หลวงพ่อสงบ ธรรมะตามสั่ง


ธรรมะตามสั่ง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ถาม-ตอบ  ปัญหาธรรม วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี 


เมื่อวานพูดไปแล้ว พูดไปเพราะว่าเค้าโทรศัพท์มาบอก บอกว่าทางโน้นน่ะเค้าปล่อยข่าว ปล่อยข่าวว่าหลวงตาเนี่ยบอกว่าให้พระสงบเนี่ยห้ามวิจารณ์ใครทั้งสิ้น นี่เราก็พูดนะ แต่เป็นความที่เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อหรอก เพราะหลวงตาเนี่ย ภาษาเราเนี่ยเราไม่มีค่าพอที่หลวงตาจะโทรศัพท์มาหาเราหรอก กูไม่เชื่อหรอก โอ้โหถ้าหลวงตาโทรมาหากูนะ อู้หูกูจะกราบแล้วกราบอีก กูจะรีบดีใจกูจะไปอยู่บนก้อนเมฆเลย หลวงตาหรือจะโทรไปหาใคร มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เค้าปล่อยข่าวอย่างนั้น ปล่อยข่าวว่า หลวงตาเนี่ยโทรมาหาเรา สั่งว่าห้ามเราพูด ไอ้นี่เมื่อวานก็พูด พูดไปแล้ว ว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นอกาลิโก ธรรมะคือธรรมะ อ๊อกซิเย่นอากาศมันเป็นสภาพความเป็นจริงของมันอย่างงั้น ใครจะไป ปิดกั้นไปห้ามมันไม่ได้ นี่เหมือนกันสัจจะความจริงอกาลิโกมันเป็นความจริงของมัน หลวงตาท่านรู้เรื่องความจริงน่ะ ท่านจะไม่มาปิดกั้นอากาศไม่เอามือปิดฟ้าหรอก  
นี่ก็บอกว่าหลวงตาโทรมาหาเราว่าให้เราห้ามออกมาวิจารณ์ แล้วก็มุมกลับ เค้าบอกว่าพระป่าทั้งหมดบอกว่าให้เค้าออกมาเทศน์ (อ้างอิงประกาศสวนสันติธรรม ฉบับ ๑/๒๕๕๓) ให้ออกมาเทศน์ใหม่ เทศน์ใหม่เพราะอะไร เพราะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ต่อสังคม สังคมได้ประโยชน์มาก กูว่านี่ธรรมะตามสั่งนะเนี่ย เค้ามีแต่ อาหารตามสั่ง ไอ้นี่ธรรมะตามสั่ง จะสั่งให้ออกมาเทศน์อีกแล้ว ถ้าสั่งให้ออกมาเทศน์ บอกมาว่าอาจารย์องค์ไหนบ้างที่บอก อาจารย์องค์ไหนบอกให้พระองค์นี้ออกมาเทศน์ อาจารย์องค์นั้นต้องต้องทำ เซ็นชื่อไว้เลยว่าให้ออกมาเทศน์ เพราะถ้ามันมีความเสียหาย อาจารย์องค์นั้นต้องรับผิดชอบด้วยอาจารย์องค์ไหน พระป่าองค์ไหนบอกให้ออกมา เทศน์ให้เป็นประโยชน์ต่อโลก ประโยชน์ยังไง  
อาหารตามสั่งนะ  อาหารที่เป็นตามสั่งสิ่งที่ เป็นคุณประโยชน์น่ะมันเป็นประโยชน์  แต่ถ้าสิ่งที่เป็นโทษน่ะเพราะมันจะได้ฟ้อง อย.ถูกไง ฟ้อง อย. ถูก ฟ้อง สคบ. ถูกว่า คำสอนเนี่ยมันสอนถูกหรือสอนผิด  ถ้าอาหารตามสั่งของที่มันเป็นสารพิษ เนี่ย นมมึงผสมเมลานีนใช่มั้ย ผักมึงก็มีแต่ฟอร์มาลีน แล้วนี่แช่ฟอร์มาลีนมาเต็มที่เลย ผักที่แช่ฟอร์มาลีนน่ะมันจะสวยงามมาก ผักถ้ามันปลูกตามธรรมชาติน่ะ ผักไร้สารพิษน่ะมันจะใบมันจะโดนแมลงกัด ใบมันจะไม่สวยงามเลย แต่มันไม่มีโทษให้กับใคร ถ้าผักที่มันแช่ฟอร์มาลีนขึ้นมาเนี่ย สิ่งนั้นน่ะมันสวยงามมาก มันดีมาก นี่ไงถ้าเป็นประโยชน์ประโยชน์ ประโยชน์ของสารฟอร์มาลีนน่ะมันจะ ให้ประโยชน์ต่อร่างกายได้ยังไง ดูซี่ดูอย่างลูกชิ้นน่ะเห็นมั้ยมันก็ใส่บอแรกซ์ซะแม่ง กระเด้ง ดึ๋งดึ๋งเลย แล้วบอก ถ้ามันบอกว่าให้พระองค์นี้ออกมาเทศน์นะ ให้ออกมาเพื่อสังคมนะ พระองค์นั้นต้องเซ็นชื่อไว้ แล้วเดี๋ยวจะร้องเรียน สคบ. ร้องเรียน อย. หมดเลย  
ถ้าพูดถึงเนี่ยคำพูดอย่างนี้เนี่ย มันจริงๆคือเราไม่เชื่อนะ เราไม่เชื่อสิ่งที่เค้าพูดหมดเลยอะ เพราะคนถ้ามีศีลมีสัตย์จะพูดความจริงและคนพูดความจริงน่ะจะลุยน้ำลุยไฟที่ไหนก็จะเป็นความจริงวันยังค่ำ แต่ถ้าคนพูดไม่พูดความจริงไม่กล้าลุยน้ำลุยไฟ ไม่กล้าพูดความจริง ไง ถ้าไม่กล้าพูดความจริงน่ะ เนี่ย พระป่า พระป่า พระครูบาอาจารย์ให้ออกมา เทศน์ออกมาเพื่อสังคม พระป่าองค์นั้นชื่ออะไร หลวงปู่หลวงตาที่ออกมาเทศน์ชื่อ อะไรให้เซ็นชื่อไว้ เวลามันผิดถูกขึ้นมาแล้วมันจะได้รู้ว่าคนไหนมีส่วนรับผิดชอบ กับสังคมนั้นบ้าง ให้เซ็นชื่อมา เวลาบอกว่าพระป่าให้ออกมา ออกมาเทศน์ ออกมาหนุนหลังเนี่ย  
คือเราดูมาตั้งแต่ทีแรก ทีแรกคือไม่มีความมั่นใจ คนเรานะถ้าเป็นคนจริง นะ เห็นมั้ยที่หลวงตาท่าน เวลาท่านพิจารณาเวทนาถึงที่สุดนั่งตลอดรุ่งน่ะ ท่านบอกเลยนะ แหมพอมันเห็นจริงนะเวทนาสักแต่ว่าเวทนานะเวทนาหน้าไหนจะหลอกกูได้อีกวะ เวทนานะมันก็สูงสุดแค่นี้น่ะ พิจารณาเวทนาจนเวทนากับจิตมันขาดออกจากกันหมด แล้วนะ แหมมันอยากจะขึ้นรายงานหลวงตาขึ้นไปนะโอ้โหพอรายงานหลวงตา เนี่ย เอ้ยขึ้นไปรายงานหลวงปู่มั่น พอขึ้นไปรายงานหลวงปู่มั่นเพราะมันจริงไง ธรรมดา น่ะเจอหลวงปู่มั่นน่ะทุกคนก็กลัวนะ เพราะเราคิดอะไรท่านก็รู้ทันหมดแล้ว พอมัน เป็นจริงขึ้นมาน่ะแหมมันองอาจกล้าหาญจะขึ้นไปรายงานท่านเลย พอขึ้นไปรายงาน ท่านน่ะ ไม่กลัวเลยเสียงน่ะแผดเลยเต็มที่เลย แล้วก็พอจบก็หมอบฟังว่าท่านวินิจฉัยว่าถูก หรือผิด  รอฟังคำวินิจฉัย เราถูกหรือผิด พอรายงานจนจบน่ะ รายงานความจริงจนหมดสิ้นแล้วเนี่ย เป็นอย่างงี้ เวทนาสักว่าเวทนา เวทนามันปล่อยอย่างงี้ มันเป็นความจริงแล้ว แล้วก็หมอบฟังว่าท่านจะวินิจฉัยว่าอย่างไร เออถูกแล้วล่ะ คนเราไม่ได้เกิดห้าอัตภาพ คนเรามันเกิดหนเดียว เกิดแล้วไม่ได้ประโยชน์ เกิดห้าอัตภาพคือตายเกิดโดยเปล่าประโยชน์ไง ท่านบอกเออถูกแล้วล่ะถูกทางแล้ว ต่อไปนี้คนเราไม่เกิดไม่ตายไม่เกินห้าอัตภาพโว้ย  ถูกทางแล้วนะ ให้มั่นคงให้แข็งแรงให้เข้มแข็งสู้มันไป!  
