน ไอ้การลอกข้อสอบ ไอ้คนลอกตกนะมึง ไอ้จิตมันไปเพ่งไปดูอยู่ มันก็ไปลอกไปเพ่งไปจำอยู่นั่น มันจะได้อะไรขึ้นมา มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพียงแต่เวลาเราพูดไปแล้ว เนี่ยคนเชื่อถือ แต่ของหลวงปู่ท่านพูดถูกหมดนะ จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย จิตส่งออกนอกเพราะอะไร
เพราะเวลาเขาพูด ถ้าไม่อธิบายถึงจิตส่งออกนอกเนี่ย อวิชชามันอยู่ที่ไหนแล้วมันมาอย่างไร ทีนี้ไอ้คนที่มันไม่เข้าใจคำว่าส่งออกนอก มันคิดแบบพลังงานใช่ไหม อยู่เฉยๆ มันจะเป็นอะไร นี่ไงจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ที่อะไรนะ พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ถามหลวงปู่มั่นไง ว่าวิชชาสวะใช่ไหม อวิชชาสวะ แล้วก็กิเลสสวะ เข้าใจได้ ภวาสวะเข้าใจไม่ได้ ภวาสวะคืออะไร ภพนี่เป็นอวิชชาได้อย่างไร ภพนี่เป็นกิเลสได้อย่างไร ภพ นี่ไงจิตเป็นกิเลสได้อย่างไร
เมื่อพอเราไปอ่านเจอนะพอเจ้าคุณจูมถามนะ เราเข้าใจตูมเลย เข้าใจตูมเลย ภวาสวะคือตัวภพตัวสำคัญมาก ตัวจิตเฉยๆ เนี่ย นี่ไงที่ว่าอุเบกขาญาณ อุเบกขาญาณ ไม่มีทาง ตัวนี้มันตัวสถานะที่มันจะไป ถ้าไม่มีภพ ไม่มีสถานที่ตั้งกิเลสมันอยู่บนอะไร ความคิดคนมันมาจากไหน แล้วตัวจิตเฉยๆ ตัวจิตตัวภพ ภพเราก็ไปดูภพชาตินี่ไง แต่เราไม่พบ ปฏิสนธิจิตคือตัวภพ คือตัวเริ่มต้นคือจุดเริ่มต้นของทุกๆ อย่าง อวิชชามันครอบงำ อวิชชามันอยู่ในภพนั้นด้วย กิเลสสวะมันอยู่ในภพนั้นด้วย
ตัวภพเนี่ย เจ้าคุณจูมท่านเป็นนักวิชาการท่านบอกว่า ภพเฉยๆ เป็นกิเลสได้อย่างไร อย่างเงิน เงินเป็นกิเลสได้อย่างไร เงินก็คือเงิน แต่เงินนี่มันซื้อทุกอย่างนะ เงินมันเกิดได้ทุกอย่างด้วยเงิน แต่ถ้าไม่มีตัวจิต ไม่มีตัวจิตก็ไม่มีตัวกรรม เพราะข้อมูลการทำดี ทำชั่วทั้งหมด มันย่อยสลายลงอยู่ที่ภพ อยู่ที่จิตหมด แล้วมันแสดงออกจากที่นั่น กรรมดี กรรมชั่วไง กรรมเก่า กรรมใหม่ไง กรรมอดีตชาติมาเท่าไหร่ มันอยู่ที่นั่นไง
ถ้ากรรมมันมันตัดขาดกันนะ พระโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ถ้ามันขาดกันมันก็ต่อเนื่องกันไม่ได้ มันจะต่อเนื่องเป็นพระโพธิสัตว์ขึ้นมาได้อย่างไร พระเวสสันดรมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัทธะได้อย่างไร นี่ไงเพราะตัวภพตัวนี้เป็นตัวเก็บข้อมูลไง ตัวภพตัวนี้เป็นตัวเก็บข้อมูลทุกอย่าง อยู่ที่ภพนี้หมดไง ทุกอย่างมันอยู่ที่จิตไง ทุกอย่างอยู่ที่จิต แล้วพอมันส่งออกมันเกิดพลังงาน
ประเด็น : เขาถึงบอกว่า จิตส่งออกต่างหาก ความส่งออกของจิตต่างหาก คือตัวทะยานอยาก
หลวงพ่อ : เวร มันบอกถึงว่าการภาวนา การภาวนานี่เขาภาวนาได้แค่ไหน การภาวนาได้แค่ไหนก็เหมือนที่เราพูด เหมือนที่เราเข้าไปในสถานที่นี้ได้ลึกซึ้งขนาดไหน เหมือนความลับทางราชการ ตำแหน่งหน้าที่ต่ำก็รู้ได้น้อยๆ ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่เรารู้ความลับของทางราชการได้ลึกตื้นแค่ไหน การปฏิบัติของเรา เหมือนกับตำแหน่งราชการเราเป็นตำแหน่งเล็ก ตำแหน่งใหญ่ขนาดไหน ถ้าตำแหน่งเล็กเราก็ได้รู้ข้อมูลแค่ผิวเผิน ถ้าตำแหน่งเราใหญ่ขึ้นมาเราจะได้รู้ข้อมูลได้ลึกซึ้งขึ้นไป ถ้าเป็นผู้อำนวยการทั้งหมดเราจะรู้ข้อมูลทั้งหมดเลย
