เทศน์ไสยศาสตร์ลวงโลก
เทศน์ไสยศาสตร์ลวงโลก
(เทปนี้ ผู้ศรัทธาและเดินทางไปให้กำลังใจพระปราโมทย์ บันทึกไว้เมื่อเช้าวันที่ 21 มกราคม 2553 ณ สวนสันติธรรม ศรีราชา หลังเกิดเหตุการณ์บ้านอารีย์เพียง 3 วัน และต่อมาเมื่อทราบความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับพระปราโมทย์ จึงนำมามอบให้ผู้เขียน โดยหวังว่า จะช่วยเผยแพร่ความจริง เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังหลงเชื่อพระปราโมทย์ ให้หลุดออก ความหลอกลวง)
ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2553 หลังบ้านอารีย์มีประกาศยุติเผยแผ่ธรรมะของพระปราโมทย์เพียง 3 วัน สำหรับบุคคลทั่วไปนั้นยังถือเป็นวันที่ค่อนข้างสับสนว่าอะไรเป็นอะไร แต่สำหรับพระปราโมทย์แล้วถือเป็นวันที่อันตรายมาก เพราะประวัติเท็จของตนเองที่นำเอาชื่อหลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโรมาอ้างไว้ กำลังเสี่ยงต่อการถูกเปิดโปง
ประกาศบ้านอารีย์นั้น มีด้วยกัน 8 ข้อ ข้อ 1-6 และ 8 เป็นการแสดงความไม่เห็นด้วยในเรื่องการสอนหลังจากทำหน้าที่เผยแผ่มานาน แต่ในข้อ 7 เป็นการแจ้งว่า พระปราโมทย์โกหกเกี่ยวกับประวัติของตนเองโดยการแอบอ้างเท็จเกี่ยวกับหลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร ศิษย์อาวุโสของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล อย่างน้อย 3 เรื่อง
(ครูบาอาจารย์ที่ถูกพระปราโมทย์นำมาอ้างว่า"พยากรณ์"ภูมิจิตภูมิธรรมของตนนั้น จะเป็นท่านที่มรณภาพไปแล้วทั้งสิ้น ส่วนท่านที่ยังทรงธาตุขันธ์อยู่ ก็จะถูกนำมาแอบอ้างเท็จเพื่อสร้างประวัติของตนเองให้ดูน่าเชื่อถือ และโดยมากจะถูกอ้างว่า "เห็นด้วย" กับการสอนธรรมของตนเอง เช่น หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด, พระอาจารย์ปรีดา (หลวงพ่อทุย) วัดป่าด่านวิเวก-หนองคาย, พระอาจารย์มนตรี สวนพุทธธรรม-ป่าละอู, พระอาจารย์ตั๋น สำนักสงฆ์บุญญาวาส, และพระอาจารย์สำคัญสายหลวงพ่อชาท่านหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนจะไม่เอ่ยชื่อท่านในที่นี้ ฯลฯ
ในจำนวนพระสงฆ์ที่ถูกนำมาแอบอ้างนั้น ผู้ที่พระปราโมทย์นำมาใช้แอบอ้างมากที่สุด เห็นจะเป็น พระอาจารย์มนตรี อาภัสสะโร ซึ่งถูกนำมากล่าวเท็จถึงบ่อยที่สุดว่า สนิทสนมและรักพระปราโมทย์เหมือนพี่ชายน้องชาย และเป็นผู้ดำริให้ไปสร้างสวนสันติธรรม อีกทั้งยังบอกกล่าวว่าท่าน "เห็นด้วย" และมีคำสอนที่เข้ากันได้)
สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป เรื่องเหล่านี้ดูจะไม่มีความสำคัญมากเท่าไรเลย ความสนิทสนมในลักษณะศิษย์พี่ศิษย์น้อง หรือใครจะเป็นผู้ดำริให้สร้างสวนสันติธรรม เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก จะพิสูจน์ไปทำไม ?