ท่านก็บอก โอ้โหย มีคนยุกูเว้ย มันก็คึกคักใหญ่เลย ก็ทำใหญ่ นี่ความจริงมันเป็นแบบนี้มีความมั่นใจไง แต่อันนี้นะมันไม่มีความมั่นใจ แล้วไม่มีความมั่นใจนะไม่มีความมั่นใจตั้งแต่หนังสือเล่มแรกที่ออกมาแล้ว นะ เราไม่ใช่พระป่า เราเป็นพระบ้านที่อยากปฏิบัติเท่านั้น ถ้าใครอยากปฏิบัติให้ไปหาพระป่า ไปดูหนังสือเล่มแรกๆเขาหมดเลย เราไม่ใช่พระป่า เราเป็นพระบ้านที่อยากปฏิบัติ ถ้าใครอยากปฏิบัติให้ไปหาพระป่า ถ้าบอกว่าประกาศว่าเป็น พระป่า พระป่าเขาก็ถือนิสัยกัน พระป่าเขาามีครูบาอาจารย์กัน ครูบาอาจารย์น่ะ ก็เหมือนกับเราจบมาจากสถาบันใด สถาบันนั้นจะมีครูประจำชั้นจะมีครูของเรา เค้าจะไปสืบได้ไง ไปสืบได้ว่า เนี่ย เนี่ย นักเรียนคนนี้เวลาเรียนอยู่น่ะมีนิสัยยังไง สมุดประจำตัวน่ะ พฤติกรรมมันเป็นอย่างใด เห็นมั้ยมันสืบสภาพได้ไง  
เราไม่ใช่พระป่า เราเป็นพระบ้าน เพียงแต่อยากปฏิบัติเห็นมั้ย  จะเป็นพระบ้านก็ยังอยากปฏิบัติอีกนะ จะเป็นพระบ้านมันไม่มีศักยภาพใช่มั้ย เราเป็นพระบ้านแต่อยากปฏิบัติ ฉะนั้นถ้าใครอยากปฏิบัติให้เป็น พระป่า  เค้าบอกเค้าไม่ใช่พระป่านะ แล้วตอนนี้บอกครูบาอาจารย์พระป่าไปหนุนเนี่ย คือตัวเองไม่มีความมั่นใจอะไรเลย ไม่มีความมั่นใจเพราะอะไรรู้มั้ย ไม่มีความมั่นใจเพราะ ไม่มีองค์ความรู้ ไม่มีความจริง ถ้ามีความจริงจะไปกลัวใคร อาจารย์สิงห์ทอง อาจารย์จวนน่ะไม่เคยกลัวใครเลย เพราะมีความจริงมีองค์ความรู้องอาจกล้าหาญมาก ถ้าความจริงมันเป็นอย่างงั้น องอาจกล้าหาญมันกล้าพูดความจริง แต่อันนี้ไม่กล้าพูด ความจริงนะ ไม่ใช่พระป่า ถ้าเป็นพระป่ามันก็จะมีครูบาอาจารย์ก็คือถือนิสัย มีพระป่าใช่มั้ย พระป่าเนี่ยเค้าเคารพครูบาอาจารย์กัน เค้าเคารพผู้ที่มีคุณกับเรา แล้วคนที่มีคุณกับเราเนี่ย เค้าจะรู้เอง คนที่ฝึกลูกศิษย์ลูกหามาเนี่ย จะรู้ลูกศิษย์ลูกหาพวกนี้จะมีโอกาสได้หรือไม่ได้  ไม่ใช่พระป่า เป็นพระบ้านอยากปฏิบัติแต่ตอนนี้บอกว่า ครูบาอาจารย์พระป่าทั้งหมดเลยล่ะกลับมาหนุน  
เอาให้แน่ๆอย่างนึงเถอะน่ะ จะเอา ยังไงก็บอกมาเอาให้แน่ๆซักอย่างนึง  ฉะนั้นบอกว่าถ้าพระป่าครูบาอาจารย์สายป่าสนับสนุนให้ออกมาเทศน์เนี่ย บอกชื่อมา แล้วให้ครูบาอาจารย์ที่บอกว่าให้ออกมาเทศน์น่ะให้เซ็นชื่อไว้ด้วย เวลาสังคมมีปัญหาจะได้หาคนรับผิดชอบถูก ถ้าคนรับผิดชอบถูกมันถึง จะเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะว่าอาหารตามสั่งนี่นะ อาหารตามสั่งตามร้านเค้าเนี่ย ดูซิเวลาลูกค้าเขาไปใช้บริการแล้วเนี่ย ผิดถูกเค้าท้องเสียเค้าอะไรเนี่ย เค้าร้องเรียนขึ้นมาเนี่ย  ร้านอาหารจะอยู่ไม่ได้นะ แล้วนี่ดูสิ คำว่านมผสมเมลานีนเนี่ย เห็นมั้ย สติไม่ต้องฝึก สติไม่ต้องฝึก สติเป็นเอง เผลอปั๊บสติมาเอง นี่ไง มันผิดตั้งแต่เริ่ม ต้นไง เนี่ยเวลาปฏิบัติไป สมาธิเหรอสมาธิถ้าตั้งใจจงใจผิดหมด แต่ถ้าเพ่งดูอยู่ แล้วมาลงวุ๊บลงสมาธิไปเลย ลงสู่ไหน ก็ลงสู่สมาธิ  บอกมาซิว่าส่วนผสมของอาหารเนี่ย มันผสมด้วยสารพิษทั้งนั้น ถ้าส่วนผสมมันผสมไปด้วยสารพิษทั้งนั้นน่ะแล้วประกอบ เป็นอาหารขึ้นมาน่ะ อยากจะรู้ว่าอาหารจะเปิดที่ร้านไหน ธรรมะตามสั่งเนี่ยพระป่า ที่ไหนจะบอกว่าให้ออกมาเทศน์ ถ้าพระป่าบอกให้ออกมาเทศน์ต้องให้พระป่านั้นเซ็นชื่อไว้ เซ็นชื่อไว้เลย มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เห็นมั้ย  
แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้นะ สิ่งที่เป็นไปได้ ดูสิพืชผักเนี่ยปลอดสารพิษเนี่ยประชาชนก็นิยม สิ่งที่เค้าขายกันที่มันแช่ สารพิษเนี่ย มันเป็นเรื่องธุรกิจเศรษฐกิจ คนเรานี่นะมันก็รู้อะไรถูกอะไรผิดอ่ะ แต่ในเมื่อเศรษฐกิจเราไม่ดีเศรษฐกิจเราจะดำรงชีวิตเนี่ยเรารู้ว่าสิ่งที่มันเป็นพิษน่ะ แต่เค้าก็ต้องอยู่ต้องกิน เค้าก็ทำของเค้าไป แต่ถ้ามีคนเลือกได้ใครจะเลือกกินสารพิษ ไม่มีใครเลือกกินสารพิษหรอก ทั้งๆที่รู้ๆนะ เนี่ยคนไปจ่ายตลาด ใครบ้างไม่รู้บ้างว่าสิ่งนั้น อาหารนั้นผสมด้วยสารพิษบ้างอะไรบ้าง ใครบ้างไม่รู้บ้าง ก็รู้ทั้งนั้นน่ะ แต่ทำไมบางคนต้องซื้อล่ะ แต่ถ้าคนเค้ามีโอกาสที่ไม่ซื้อได้ เค้าไม่ซื้อนะ เค้าไปหาแต่สิ่งที่ปลอดสารพิษนะ อันนี้ก็เหมือนกัน อันนี้เรื่องของสังคมนะ แล้วเนี่ยธรรมะตามสั่งเลย สั่งแล้ว ครูบาอาจารย์สั่งให้ออกมาเทศน์ แล้วครูบาอาจารย์ที่สั่งให้ออกมาเทศน์ ครูบาอาจารย์มีวุฒิภาวะรู้เป็นสารพิษหรือไม่เป็นสารพิษมั้ย ถ้ารู้ว่าเป็นสารพิษน่ะ สิ่งที่แสดงออกมามันเป็นเรื่องของความเป็นพิษหมด แต่ถ้าพวกเค้าจะออกมาเพื่อแสดงธรรม เห็นมั้ยเพื่อเป็นประโยชน์กับโลก คนที่กินสารพิษกินแต่สิ่งที่มันเป็นพิษมันเป็นประโยชน์มั้ย แต่ถ้าเค้าไม่ อาหารที่เขาไม่เป็นพิษเหมือนเค้า อาหารของเค้าทางโลกเค้า เค้าก็เป็นอย่างนั้น 