อันนี้เพราะเขาไม่รู้ข้อมูลไง เขารู้ข้อมูลแบบข้าราชการชั้นผู้น้อยไง ก็รู้แต่เรื่องปลีกย่อย แต่คิดว่าอยู่ในองค์กรนั้นรู้หมดไง อธิบายมามันเลยเฉิ่มๆ นี่ไง เฉิ่มๆนะ ถ้าให้เราพูดอย่างนี้นะ จ้างเท่าไหร่ก็ไม่กล้าพูดเพราะอาย ให้เราพูดอย่างนี้นะ (หัวเราะ) จ้างให้พูดก็ยังไม่กล้าพูด อย่าว่าแต่จะพูดเองนะ จ้างให้พูดก็ยังไม่กล้าพูด
แต่นี้พูดออกมาจากความไม่รู้ ยืนยันนะ ยืนยันแล้วนี่ลงซีดีด้วย เดี๋ยวจะแจกแล้วไปเปิด อันนี้มาจากเว็บไซต์ หรือมาจากไหน จากหนังสือ โอ้..เวรกรรม แต่เป็นหนังสือของเขาจริงๆ นะ พอพูดไปก็บอกไม่ได้พูดนะ ลูกศิษย์พูดทุกที พอเราพูดออกไปนะ ไม่ได้พูด ไม่ได้พูด หลวงพ่อสงบไม่เคยอ่านหนังสือของผมเลย วิจารณ์ผมอย่างเดียว (หัวเราะ) ถ้าอย่างนั้นเขาจะพูดเอง พอเราพูดปั๊บบอกไม่ใช่ทุกทีเลย แล้วก็ถามอย่างเดียวว่า เราได้รับข้อมูลอย่างไรมา เนี่ยมันชัดเจน คำว่าชัดเจน ถ้าไม่งั้นแล้วเขาคงไม่กล้าวิจารณ์
แต่มันแปลกใจที่ว่าหลวงพ่อ........ ตีความว่า ถ้าเป็นเขาเขียนเอง คงจะไม่ใช่ว่าหลวงพ่อ......ตีความว่าเขาคงต้องเขียนเอง อันนี้เขาต้องอ้างว่าลูกศิษย์เขียนเองอีก เพราะใช้คำว่าหลวงพ่อ......ตีความว่า อย่างนี้เวลาเขาตีความเป็นธรรมะชั้นละเอียด ชั้นสูง อะไรเป็นไฮไลท์ เขียนมาเพราะมันไม่มีใครแยกแยะ เราจะพูดเอง เราจะพูด พูดสักพักหนึ่ง ทีแรกว่าจะเลิกแล้วนะ จะเลิกจะหยุดไง
ทีนี้จะเลิกจะหยุด ไอ้อย่างนี้จะหยุดหมายถึงว่า ถ้ามันพูดไปมันเหมือนกับอะไรนะ กลองจัญไร มันดังตึ้มตั๊ม ตึ้มตั๊ม มันจัญไร กลองแม่งจัญไรนะ ดังอยู่เรื่อยเลย แต่นี่มันมีไอ้นี่มาตีไง ว่าจะเลิกอยู่ทีนี้มันก็ตรงนี้ ถ้าเลิกแล้ว ถ้าเลิกนะแมวไม่อยู่หนูจะร่าเริง งั้นมันอยู่ที่เหตุผล ถ้าแมวอยู่หนูไม่กล้านะ ถ้าบอกเลิกคือแมวบอกว่ากูไม่จับหนูแล้ว หนูมันจะวิ่งเพ่นพ่านเลย ฉะนั้นมันอยู่ที่เหตุผล ถ้ามีเหตุมีผลที่ควรจะพูดเราจะพูด แต่ถ้าไม่มีเหตุมีผลก็อย่างนี้ เพราะคนอื่นพูดไม่มีทาง คำพูดคล้ายๆ กัน
แต่เราดูแล้วมันชัดเจนมากนะ ที่มันรับไม่ได้บอกว่าหลวงปู่ดูลย์คลาดเคลื่อน เจ้าของเขาเขียนเองมันจะคลาดเคลื่อนได้อย่างไรว่ะ เจ้าของพูดเองมันจะคลาดเคลื่อนได้อย่างไร ตัวเองจำมาแล้วเข้าไม่ถึง จะบอกว่าคลาดเคลื่อนต่างหาก แต่ไปบอกว่าหลวงปู่ดูลย์น่าจะคลาดเคลื่อน จะใช้ว่าน่าหรือภาษาเราเลยนะไม่มั่นใจตัวเอง เราถึงบอกหลวงปู่มั่นเห็นไหม ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ เราพูดบ่อยเมื่อก่อน กูสอน ถ้าผิดกูให้ตัดหัวเลย หัวกูนี่ตัดทิ้งไปเลยนะ ทีนี้เพียงแต่ว่ามึงทำได้ไม่ได้เท่านั้นนะ แต่ถ้ากูบอกแล้วทำอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ กูให้ตัดหัวทิ้งเลย ไม่มีอะไรเนอะ เอวัง