แต่สำหรับพระปราโมทย์นั้น เนื้อความข้อนี้เป็นข้อที่ร้ายแรงที่สุด เพราะเป็นข้อที่พิสูจน์ได้ว่าตนเองเป็นพระไม่มีศีล พูดโกหกแอบอ้างเพื่อเรียกศรัทธา พระปราโมทย์ทราบดีว่า เอาชื่อหลวงพ่อมนตรีมาอ้างเท็จหลอกญาติโยมไว้อย่างไร เพื่อจุดมุ่งหมายอะไร จึงกลัวจะถูกเปิดเผยมากที่สุด ดังนั้นหากญาติโยมพิสูจน์ความจริงได้ว่า สิ่งที่กล่าวอ้างมาตลอดนั้นไม่เป็นความจริง จะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
ไม่เพียงหมายถึงความเป็นพระอริยะที่เฝ้าแอบอ้างมาตลอดจะถูกจับได้ว่าเป็นเรื่องโกหก แต่ยังหมายถึงมหาชนจะรับทราบโดยทั่วไปว่า พระปราโมทย์ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระมานานแล้ว ด้วยการหลอกลวงอวดอ้างว่าเป็นพระอริยะเพื่อเรียกลาภหรือสักการะ โดยที่ไม่มีธรรมนั้นในตน (สมณะที่กล่าวให้คนเข้าใจว่าตนเองเป็นพระอริยะ แต่บกพร่องในศีล 5 ย่อมไม่มีทางเป็นพระอริยะ จึงต้องอาบัติปาราชิกฐานอวดอุตริฯหลอกลวง)
อีกทั้งปริศนาที่มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระป่าได้เริ่มเมตตาออกมาชี้จุดผิด และความเป็นไปไม่ได้ในกรรมฐาน "ลัดสั้น" ของพระปราโมทย์มากขึ้นทีละองค์ จะเริ่มกระจ่างชัดว่า สอนผิดจริง และไม่ได้เกิดจาก ศิษย์ไม่เอาไหนไปถามข้ามสำนัก, ธรรมะตัดต่อ, ครูบาอาจารย์อื่นเข้าใจผิด, มาจากสายอื่นเช่น พิจารณากาย, ท่านอื่นอิจฉาหรือจงใจหาเรื่องตน ฯลฯ ตามที่มักอ้างเอาไว้ แต่เกิดมาจาก ไม่มีภูมิจิตภูมิธรรมที่แท้จริง ไม่เคยผ่านภาคปฏิบัติมาจริง แต่ศึกษาตำรามาสอน ประกอบกับเทคนิคทักจิตทักใจไว้เรียกศรัทธาจากญาติโยมเท่านั้น
หรือกล่าวสั้นๆว่า คนจะรู้ทันว่าเป็นพระไม่มีศีล โกหกหลอกลวงคน และเป็นพระอรหันต์นกหวีด สอนกรรมฐานผิดๆถูกๆ อาศัยผ้าเหลืองเป็นหนทางอยู่ดีกินดี มีคนกราบไหว้ มาโดยตลอดเวลาหลายปี
พระปราโมทย์จึงต้องดิ้นรนอย่างหนัก เพื่อที่จะไม่ให้ลูกศิษย์ของตนเองได้มีโอกาสสอบถามยืนยันความจริง หรือพิจารณาข้อมูลเทียบกันทั้งสองฝั่งได้ เพราะกลัวผู้คนจะเสื่อมศรัทธาแบบชั่วข้ามคืน อาณาจักรแห่งความหลอกลวงของตนอาจทลายลงไป
ทันทีที่บ้านอารีย์มีประกาศออกมา พระปราโมทย์จึงออกประกาศด้วยความรีบร้อนติดต่อกันถึง 10 ฉบับ แฝงไว้ด้วยอัตตา และคำโกหกมากมายที่พิสูจน์ภายหลังได้ เช่น ปล่อยข่าวเรื่องจะมีคนมาจับกุมตนในเช้าวันที่ 18 (ปัจจุบันเวลาผ่านๆกว่า 4 เดือน ตำรวจชุดดังกล่าวยังเดินทางมาไม่ถึง) ปฏิเสธโดยตอบเลี่ยงประเด็นปาราชิกในประกาศฉบับที่ 2, มีการกล่าวถึงขบวนการลึกลับ หญิงลึกลับ ผู้บงการเหนือหญิงลึกลับอีกที รวมทั้งเรื่องจิปาถะขาดสาระอย่าง กลุ่มคอยโจมตีตนโดยเป็น "กลุ่มเล่นตามสถานการณ์" (พระปราโมทย์อดีตเคยทำงานที่สภาความมั่นคงฯ อาจนำศัพท์ที่ใช้ในการสร้างสถานการณ์ทางการเมืองมาใช้ แต่การนำมาใช้เช่นนี้ ไม่สอดคล้องหรือถูกกาละเทศะกับเรื่องจริงทางศาสนาที่เป็นอยู่เลย) ฯลฯ