นี่ก็เหมือนกัน  คนเกิดมาเนี่ยมันก็เป็นเรื่องโลกๆ มันมีชีวิตอยู่แล้วล่ะ  แต่นี่คิดพูดถึงการว่าแสดงธรรมให้เค้าดีขึ้นมา ถ้าให้เค้าดีขึ้นมาน่ะสิ่งที่พูดออกมาเนี่ย มันเป็นสิ่งที่มันเจือปนด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามันเจือปนด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่ใช่เรื่องผิดนะ คำว่าไม่ใช่เรื่องผิดนะ เพราะมันเป็นเรื่องความ... เหมือนกับมันเป็นความจริงน่ะ ความจริงเพราะคนเกิดมามีกิเลสทั้งนั้นน่ะ คนทำเนี่ยถูกต้องทีเดียวเลยมันไม่มีหรอก  มันก็กิเลสทั้งนั้นน่ะ แต่คำว่ากิเลสน่ะครูบาอาจารย์ต้องรู้ ต้องรู้ว่าในเมื่อเริ่มต้นน่ะคนที่ปฏิบัติ เราพูดไปแล้วน่ะเห็นมั้ย สติปัฎฐาน ๔ น่ะผิดหมดน่ะ พวกที่ปฏิบัติว่า ใครว่าสติปัฎฐาน ๔ สติปัฎฐาน ๔ น่ะ ผิดทั้งนั้นน่ะ ผิดเพราะอะไร ผิดเพราะเรามีอวิชชา ผิดเพราะเรามีกิเลสอยู่ ทีนี้การตรึกในกาย เวทนา จิต ธรรม ผิดทั้งนั้นน่ะ ผิดเพราะอะไร ผิดเพราะไม่เป็นความจริง แต่ต้องทำมั้ย ต้องทำ มันเป็นการฝึกฝนไง ก็ฝึกฝนแบบพระป่าไง พอบอกว่าสติปัฎฐานสี่มันผิด ผิดหมด แล้วทำไมครูบาอาจารย์เราสอนสติปัฎฐาน ๔ ล่ะ อ้าวครูบาอาจารย์เราก็สอนสติปัฎฐาน ๔ แต่การสอนนั้นสอนโดยหลักใช่มั้ย การสอนสอนโดยหลักโดยธรรมของพระพุทธเจ้า แต่การประพฤติปฏิบัติของเราน่ะ มันเป็นความจริงขึ้นมารึยัง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาน่ะ สิ่งที่มันเจือปนมาด้วยสารพิษ สิ่งที่มันเจือปนมาด้วยอวิชชา สิ่งที่มันเจือปนมาด้วยความไม่รู้เนี่ยมันเริ่มเจือจางไป พอเริ่มเจือจางไปเนี่ยเราจะรู้จริงขึ้นมาเรื่อยๆ มันจะรู้จริงหรือรู้ไม่จริงเนี่ยมันอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติของเรา  เราประกอบอาหารหรือทำบางสิ่งที่ผิดพลาดขึ้นมาเนี่ย มันความผิดพลาดเห็นมั้ย แต่ความผิดพลาดเพราะอะไร เพราะเราไม่รู้จริง ผิดพลาดมันยังว่ามันถูกอยู่นะ เพราะอะไร เพราะมันรู้ไม่จริงว่าอะไรมันถูกใช่มั้ย แต่เราทำบ่อยครั้ง บ่อยครั้งเข้า เราเห็นอาการที่มันถูกต้องดีงามขึ้นมา มันแตกต่างจากที่ทำอยู่ไง ที่ทำอยู่เนี่ยทำแล้วก็เป็นสามัญสำนึกเรานี่แหละ แต่มันทำไป ทำไปมันดีขึ้นมา ดีขึ้นมาเห็นมั้ย นั่น เนี่ย สติปัฎฐาน ๔ น่ะ ที่มันจะดีขึ้นมา ดีขึ้นมาเพราะเหตุนี้ไง  ดีขึ้นมาเพราะว่าสิ่งที่เราทำผิด ผิดเพราะทุกคนผิดหมด  การปฏิบัติของครูบาอาจารย์ผิดหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าหกปีก็ผิดหมด ที่ปฏิบัติหกปีน่ะ ถ้ามันถูกมันก็บรรลุธรรม ไปแล้วสิ มันก็ผิดมาแล้วทั้งนั้นน่ะ แล้วครูบาอาจารย์เราก็ผิดมาแล้วทั้งนั้นน่ะ ผิดมาก่อน พอผิดมาก่อนแล้วมันก็ปฏิบัติให้ถูก  
แต่นี่เวลาเค้าสอนน่ะ  เนี่ยธรรมะตามสั่งเนี่ย มันไม่มีผิดเลยไง เผลอปั๊บสติมาเอง  คือทุกอย่างมันจะถูกหมด มันจะมาเองได้หมด เนี่ย เนี่ย ดูจิตไปดูไปเรื่อยๆ พอดูไปเรื่อยๆ พอจิตมันจะวูบลง วูบลงนี่ถูก  เค้าบอกถูกนะ วูบลงนี่ มันจะวูบลงถ้าจิตมันเป็นสมาธิ เป็นสมาธิสู่จิต แล้วมันวูบไปไม่มีสติควบคุม มันวูบไปไหนน่ะ มันก็วูบหายไปน่ะสิ เนี่ย ถ้าเรากำหนดพุทโธหรือปัญญาอบรมสมาธิน่ะ มันจะเป็นสมาธิไม่เป็นสมาธิเราจะมีสติตลอด เนี่ยครูบาอาจารย์เราสอนให้ฝึกสติตลอด สติมันจะควบคุมไปตลอด มันจะมีสติสัมปชัญญะไปตลอด นี่น่ะมันเป็นความจริงไง มันไม่ใช่พืชผักผสมสารพิษไง  
แต่ในโลกเห็นมั้ยดูสิ  พืชผักในป่าเนี่ยมันก็เป็นธรรมชาติ ของมัน มันก็เจริญเติบโตของมัน เห็นมั้ย แต่เดิมน่ะจิตใจของเราก็เป็นอย่างนั้น แต่คำว่าสารพิษน่ะ พอมีสารพิษขึ้นมาน่ะเห็นมั้ย พอมีสารพิษน่ะเพราะเร่งไง เค้าเร่งเนื้อแดง สารเร่งเนื้อแดงต่างๆเนี่ย มันเพื่อประโยชน์ของเค้า ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาเอาธรรมะมาสอนไง โดยธรรมชาติของมันน่ะจิตมันก็พัฒนาของมันอยู่อย่างงั้น แต่พอมาสอนไง เผลอปั๊บสติมาเอง สติไม่ต้องฝึก สติจะเป็นเอง สติจงใจนั้นเป็นความผิด แต่ถ้าสติเผลอมาเองมันจะถูก เผลอกับสติมันตรงข้ามกัน ตรงข้ามกัน เผลอสติมันจะมา ได้ยังไง เผลอมันก็เผลอไปเลย เผลอจะมีสติได้ไง อ้าว แล้วมีสติจะเผลอได้ยังไง แต่เผลอปั๊บสติมาเอง มันสิ่งที่ตรงข้ามกัน มันเหมือนไม้หกจะเป็นของมันไปเอง อ้าวสมาธิเหรอ สมาธิตัวแข็งๆนะ ใครทำสมาธิจะได้ฌานสองนะ จะต้องใช้ปัญญาไปเลยนะ ปัญญานี้เป็นวิปัสสนาญาณนะ เนี่ยแว๊บ พอใช้ปัญญาไปน่ะมันจะเห็นนิพพานแว๊บ เห็นนิพพานแว๊บ คำว่าเห็นนิพพานแว๊บๆน่ะมันก็เหมือนพวกเราปฏิบัติน่ะ ถ้าจิตมันลงมันอาจมีแสงบ้าง มีความสว่างบ้าง  มันก็แค่นั้นน่ะ คำว่านิพพาน นิพพานของเค้านะเราไม่เคยฟังเลยนะ เราไม่เชื่อหรอก ใครเห็นนิพพานบอกกูทีว่ะ ใครเห็นนิพพานบอกกูที กูขอดูดิ๊ใครวะเห็นนิพพาน พิจารณาไปจะเห็นนิพพานแว๊บหนึ่ง แว๊บสอง แว๊บสาม สามขณะ ถ้าสามขณะจะเป็นโสดาบัน ถ้าสี่ขณะ โอ้โฮ โอ้ย อย่างงี้กูเปิด ไฟสองทีสามทีไง เปิดทีก็สว่างที ปิดแล้วก็ดับ ปิดแล้วก็ดับ พอกูเปิดไฟสามทีนะ เปิดดับ ้เปิดปิดเปิดสามทีกูเป็นพระโสดาบัน เปิดปิดเปิดปิดสี่ทีกูเป็นพระสกิทา เปิดไฟน่ะเปิดไฟน่ะปิดไฟน่ะ พอเปิดก็เห็นแสงสว่างใช่มั้ย พอปิดมันก็มืดใช่มั้ย ก็เห็นนิพพานแว๊บ แว๊บที่หนึ่ง เห็นขณะ สามขณะ สี่ขณะ 
เนี่ยมันเพราะอะไรรู้มั้ย  พอบอกครูบาอาจารย์สั่งให้ออกมาเทศน์ สั่งให้ออกมาสอนเนี่ย เพราะพูดเนี่ยเวลาพูดมันพูดเห็นมั้ย หลวงตา เวลาพูดถึงเราเนี่ย พูดให้เป็นกิจจะลักษณะ หลวงตาสั่งให้พระสงบห้ามออก มากล่าวจาบจ้วงคนอื่น แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่ให้ออกมาเทศน์น่ะกลับไม่มีชื่อเลย เวลาหลวงตาเนี่ยสั่งพระสงบนะ แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่สั่งเค้าน่ะไม่มีชื่อเลยนะ เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะนิสัยเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ ตั้งแต่คำนำหนังสือเล่มแรกๆแล้ว เราไม่ใช่พระป่า เราเป็นพระบ้านที่อยากปฏิบัติ คือไม่มีที่มาที่ไป ใครจะได้จับจับ ใครจะได้ตรวจสอบเราไม่ได้ อันนี้ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์สายป่าเยอะไปหมดเลยนะ ให้เราออกมาเทศน์แต่องค์บ้างไหนไม่รู้ องค์ไหนบ้างไม่รู้ แต่สังคมก็เชื่อนะ เพราะสังคมเชื่อว่าพระพูด เห็นมั้ยพระพูด พระต้องมีศีล แต่ความจริงนี่พระไม่มีศีล ถ้าพระมีศีลนะเรื่องตัวบุคคล เรื่องธรรมวินัยนะ หลวงตาท่านบอกเลยน่ะ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปนะแสดงธรรมอยู่น่ะเหยียบหัวพระพุทธเจ้าอยู่ แสดงว่าแสดงธรรม คือทำผิด ทำผิด ทำผิดวินัยอยู่แล้วก็ยังแสดงธรรมอยู่ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าอยู่ฝ่าเท้าน่ะ แต่พูดธรรมะพระพุทธเจ้านะ  
นี่ก็เหมือนกัน  เวลาพูด พูดอย่างงั้น มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันจะเป็นไปได้นะเนี่ยเราพูดกันข้อเท็จจริง เราพูดกันเรื่องสัจจะ ข้อเท็จจริงเนี่ย เรื่องสัจจะอริยสัจจะ ตัวบุคคลแยกออกไป ถ้าเราทำคุณงามความดีแล้วนะ เนี่ย หลวงตาเนี่ยท่านไม่เคยพูดถึงหลวงปู่มั่นเลยทั้งๆ ที่อุปัฏฐากหลวงปู่มั่นอยู่แปดปี ออกมานะ ไม่เคย หลวงปู่มั่นไม่เคยชมหลวงตาว่าดีเลย  หลวงตาพูดเวลาถึงหลวงปู่มั่นนะ มีแต่หลวงปู่มั่นสับเขกอย่างเดียว ทั้งสับทั้งเขก ทั้งอะไรเลย ท่านบีบมา ท่านบีบมาจน เค้นมาจนหลวงตาท่านเป็นพระผู้ที่มีหลักมีเกณฑ์มา แต่เวลาคนอื่นเค้าเขียนมาบ้างน่ะ เหมือนกัน  หลวงปู่มั่นชมว่าดีอย่างงี้ หลวงปู่มั่นชมว่าดีอย่างงั้น นี่ไงหลวงตาใช้คำว่าอย่างนี้นะ พวกนี้ชอบยอตัวเอง ยอตัวเองคือยอให้ตัวเองมีชื่อเสียง อยากดังน่ะ ยอตัวเอง แต่หลวงตาท่านไม่เคยทำนะ ท่านไม่เคยทำเห็นมั้ย  แล้วไม่เคยทำและเคารพบูชาด้วย คำว่าเคารพบูชานะ เนี่ย เคารพบูชา อันนี้ต่างหาก ไม่ต้องให้ครูบาอาจารย์บอกว่าให้ออกมาเทศน์ ถ้ามันเป็นสัจจะความจริง เรารู้เอง เรารู้เองว่าอะไรควรหรือไม่ควร   
ถ้าอะไรควรหรือไม่ควรนะ  มันมีเห็นมั้ย พวกโยมปฏิบัติแน่ะแล้วไปหาหลวงตาไง  หลวงตา หลวงตาคะอีชั้นเป็นพระอรหันต์แล้วคะ แล้วให้อีชั้นทำอะไรต่อ หลวงตาท่านก็ถามกลับนะ  เราไม่เห็นถามใครเลย เราไม่เห็นถามใครเลย แล้วตัวท่านเองน่ะไม่เห็นต้องถามใครเลยว่าต้องทำอะไรและไม่ต้องทำอะไร ทำไมพระอรหันต์ต้องไปถามท่าน  พระอรหันต์ต้องไปถามหลวงตา หลวงตาคะ หลวงตาคะ หนูเนี่ยสิ้นสงสัยแล้ว หนูเป็นพระอรหันต์ หนูควรจะทำยังไงต่อไปน่ะ ต้องการให้หลวงตาบอกว่าให้ทำไอ้ยังงั้นยังงั้น แล้วก็จะอ้างหลวงตาว่า หลวงตาสั่งให้ทำยังงั้นยังงั้น  มันก็อรหันต์เอ็งไม่มีคุณธรรมในใจเลยเหรอวะ อรหันต์เนี่ยไม่รู้เลยว่าอะไรควรไม่ควร จะสอนใครไม่สอนใครเลยเหรอ ถ้าเป็นอรหันต์น่ะมันจะรู้อะไรควรหรือไม่ควรในใจแล้ว เพราะความที่จะเป็นพระอรหันต์นี้มันแสนยาก เพราะความที่จะเป็นพระอรหันต์มันแสนยากน่ะ กว่าที่จะเป็นมาได้น่ะ ถ้าเป็นมาได้แล้วเนี่ย สิ่งที่เป็นมานี้มันสุดยอดนะ สุดยอด เนี่ยคือวิชาการของเรา นี่องค์ความรู้ของเรา แล้วที่เราจะสั่งสอนเค้าน่ะ เราจะเอาองค์ความรู้อย่างงี้พยายามจะสั่งสอนเขา แล้วองค์ความรู้อย่างเงี้ย เค้าเข้าถึง ไม่ได้ เค้าเข้าใจด้วยไม่ได้ ถ้าเขาเข้าถึงไม่ได้เขาเข้าใจไม่ได้เนี่ย องค์ความรู้อย่างเนี่ยมันจะเปรียบเทียบกับองค์ความรู้ทางโลกอย่างใด
องค์ความรู้ทางโลกเนี่ย อย่างเช่น เวลาพูดถึงธรรมะ ธรรมะเนี่ย บุคคลาธิษฐาน ไม่มีจริงหรอก เวลาพระพุทธเจ้าแสดงธรรมหรือครูบาอาจารย์แสดงธรรมออกมาเนี่ย เป็นบุคคลาธิษฐาน คำว่าบุคคลาธิษฐานคือตัวอย่าง หลวงตาบอกว่าจิตแท้ๆธรรมแท้ๆในใจเนี่ยมันพูดออกมาไม่ได้ ฉะนั้นมันต้องเสวยอารมณ์ เสวยสมมุติ พูดออกมาโดยสมมุติ คำพูดที่สมบูรณ์เนี่ย ยืน เดิน นั่ง นอน เนี่ยสมมุติหมดนะ ยืน เดิน นั่ง นอน เนี่ยคำเนี่ยเราพูดเหล่านี้ สมมุติน่ะกริยาของมันทั้งนั้นน่ะ กริยาของมันเห็นมั้ย ถ้าเป็นพระอรหันต์จริงน่ะมันมีองค์ความรู้อย่างนั้น องค์ความรู้อย่างนั้น เนี่ยสิ่งที่พูดมาเนี่ย เราก็รู้อยู่เราพูดมาเพื่อเป็นบุคคลาธิษฐาน พูดมาเพื่อให้เขาเข้าใจ เพื่อให้เขาจับต้องได้ เพื่อให้เขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วความจริงที่มันเป็นจริงมันเป็นอย่างใด ถ้าเหตุและผลมันรู้จริงเห็นมั้ย เหตุและผลสิ่งที่มันเป็นสมมุติน่ะถ้ามันสร้างขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา เนี่ยมันเป็นสมมุติ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นสมมุติ สมมุติมันเกิดขึ้นมาจากการกระทำ สมมุติอันนี้มันสมดุลของมัน มรรคสมังคีรวมตัวขึ้นมาแล้วมันสมุจเฉทปหาน สมุจเฉทปหาน จากสมมุติจากวิธีการน่ะ แล้วเป้าหมายที่มันเป็นไปน่ะ คนที่เป็นเขารู้เอง  