เมื่อเห็นว่าประกาศแรกๆของตน ทำให้ฝูงชนที่มีความศรัทธาเป็นทุนเดิม เกิดความเข้าใจตามที่ตนชี้นำแล้ว มีความโกรธแค้น เต็มไปด้วยความระแวง และรวมตัวกันด่าทอ สาปแช่ง บ้านอารีย์ โดยไม่พร้อมพิจารณาเหตุผลแล้ว พระปราโมทย์จึงค่อยเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องทางธรรมเป็นอันดับท้ายสุด โดยให้คำตอบเกี่ยวกับทางธรรมและการจาบจ้วงเปลี่ยนคำสอนหลวงปู่ดูลย์ในลักษณะ "เบี่ยงประเด็น" ในคำชี้แจงฉบับที่ 9 และ 10
แต่สุดท้าย พระปราโมทย์ก็ยังกลัวเป็นอย่างยิ่งว่า หากใครไปสอบถามความจริงเกี่ยวกับประวัติของตนกับหลวงพ่อมนตรี จะได้ข้อสรุปอยู่ดีว่า ตัวเองแอบอ้างเท็จมาตลอด และท่านยังอาจเปิดเผยข้อมูลหลายๆอย่างที่ท่านเลือกวางเฉย ไม่เอ่ยถึงมานานเป็นเวลากว่า 20 ปี
(เป็นที่มาของคำพูดของพระปราโมทย์ที่รู้กันในวงในของสวนสันติธรรม เมื่อครั้งประกาศสวนพุทธธรรม-ป่าละอู ว่า "กรณีของหลวงพ่อมนตรี เป็นกรณีแทรกซ้อน ไม่คาดฝัน" คือ พระปราโมทย์อาศัยแอบอ้างหลวงพ่อมนตรีมานานแล้ว และมีคนไปมาหาสู่ท่านมานานพอสมควร ด้วยปฏิปทาที่ไม่พูดกระทบกระเทือนให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายโดยไม่มีเหตุจำเป็น ถึงหลวงพ่อมนตรีจะกล่าวเตือนญาติโยมให้ทราบเป็นนัยๆมาตลอด แต่ก็ไม่ปรากฏว่า จะเพียงพอให้ศิษย์ของพระปราโมทย์จับพิรุธและเกิดความสงสัยในวงกว้างได้ พระปราโมทย์จึงตายใจ และแอบอ้างหนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกล้ากล่าวพัวพันหลวงพ่อมนตรีเข้ากับการอวดอุตริพยากรณ์มรรคผลของตนเอง และประกาศแก้ไขธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ โดยคาดว่า หลวงพ่อมนตรีคงจะวางเฉยเหมือนที่ผ่านมา)
ด้วยความร้อนใจ ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2553 พระปราโมทย์จึงกล่าวเทศนาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสอดแทรกคำแก้ตัวและคำป้ายร้ายเป็นระยะๆให้ผู้ฟังที่เดินทางไปสวนสันติธรรมในเช้านั้นเข้าใจเสียใหม่หมดว่า ประกาศบ้านอารีย์เกิดขึ้นเพราะ มีคนจ้องทำลายตนด้วยอคติ พยาบาท และทั้งหมดเป็นเพียงสงครามไสยศาสตร์ !
ทั้งหมดมีการดำเนินการนำเสนอเป็นขั้นตอน โดยมี "ผู้สมรู้ร่วมคิด" ช่วยนำเรื่องหลอกลวงประชาชนนี้ไปกระจายบนเว็บไซต์และ forward email ซึ่งมีเนื้อความโดยรวมคือ
1. ต้องการขู่ญาติโยมให้กลัว และไม่กล้าไปสอบถามความจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจาก สวนพุทธธรรม-ป่าละอู บ้านอารีย์ หรือที่ สำนักพิมพ์ DMG Books ...