พอมันเป็นมันรู้เองน่ะ พอมันรู้ มันรู้ ก็เอ๊อะ เอ๊อะ เพราะว่ามันพูดกันน่ะมันเข้าใจได้ ถ้ามันเข้าใจได้น่ะ องค์ความรู้อย่างนั้นน่ะ เนี่ย ถ้าองค์ความรู้อย่างนี้น่ะที่มันเกิดขึ้นมาน่ะ มรรคญาณน่ะ มรรคสมังคีในหัวใจน่ะ เนี่ย ทางเอก ทางเอกน่ะ  มรรคมันเกิดอย่างนี้ มรรครวมตัวอย่างนี้  มรรคญาณเกิดน่ะ ยถาภูตังเกิดญาณทัสนะ เกิด ญาณํ อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ เนี่ยมรรคแปดมันรวมตัว ที่มันพฤติกรรมมันเกิดขึ้นมาเนี่ย สิ่งที่มันเกิดขึ้นมา พอเกิดขึ้นมาเนี่ยมันเหนือโลกๆ โลกไม่มี ความเข้าใจของโลกไม่มี ถ้าคนมีความเข้าใจได้ขนาดนี้ จิตมันทำงานของมัน มรรคญาณมันเกิดของมัน เนี่ยมรรคะเห็นมั้ยเนี่ย เราพูดบ่อย ไอ้หินแกรนิตไปแกะเป็นธรรมจักร ธรรมจักรเขาแกะไว้หมาเยี่ยว ไอ้ธรรมจักร จักรที่เกิดจากหัวใจเนี่ย ที่ปัญญาที่มันหมุนขึ้นมา อันนี้ต่างหากมันเป็นความจริง อันนี้ต่างหากมันเป็น นามธรรมที่เป็นความจริง ไอ้หินแกรนิตธรรมจักรนั้นน่ะแกะไว้ให้หมาเยี่ยวนะ ดูสิเขาตั้งไว้หมามันก็ไปเยี่ยวอยู่นั้นน่ะ แต่ไอ้จักรอันนี้มันเกิดขึ้นมาอันนี้สิเป็นความจริง ถ้าความจริงเนี้ย แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมาความจริงเห็นมั้ย ความจริงมันจริงอย่างไง ถ้ามันจริงยังไงน่ะ โลกเขารู้กับเราได้มั้ย ถ้าโลกเขารู้ เนี่ยๆๆ ถ้าครูบาอาจารย์ให้ออกมาเทศน์ ออกมาเทศน์ เทศน์ยังไง  
การเทศน์ที่ประเสริฐที่สุด หลวงตาสอนเลยว่าสอนโดยไม่สอนนะ นั่งเฉยๆนั่นแหละ เพราะพระองค์นั้นทำตัวดี พระองค์นั้นอยู่ในศีลในธรรม คนเขาเห็นเขากราบเขาไหว้นะ การสอนที่สุด อย่างดีที่สุดคือตัวอย่างที่ตัวเองทำอยู่นั่นน่ะ ตัวเองที่นั่งอยู่เฉยๆเนี่ยเป็นพระแล้วประกอบสัมมาอาชีวะอยู่โดยพระที่บริสุทธิ์ เนี่ยเทศน์ๆๆ บรรลือลั่นเลย แล้วเวลาแหกปากออกไปเนี่ยอีกเรื่องนึงนะ เนี่ย เวลาเทศน์แหกปากออกไปเนี่ยเทศน์ด้วยเสียงแล้วนะ แต่การเทศน์ที่ดีที่สุดคือชีวิตของพระเนี่ย ตื่นเช้าขึ้นมาทำอะไร ออกบิณฑบาตกลับมาแล้วทำอะไร บิณฑบาตฉันเสร็จแล้วทำอะไร ทำเสร็จแล้วเนี่ยพฤติกรรมอยู่ยังไง ตกกลางวันขึ้นมาข้อวัตรทำยังไง เก็บกวาดอย่างไร วัตรนี้ทำยังไง วัตรนี้ทำเสร็จแล้วหัวค่ำทำยังไง ดึกนอนยังไง เนี่ย สอนใครยังไง นี่ตัวอย่างนี่สำคัญมาก เนี่ยๆคือ การเทศน์ คือเทศน์โดยไม่ต้องสอน สอนที่สำคัญคือสอนโดยการไม่สอน แล้วสอนที่อย่างหยาบกว่าการไม่สอนคือสอนด้วยการแหกปาก เนี่ยๆสอน แต่สอนที่ประเสริฐคือการไม่สอน ไม่มีครูบาอาจารย์องค์ไหนให้ออกมาแหกปากหรอกถ้าตัวเองยังทำดีอยู่นะ ถ้าตัวเองมันสอนโดยไม่สอน สอนด้วยชีวิตความเป็นอยู่ของเรานี่แหละ  
ชีวิตๆหนึ่งนะ อย่างโยมนี่ตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้จนกลางคนเนี่ย ชีวิตนี้สมบุกสมบันมาแค่ไหนแล้ว กว่าอายุมากขึ้นมา กว่าจะเป็นจะตายชีวิตหนึ่งนี่มันสมบุกสมบันมาแค่ไหนแล้ว พระองค์หนึ่งตั้งแต่เกิด ตั้งแต่บวชมาเป็นเณร แล้วก็บวชเป็นพระหนุ่มๆ แล้วบวชเป็นพระกลางคน แล้วบวชเป็นพระผู้เฒ่า แล้วท่านก็เสีย เสียตายไป ชีวิตของพระของท่านเรียบง่าย ชีวิตของพระของท่านดีงาม มีความ... นี่ไงเทศน์อันนี้น่ะ เทศน์ประเสริฐที่สุด ก่อนจะสอนต้องสอนตัวเองก่อน อย่าอ้างว่าครูบาอาจารย์สั่งให้สอน ไม่เชื่อเราไม่เคยเชื่อเลย เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะมันประเพณีวัฒนธรรมของพระกรรมฐาน เขาถือไก่ป่า ถ้ามีครูบาอาจารย์อยู่เนี่ยทุกคนไม่ออกมาแสดงหรอก เช่นสมัยหลวงปู่มั่นอยู่น่ะ ครูบาอาจารย์ท่านจะเกรงกลัวหลวงปู่มั่นมาก แล้วเวลาเราจะแสดงธรรมเนี่ย เราต้องขอโอกาสนะ ถ้ามีพระผู้ใหญ่ที่มีพรรษามากกว่า เราจะเทศน์โดยขึ้นไปเทศน์เลยเนี่ย เราเป็นอาบัติทันทีเลย ถ้าเป็นพระที่มีพรรษามากกว่าในอาวาสนั้น ในสถานที่นั้นมีพระองค์ใดที่มีอาวุโสสูงสุด เขาเรียกประธานสงฆ์ ถ้าพระกรรมฐานเราเนี่ยเคารพในธรรมและวินัย วินัยคือบวชก่อนคืออาวุโส ถ้ามีพระที่อาวุโสกว่า พระที่อ่อนกว่าอ่อนพรรษากว่าจะไม่กล้าแสดงธรรม ไม่กล้าแสดงธรรม เพราะมันเป็นการเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เหยียบธรรมวินัย เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม แล้วนี่บอกครูบาอาจารย์พระป่าให้ออกมาเทศน์ ออกมาเทศน์น่ะมันขัดแย้งกัน นี่ไง เนี่ยเพราะบวชมาแล้วไม่มีนิสัย ไม่ถือนิสัยครูบาอาจารย์ก็ไม่เข้าใจประเพณีวัฒนธรรม นี่ประเพณีวัฒนธรรมนะ แล้วธรรมวินัยนั้นอีกเรื่องนึงนะ 
ประเพณีวัฒนธรรมของพระกรรมฐานน่ะ ถ้ามีอาวุโสมากกว่า พระที่อาวุโสต่ำกว่าจะไม่แสดงธรรม แล้วถ้าเกิดวิกฤติถึงการนั้น พระที่มีอาวุโสน้อยกว่ามีคุณธรรม พระที่อาวุโสน้อยกว่ามีคุณธรรม ครูบาอาจารย์ท่านให้อนุญาตให้แสดงธรรม ถ้าอนุญาตให้แสดงธรรม พระที่อาวุโสมากกว่าต้องขอโอกาส ต้องกล่าวขอโอกาสเพื่อขอโอกาสว่าขอโอกาส ขอโอกาสเพื่อโอกาสได้แสดงธรรม ถ้าพระผู้ใหญ่ท่านอนุญาต เนี่ยอาบัตินั้นจะไม่มี แต่ถ้าพระผู้ใหญ่ท่านไม่อนุญาตขอโอกาสก็ไม่ให้ ถ้าขอโอกาสแล้วบอกไม่ให้แสดงเพราะเราเป็นประธานสงฆ์ เป็นหน้าที่ของประธานสงฆ์ ดูสิขนาดสวดปาฏิโมกข์เห็นมั้ย เวลาสวดปาฏิโมกข์เนี่ย เวลาสวดปาฏิโมกข์เนี่ย โอกา สาเม ภันเต เถโร เรตุ ???? เหตุ โอกา สาเม ภันเตเหตุ เห็นมั้ย  
ข้าพเจ้าขอโอกาสแสดงปาฏิโมกข์  แล้วพระที่เป็นประธานสงฆ์ พระที่อาวุโสมากกว่าก็กล่าวคำอนุญาตให้แสดง การขอแม้แต่การสวดปาฏิโมกข์ยังต้องขอโอกาส การขอโอกาสแล้วผู้ที่ประธานสงฆ์ต้องให้โอกาส ถ้าผู้ประธานสงฆ์ไม่ให้โอกาส แสดงไม่ได้ แสดงไม่ได้  แต่ถ้าผู้ประธานสงฆ์ให้โอกาสแล้ว พระที่อาวุโสต่ำกว่าขึ้นแสดงปาฏิโมกข์ เห็นมั้ย การแสดงปาฏิโมกข์สำคัญด้วยนะ เพราะการแสดงปาฏิโมกข์แต่เดิมพระพุทธเจ้าเป็นผู้แสดงปาฏิโมกข์เอง พระพุทธเจ้าเป็นผู้แสดง พระพุทธเจ้าเป็นคนบัญญัติพระธรรมวินัย และพระพุทธเจ้าเป็นคนแสดงธรรมวินัยนี้เอง แล้วมีอยู่คราวหนึ่งเห็นมั้ย ที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมวินัยแล้วพระพุทธเจ้าถึงเวลา ไอ้เนี่ย อุโบสถเนี่ย ถึงอุโบสถ พระพุทธเจ้านั่งเฉยเพราะพระจันทร์ขึ้นไง พระอานนท์ก็นั่งอยู่นะ พอถึงมัฌชิมายามเที่ยงคืนก็อนุญาต ขออาราธนาให้พระพุทธเจ้าแสดงปาฏิโมกข์ พระพุทธเจ้าก็เฉยพอถึงเกือบสว่าง ก็ขออาราธนาอีก พระพุทธเจ้าถึงบอกออกมาว่าเราแสดงไม่ได้ เพราะมีพระไม่บริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในนี้สององค์ ถ้าแสดงไปพระสององค์นี้ศีรษะจะแตกเป็นแปดเสี่ยง ไม่ก็พระสององค์นี้จะตกนรกอเวจี พระอนุรุทธะเป็นผู้ที่มีฤทธิ์มากกำหนดจิตดูทันทีเลย มีพระอยู่สององค์ที่เป็นอาบัติไง ลุกขึ้นไปจับมือสององค์นั้นแล้วลุกออกไปเลย ดึงออกไปแล้วกลับมาอาราธนาพระพุทธเจ้า พระที่เป็นอลัชชีพระที่ไม่บริสุทธิ์ได้ออกไปจากสังฆะนี้แล้ว ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงปาฏิโมกข์เถิด พระพุทธเจ้าท่านสลดใจมาก อยู่ในพระไตรปิฎกนะ พระพุทธเจ้าบอก เรา ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจะไม่แสดงปาฏิโมกข์อีกแล้ว ให้สงฆ์แสดงปาฏิโมกข์แทนกันเอง เราตถาคตอนุญาต นี่เพราะเราไม่อยากแสดง เพราะแสดงไป เพราะพระพุทธเจ้าเป็นศาสดามีฤทธิ์มีเดชมาก สิ่งใดที่มีความขัดแย้งในสังฆะ ถ้าพระพุทธเจ้าแสดงออกไป ผู้ที่ขัดแย้งนั้นศีรษะจะแตกทันทีเลย พอศีรษะจะแตกทันที นี่เป็นความจริงที่ศีรษะจะแตกเพราะด้วยบารมีธรรมนะ ทีนี้พระพุทธเจ้าด้วยความเมตตาเห็นมั้ย ท่านไม่ยอมทำเลย ท่านทำกิจกรรมนี่แหละ กิจของสงฆ์นี่แหละ  แต่พระสงฆ์องค์นั้นจะศีรษะจะแตกเป็นแปดเสี่ยง ท่านเห็น ท่านไม่ได้ฆ่าพระสงฆ์สององค์นั้นนะ แต่ท่านทำเพื่อสังฆกรรมนะ ท่านยังไม่ทำเลยเห็นมั้ย สังฆกรรมนั้นจะทำไม่ได้เลย สุดท้ายแล้วพระอนุรุทธะเนี่ยเอาพระสององค์นั้นออกไป พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าเราสลดสังเวชไง ต่อไปนี้เราไม่แสดงอีกแล้ว ฉะนั้นให้พระนี้เป็นผู้แสดงกันเอง ตั้งแต่นั้นมาพระเรานี่ ก็ท่องจำปาฏิโมกข์ ท่องจำปาฏิโมกข์จนชำนาญ แล้วก็แสดงปาฏิโมกข์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้น ผู้ที่ขอโอกาส ขอโอกาส โอกาสังเม ภันเต…….เกตุง   ขอโอกาสแสดงธรรมแทนพระพุทธเจ้านะ ยังต้องขอโอกาส พอขอโอกาสเสร็จแล้วเวลาเทศน์ เวลาขึ้นแสดงธรรมเนี่ย แสดงธรรมแทนพระพุทธเจ้า ผู้ที่สวดปาฏิโมกข์จะนั่งสูงกว่าพระประธาน แม้แต่องค์สมเด็จพระสังฆราชเวลาแสดงปาฏิโมกข์ท่านยังนั่งอยู่ใต้ธรรมมาสน์เลย ผู้ที่แสดงเพราะขณะที่แสดงอยู่นั้นทำการแทนพระพุทธเจ้า ฉะนั้นผู้ที่แสดงปาฏิโมกข์จะมีอานิสงส์มาก และอานิสงส์ อานิสงส์ แสดงปาฏิโมกข์มีอานิสงส์ด้วย แล้วปกติแสดงไปแล้วนี่มันทำให้สังฆะสงฆ์นั้นน่ะมันได้ตรวจทานเหมือนกับได้ตรวจทานธรรมวินัยตรวจทานความบกพร่องของตัวเห็นมั้ย  เนี่ยมันเป็นหลักของศาสนาให้ศาสนามั่นคงได้ นี่ ขนาดนี้ยังต้องขอโอกาสเลย  
แล้วนี่บอกว่าพระกรรมฐาน พระแก่ๆ พระผู้เฒ่า พระมีอำนาจวาสนาบารมีทั้งหมดเลย บอกให้ออกมาแสดงธรรมเพื่อประโยชน์แก่ศาสนา ประโยชน์ของใครล่ะประโยชน์ของตัวเองเห็นน่ะสิ ธรรมะตามสั่งน่ะ เขาเห็นประโยชน์แต่เราเห็นโทษน่ะ เราเห็นมันเป็นโทษ เราเห็นว่าอาหารนั้นมันผสมด้วยสารพิษทั้งนั้นน่ะ เพราะคำสอนนั้นมันเป็นพิษ ทั้งๆที่ตัวเองคิดว่าเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมน่ะ  ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เขาก็แสดง ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนกันนะ แต่แสดงโดยอวิชชา แสดงด้วยความไม่รู้ พอแสดงด้วยความไม่รู้นะ ดูดิ ปืน ผู้ที่มีปืนในบ้านน่ะเขามีไว้ปกป้องทรัพย์สินของเขา แต่ในทางกฎหมายเค้าจะเตือนตลอดเวลา ปืน สิ่งวัตถุไวไฟ ต้องเก็บไว้ให้พ้นมือเด็ก เพราะเด็กมันเอาไปเล่นกันมันทำให้เกิดอันตรายได้ ถึงกับเสียชีวิต ปืน ไฟแช็ค ไฟต่างๆ สิ่งที่เอาไว้เป็นประโยชน์ในครอบครัวเนี่ยต้องเก็บไว้ให้พ้นมือเด็ก