2. หากมีผู้จะมาเล่าความจริงอะไรเกี่ยวกับพระปราโมทย์ ห้ามรับฟัง ไม่อย่างนั้น อาจได้รับผลกระทบจากคุณไสยได้
3. ขู่และชี้นำว่า ผู้ที่ถูกคุณไสยนั้น จะเริ่มมีความสงสัยในพระปราโมทย์ และจะทำให้ภาวนาไม่ขึ้นไปหลายๆปี จนร้ายแรงสุดจะทำให้เสียสติภายหลังได้
Forward email เรื่องไสยศาสตร์แบบที่ 1
Forward email เรื่องไสยศาสตร์แบบที่ 2
สรุปได้ว่า หากใครมาเล่าข้อมูลเกี่ยวกับพระปราโมทย์ให้ฟัง ก็ห้ามรับฟัง ห้ามสงสัยพระปราโมทย์เด็ดขาด ไม่งั้นอาจโดนไสยศาสตร์ (หรือความจริง ?) เข้าตัวได้
เหตุที่แทนที่พระปราโมทย์จะยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเอง แล้วปล่อยให้สังคมตัดสินโดยฟังข้อมูลทั้งสองฝ่าย แต่กลับร้อนใจจนเลือกใช้เรื่องไสยศาสตร์มาขู่กลุ่มศิษย์ที่ไปสวนสันติธรรมบ่อยๆ เพราะทราบดีว่า ไม่สามารถปล่อยให้เหล่าลูกศิษย์ไปเที่ยวสอบถามได้ เพราะเมื่อไรที่คนทั่วไปทราบเหตุผลชัด มีพยานยืนยันทั้งเรื่องปัจจุบัน และเรื่องในอดีตได้ ก็เกรงจะเกิดความเสื่อมศรัทธาและเสียลูกศิษย์ทั้งกลุ่มในครั้งเดียว ตนเองและภรรยาก็จะต้องกลับไปใช้ชีวิตฆราวาส ซึ่งมีทั้งความขัดสน และขาดความยอมรับ คนสักการะ ล้อมหน้าล้อมหลังคอยรับใช้ เหมือนดังก่อนบวช
ส่วนบุคคลภายนอกที่ตั้งอยู่ในเหตุผล ประกอบอยู่ด้วยสามัญสำนึก และไม่ได้ศรัทธาหลงเชื่อพระปราโมทย์อย่างสนิทใจเป็นทุนนั้น พระปราโมทย์ทราบดีว่า ไม่สามารถนำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่าง ไสยศาสตร์ที่ทำไม่เฉพาะเจาะจง แพร่ได้ครั้งละเป็นร้อยเป็นพันคน แบบนี้มาเป็นข้ออ้าง เพราะไม่เพียงแต่คนจะไม่เชื่อถือ แต่ยังจะจับได้ทันทีว่า เป็นพระโกหกหลอกลวง และมีเรื่องไม่ชอบมาพากลซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง จึงแต่งเรื่องโกหกอีกรูปแบบ โดยอธิบายว่า กรณีบ้านอารีย์เป็นเรื่องสืบเนื่องมาจาก ความอคติหรืออิจฉากันระหว่างพระเท่านั้น
(โปรดสังเกตว่า กับคนวงในที่ไปสวนสันติธรรมเช้านั้น พระปราโมทย์จะพูดชัดเจนว่า ผู้ที่มีความแค้นตน "คนเดียว" เป็นผู้แพร่ไสยศาสตร์ ในขณะที่หลวงพ่อมนตรีและคนป่าละอู "ถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว" ส่วนบุคคลภายนอก พระปราโมทย์ จะ "ชวนคนลงนรก" ด้วยการกล่าวว่า หลวงพ่อมนตรี ก็ "อิจฉา" หรือ "ไม่พอใจตน" เช่นเดียวกับที่เคยกล่าวร้ายหลวงพ่อสงบ มนัสสันโต)
เรียกได้ว่า หลอกคนในด้วยเหตุผลอย่างหนึ่ง แต่ไปหลอกคนนอกด้วยเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ หากใครได้ทราบข้อมูลทั้งสองแบบ ก็คงสังเกตได้ถึงความกลับกลอกไม่มีศีลแล้ว
กัณฑ์เทศน์ชิ้นนี้จึงเป็นหลักฐานการมุสาชิ้นใหญ่ที่สุดของพระปราโมทย์ ที่ใช้ซื้อเวลา และป้องกันไม่ให้อาณาจักรแห่งความหลอกลวงของตนเองที่เพียรสร้างมาเป็นสิบๆปีต้องพังทลายลงไปเพราะมีคนจับโกหกได้ และเป็นสิ่งเดียวกันกับที่พระปราโมทย์กำลังทำอยู่ทุกวันจนถึงขณะนี้ คือ บิดพริ้ว หาช่อง หาเหตุผล หาคนมารับรอง ออกข่าวลือใหม่ ออกข้ออ้างหรือความหวังใหม่ เพียงเพื่อไม่ให้คนจับได้ หยุดเป็นทาส หยุดห้อมล้อม และเดินจากไป