แต่ผู้ใหญ่ใช้เป็นประโยชน์  เพราะสิ่งนี้เขาเอาไว้ปกป้องทรัพย์สินของเขา ธรรมะพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ผู้ที่มีวุฒิภาวะพร้อม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแสดงธรรมอนุปุพพิกถา ผู้ที่ไม่พร้อมให้ทำทาน แค่ทำทานเขาก็ควักแทบไม่ออกจากกระเป๋าเขาแล้ว กว่าจะควักออกจากกระเป๋าจะทำทานเนี่ย โอ้โห ดึงแล้วดึงอีกนะ คนอย่างนี้หรือจะไปนิพพาน ฉะนั้นอนุปุพพิกถาเนี่ยต้องให้มีความพร้อมในเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องเนกขัมมะ สุดท้ายแล้วจิตควรแก่การงาน พระพุทธเจ้าถึงแสดงอริยสัจนะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วทุกข์มันทุกข์ของใคร ไอ้เรานี่ที่มันบ่นทุกข์ๆกันนี่ ทุกข์ประจำธาตุขันธ์ ทุกข์เพราะร่างกายมันขาดสารอาหาร ทุกข์เพราะความทุกข์ความร้อน แต่ความทุกข์ของใจไม่ใช่ทุกข์อย่างนี้ ความทุกข์ของใจเนี่ยมันเป็น.. เรามีเงินทองมหาศาลอยู่ตึกคนละ ๕๐ ชั้น มีเงินกองเท่ากับ๕ภูเขา นอนแช่น้ำแข็งตลอดเวลาแต่ร้องว่าทุกข์ ร้องว่าทุกข์ ยิ่งคนยิ่งใกล้ตายยิ่งทุกข์ตายเลย เพราะมันห่วงสมบัติของมันไม่อยากพลัดพรากเลย แต่เวลาทุกข์ประจำธาตุขันธ์ ทุกข์คือการสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัยนี่ไง แล้วทุกข์ๆของใคร ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคมันทุกข์ยังไง มันทุกข์ยังไง มันทุกข์ตรงไหน หลวงตาพูดประจำ กิเลสมันมานะ มันมาขี้รดในหัวใจเราแล้วมันก็ไปแล้ว ตัวเองยังไม่ตื่นเลยยังไม่ทุกข์เลยนะพอตื่นขึ้นมานะ  โอ้ ทุกข์ กิเลสมันไปแล้วมันไปนอนหลับคร่อกๆ เราเพิ่งทุกข์เห็นมั้ย เพราะจิตเรามันไม่เป็นปัจจุบัน จิตเรามันไม่มีหลักของสมาธิเราไม่เห็นหรอก 
ฉะนั้น ฉะนั้นบอกว่าเวลาแสดงธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแสดงศีล สมาธิ ปัญญา ครูบาอาจารย์ก็แสดง ศีล สมาธิ ปัญญา ไอ้คนพูดก็แสดง ศีล สมาธิ ปัญญา ทำไมมันผิดล่ะมันผิดเพราะยังไง ทุกข์มันมาจากไหน สติมันมายังไง สมาธิมันมายังไง จิตมันเป็นจิต แล้วสมาธิมันเกิดจากจิตยังไง อะไรเป็นสมาธิอะไรเป็นจิต อะไรเป็นปัญญา อะไรเป็นโลกุตรปัญญา อะไรเป็นโลกียปัญญา อะไรเป็นจินตมยปัญญา สติมันมีอะไรเป็นสติเป็นมหาสติ ทำไมสติอัตโนมัติมันแตกต่างกันยังไง โอย ถ้าเป็นพระอรหันต์นะเรื่องอย่างนี้ไม่รู้เนี่ย ก็ไปเปิดเนี่ย ไอ้ธรรมะตามสั่งเนี่ย เอ้า ถ้าเอานมมานะ เค้าก็เอานมผสมเมลานีนมานะถูกๆไม่กี่ตังค์น่ะ เอามาให้เต็มไปหมดเลย ไอ้นี่ก็ขายใหญ่เลย ได้กำไรเลย ผักแล้วก็ผักแช่ฟอร์มาลีนมาแต่ชาติที่แล้ว โอ๋ยแข็งเป็นพลาสติกเลยอันนี้ดีมาก 
เพราะอะไรเพราะเขาไม่รู้ตรงนี้ไง ถ้าไม่รู้ตรงนี้สอนไปมันผิดทั้งนั้นน่ะ สติ สติฝึก ฝึกยังไง แล้วมันมีมันมีไอ้นั่น เพราะลูกศิษย์ของเขาในการล้างสมองเนี่ย บอกว่า การเพ่ง การเกร็ง คนเมืองทำสติไม่ได้ ทำสมาธิไม่ได้ ใช้ปัญญาไปเลยเนี่ย แล้วปัญญาอะไร เนี่ยปัญญากิเลสทั้งนั้นน่ะ ปัญญาที่ฝึกขึ้นมานี่ปัญญากิเลสทั้งนั้น เขาเรียกโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากภพ ปัญญาเกิดจากเรา เนี่ย ดูศาสตราจารย์ดอกเตอร์เนี่ยทำวิจัยเนี่ยกิเลสทั้งหมดเลย กิเลสมันเกิดจากอะไรมันเกิดจากจิต มันเกิดจากภพ ความคิดเกิดจากอะไรชีวิตนี้เกิดจากอะไร อะไรทำให้เกิด ปฏิสนธิจิตมันอยู่ที่ไหน ความคิดมันตั้งอยู่บนอะไร 
พลังงานนี่เห็นมั้ย ดูดิ ไฟฟ้าสถิตบนอากาศเยอะแยะไปหมดเลย แล้วใครได้ประโยชน์จากมัน ทำไม ทำไมไฟฟ้าที่เกิดขึ้นมาจากพลังงานจากไดร์ที่มันปั่นขึ้นมา ทำไมเรามีสายส่งขึ้นมาให้เป็นประโยชน์กับเรา แล้วไฟฟ้าสถิตบนอากาศมันเป็นประโยชน์กับใคร ความคิดที่มันเกิดเลื่อนลอยที่มันไม่มีเจ้าของที่มันไม่มีที่ตั้งมา มันเกิดประโยชน์ใคร ความคิดที่เกิดจากจิต ความคิดที่เกิดจากจิต ความคิดที่เกิดจากเรา   เนี่ย โลกียปัญญาเนี่ย เกิดขึ้นมาเนี่ย ความคิดของกิเลสทั้งหมด จะมีปัญญาจะมีความรู้ขนาดไหนมันมีวิชาชีพ กิเลสทั้งหมดเพราะมันเกิดจากกิเลส เพราะมันเกิดจากอวิชชา เพราะมันเกิดจากภพ เเล้วถ้าไม่ทำความสงบเข้ามาที่มัน แล้วถ้าไม่ทำความสะอาดกับมัน มันจะเกิดปัญญาเป็นธรรมะขึ้นมาได้ยังไง  
นี่ไง ถึงบอกว่าอาจารย์องค์ไหนบอกให้ออกมาสอน อาจารย์องค์นั้นต้องเซ็นชื่อไว้ด้วย หลวงปู่ไหนก็ต้องเซ็นชื่อมา แล้วเดี่ยวไอ้บ้าหงบเนี่ยมันจะตามไปถอนหงอก เอ้าใครให้สอนบอกมาสิ ใครให้ออกมาสอนบอกมา  พูดพล่อยๆไง เมื่อวานก็พูดอย่างหนึ่ง วันนี้พูดอย่างหนึ่ง เวลาบอกนะบอกว่าเนี่ย พระสงบเนี่ย หลวงตาเลยแหละ หลวงตาบอกว่าห้ามสอน ห้ามออกมาวิจารณ์ ไม่ได้วิจารณ์หรอกพูดธรรมะแล้วเราก็พูดในวัดเราด้วย ไม่ได้พูดที่ไหนเลย ไม่เคยวิจารณ์ใครเลย พูดข้อเท็จจริง ไม่วิจารณ์บุคคลไม่วิจารณ์ พูดข้อเท็จจริง เวลาหลวงตาบอก หลวงตาบอกว่า (พระ) สงบห้ามพูดเนี่ย เราไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่เราออกมาพูดเพราะอะไรรู้มั้ย ออกมาพูดเพื่อจะถลกหนังไอ้พวกมารยาสาไถย พวกเล่ห์กลเนี่ย เวลาเล่ห์กลเนี่ย มันเขาเรียกว่ามันเป็นการประชาสัมพันธ์ทางโลกไง ปล่อยข่าวไปก่อนใช่มั้ย แล้วมีคนยุต่อ ประเด็น เปิดประเด็นให้ได้ พอประเด็นนี้ติดแล้วนี่ก็ฮือกันไปฮือกันไป  
เพราะฉะนั้นฮือกันไปมันก็จะเป็นเหยื่อล่อ เป็นชั้นหนึ่งเห็นมั้ย เวลาบอกว่าพระสงบนี่หลวงตาไม่ให้สอน แต่เวลาเขานี่ครูบาอาจารย์ให้สอน เอ๊ เวลาของเรามีหลวงตาด้วยนะ เวลาเค้านี่ไม่รู้ชื่ออะไร ไม่รู้ชื่ออะไรว่ะ แล้วชื่ออะไรก็บอกมาบ้างสิ 
เพราะอะไรรู้มั้ย  เพราะถ้าระบุชื่อมานี่มันเสียหายมากเสียหายเพราะสิ่งที่แสดงออกมามันเป็นอธรรม มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ สิ่งที่เราบอกเนี่ย สิ่งที่เราบอกว่า สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดแล้วมันเป็นหลักฐานเนี่ย มีใครบ้างจะบอกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูก ถ้าใครยอมรับว่าสิ่งนั้นถูก แสดงว่าคนๆนั้นไม่รู้ไง ฉะนั้น อาจารย์องค์ไหนจะเอาชื่อเสียงมาการันตีขอให้ระบุชื่อมา ระบุชื่อมา เราเอาข้อเท็จจริงตรงนี้ไง เอาข้อเท็จจริงว่าถูกหรือผิด สติมันเป็นอย่างใด สมาธิมันเป็นอย่างใด ปัญญามันเป็นอย่างใด แล้วขณะที่เป็นโสดาบัน เป็นสกิทา เป็นอนาคา เป็นพระอรหันต์เป็นอย่างใด มันต้องพูดได้ มันพูดได้มันสื่อได้ มันตรวจสอบได้ มันเป็นของที่ตรวจสอบได้ ฉะนั้นใครระบุ ใครเป็นคนสั่งให้ทำต้องบอกมา ผิดถูกมันจะได้จับเข้าคุกกันได้ชัดๆไง  
นี่มันหลอกลวงกันมา  สังคมหลอกลวงมาตลอด แล้วก็จะหลอกลวงกันไป แล้วนี่ก็จะมาฟื้นความหลอกลวงขึ้นมาใหม่ ฉะนั้น เราถึงบอกว่า เนี่ยๆ วันนี้ธรรมะตามสั่ง แล้วก็ใครสั่งล่ะ สั่งแล้วต้องบอกมา ไม่จริง มันเป็นไม่จริงหรอก อย่างที่เราพูดเนี่ย ถ้าเป็นจริง เป็นจริงเนี่ยต้องอธิบายได้ แล้วอธิบายได้แหมเราเป็นคนทำมานะเราไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เราทำได้เลยหรือ เราเป็นคนทำทุกอย่างมาเอง แล้วเราอธิบายนะ อธิบายไม่ได้ อธิบายไม่ได้ เพราะอธิบายไม่ได้เพราะมันไม่มี เนี่ยเวลาเกิดปัญญาเห็นมั้ย ดูไปเรื่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ จิตมันจะลงอัปปนาสมาธิเอง จิตมันจะลงอัปปนาสมาธิเอง จิตลงอัปนาสมาธิแล้ว ปัญญาจะเกิดต่อเนื่องกันไป  
จิตลงอัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธินี่ปัญญาเกิดไม่ได้ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธินี่ ของแค่นี้ คำพูดแค่นี้เท่านั้นน่ะ มันสื่อถึงคนที่ไม่รู้ เราบอกว่ากรุงเทพอยู่เลยมาเลย์เซียไปเนี่ย คนๆนั้นไม่ใช่คนไทย ไม่รู้ว่ากรุงเทพตั้งอยู่ตรงไหน นี่ก็เหมือนกัน ถ้าบอกว่าจิตนี้ ดูจิตไปเรื่อยๆ จิตจะลงอัปปนาสมาธิโดยตัวมันเอง แล้วพอลงไปแล้วมันจะเกิดปัญญาต่อไปข้างหน้า แล้วปัญญามันจะเกิดโดยอัตโนมัติ แล้วก็   หึหึ  เราฟังนะ แหมมันเป็นนิยายน่ะ มันเป็นนิยายที่ตัวเองแต่งกันขึ้นมาแล้วพยายามพูดซ้ำๆๆๆจนตัวเอง คนอื่นเชื่อไปหมด มันก็เป็นการสร้างภาพ แล้วลูกศิษย์ก็สร้างภาพตาม พอสร้างภาพตามแล้ว สร้างภาพนั้นครบแล้ว โสดาบัน สร้างภาพครบ สกิทา สร้างภาพครบ แล้วกลับไปถามดู จริงๆแล้วเอ็งทุกข์มั้ย ไม่รู้ แล้วโสดาเป็นยังไง  ไม่รู้ สกิทา ก็ไม่รู้ อะไรก็ ไม่รู้ แต่พูดได้คำเดียวว่า ว่างๆ ว่างๆ มันไม่มีเหตุไม่มีผล ธรรมะของพระพุทธเจ้า หยาบอย่างนี้เชียวหรือ ปฏิบัติพวกเรานี่หยาบอย่างนี้เลยหรือ มันไม่หยาบหรอกแต่สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมานั่นมันหยาบ มันหยาบในหยาบเพราะมันมีธรรมมีคนเห็นนะแต่ถ้าเป็นกลุ่มที่ปฏิบัตินั้น ไม่หยาบ เพราะการสร้างนี้สร้างเกือบตาย เครดิตอย่างนี้ สร้างกระแสสังคมอย่างนี้ กว่าจะสร้างนี้มันยากนะ แล้วสร้างกระแสสังคมได้ขนาดนี้ มันจะผิดไปไหน นับหัวสิ โอ้โห เยอะแยะไปหมดเลย  
หลวงตาพูดไว้อย่างนี้นะจะสรุป  ขี้มันเหม็นอย่าไปเขี่ยมัน แต่สำหรับเรานะกลิ่นของขี้มันเหม็น กลิ่นของธรรมมันหอม กลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม กลิ่นของขี้มันเหม็น แต่สังคมที่นับหัวได้เนี่ยเขาได้กลิ่นขี้ แล้วเขาว่าขี้นี้มันหอม เพราะขี้นี้มันมีอยู่ทั่วไปแล้วก็ได้กลิ่นกันจนเคยชิน ก็เลยเข้าใจว่ากลิ่นเหม็นนี้มันเป็นของหอม แต่กลิ่นของธรรมกลิ่นที่มันหอมนี่เขาไม่เคยเห็นมันเลยมีน้อยไง เขาให้นับจำนวนหัวกันไง ว่าจำนวนหัวนี่มันเยอะ เพราะจำนวนหัวนี่มันเยอะเนี่ย เขาถึงบอกเลยว่าเนี่ย เห็นมั้ยให้ออกมาเทศน์เพราะมันเป็นประโยชน์ต่อสังคม ประโยชน์ของขี้ แต่ถ้าประโยชน์ของธรรมมันจะเป็นอีกเรื่องนึงนะ ประโยชน์ของธรรมนี่เกือบเป็นเกือบตายเลยกระเสือกกระสนกันนะกว่าจะได้ธรรมกันจริงฉะนั้นมันถึงมีน้อยแล้วกลิ่นของธรรมนี่ เอาอะไรมาเป็นของหอมล่ะ แต่ถ้าใครรู้จริงๆเนี่ย กลิ่นของธรรมกลิ่นของธรรม กลิ่นของศีลของธรรมมันหอมทวนลม กลิ่นของวัตถุกลิ่นของขี้มันไปตามลม ฉะนั้นพูดถึงเอาจำนวนหัวมาวัดกันเนี่ยมันก็จำนวนของขี้ แต่ถ้าจำนวนของธรรม มันต้องกระเสือกกระสน ถ้ากระเสือกกระสนเขาว่ามันเป็นอัตตกิลมถานุโยคเป็นความทุกข์ ก็จะพ้นจากทุกข์น่ะ ก็พอใจจะทุกข์ แล้วจะเอาตัวรอดได้จากทุกข์   เอวัง