และสำหรับผู้ที่ยังมีความสงสัยว่า เรื่องที่พระปราโมทย์พูดอาจเป็นความจริง ผู้เขียนขอท้าทายให้ท่านเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นหลักฐานสำคัญในใจตลอดไป และวันใดก็ตาม ที่ท่านประจักษ์ว่า ไสยศาสตร์เหล่านี้ไม่มีจริงตามที่อ้าง ก็ขอให้ท่านมองย้อนกลับมา เพื่อตระหนักถึงความเป็นบุคคลโกหกหลอกลวงของพระปราโมทย์ และช่วยกันแจ้งให้เพื่อนสหธรรมิกรอบตัวได้ทราบทั่วกันด้วยเถิด
ไฟล์เสียงกัณฑ์เทศน์ไสยศาสตร์ พระปราโมทย์ วันที่ 21 มค 2553 ช่วงก่อนภัตตาหารเช้า
แกะเทปกัณฑ์เทศน์ พร้อมคำอธิบายเทคนิคทางจิตวิทยาที่พระปราโมทย์นำมาใช้
หมายเหตุ
1. ได้มีความพยายามไม่ให้บุคคลภายนอกได้รับรู้ข้อความในเทปนี้ โดยในวันเดียวกันนั้น ได้มีผู้พยายามเอาเนื้อความบางส่วนของกัณฑ์เทศน์นี้โพสต์ลงใน Pantip.com แต่ถูกศิษย์สวนสันติธรรมออกมาโพสต์ห้าม และเพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น กระทู้ดังกล่าวก็ถูกลบหายไป แต่ยังมีผู้ save เก็บไว้ทัน ดังจะนำมาแสดงต่อไป
2. หลังจากนั้น เนื้อความดังกล่าว ก็มีผู้ตัดมาแสดงไว้ในกระทู้ Pantip.com อีกหลายครั้ง โดยทุกครั้ง กระทู้จะถูกลบหายไปอย่างรวดเร็ว
3. ปัจจุบันหลักฐานแสดงถึงการโกหก หลอกลวง ของพระปราโมทย์ไม่ได้มีเฉพาะการกล่าวอ้างถึงหลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร เพียงกรณีเดียว เพราะมีผู้พบข้อพิสูจน์ ทั้งในรูปของข้อเขียน ประกาศ หลักฐานเสียงใน CD ซึ่งเว็บไซต์แสดงหลักฐานการหลอกลวงของพระปราโมทย์ www.antiwimutti.net ได้รวบรวมมาแสดงไว้ที่นี่
4. ผู้ที่ได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจจากคำขู่ในเรื่องไสยศาสตร์ ขอให้ท่านทั้งหลายทราบว่าท่านได้รับความเดือดร้อนไปโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งหมดเป็นเพียงการดิ้นรนแต่งเรื่องโกหก เพื่อป้องกันการเสียอำนาจ สูญเสียผู้คนห้อมล้อม เคารพบูชา ของบุคคลเพียง 2-3 ท่านเท่านั้น
5. ปัจจุบัน มีผู้รู้ทันความหลอกลวงของพระปราโมทย์มากขึ้นทุกวัน ทั้งๆที่ยังไม่ได้พูดคุยสอบถามข้อมูล แต่จากการที่ทราบว่าสวนพุทธธรรม, บ้านอารีย์, หรือสำนักพิมพ์ DMG Books เป็นสถานที่มีผู้คนไปมาเป็นปกติ ไม่ได้มีคุณไสยจริงอย่างที่พระปราโมทย์และพวกร่วมกันอ้าง
6. ความเกรงกลัวในลักษณะ "วัวสันหลังหวะ" ของพระปราโมทย์ชี้ชัดว่า สิ่งที่หลวงพ่อมนตรี หรือเหล่าอดีตกรรมการสวนสันติธรรมทราบและอาจพูดออกมานั้น ทั้งหมดคงเป็นความจริง พระปราโมทย์จึงพยายามดิ้นรนถึงที่สุดเพื่อไม่ให้คนเชื่อ หรือแม้แต่ไปสอบถามทุกวิถีทาง
7. ท่านผู้อ่านจะยังยอมถูกพระทุศีล รูปนี้ อาศัยผ้าเหลืองหรือความเคารพศรัทธาที่เรามีให้โดยบริสุทธิ์ใจ เป็นเครื่องมือย้อนกลับมาหลอกลวงเราต่อไปหรือไม่
8. ผู้เขียนไม่อาจยัดเยียดสิ่งใดให้ท่านเชื่อตามได้ เพียงแต่หวังว่าข้อความบางส่วนอาจช่วยให้ท่านเป็นอิสระจากความหลอกลวงนี้ได้ด้วยการอาศัยปัญญาพิจารณาของท่านเองเท่า