หลวงพ่อสงบ เหตุและผล


เหตุและผล

พระอาจารย์ สงบ มนสฺสนฺโต
ถามตอบปัญหาธรรม ๒๘ มี.ค. ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

เอาอันนี้ก่อนเลยเนาะ มันเป็นประเด็นได้ เอาละ เมื่อวานมีคนมาถามปัญหาเยอะมาก แล้วเวลาถามปัญหาเนี่ย ปัญหามันก็หลากหลาย พอหลากหลายเนี่ย คนมานั่งรอกันเป็นชุดๆน่ะ เพราะอธิบายชุดแรกไปทำไมรู้มั้ย ชุดแรกพออธิบาย เค้าก็พูดถึงว่า ปฏิบัติไปแล้ว มันตกภวังค์บ้าง มันวูบหายบ้าง เค้าแก้ไปเรื่อย พอชุดที่ ๒ มาเค้าบอกว่า ไอ้ชุดเมื่อกี้ ของผมน่ะ ผมเป็นผ่านมาแล้วแหละ แล้วของตัวเองเป็นไงล่ะ เค้าก็ถามต่อไปนะ พอถาม???(ฟังไม่ออก) ชุดที่ ๒ เสร็จ ไอ้ชุดที่ ๓ มา บอกว่า ไอ้ชุดที่ ๒ เนี่ยผมก็เคยเป็นแล้วแหละ (หัวเราะ) ไอ้ชุดที่ ๓ มาก็พูดต่อไป ชุดที่ ๓ บอกว่า ผมพิจารณาอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น ๆ ถูกมั้ยครับ เออ ก็ถูกอยู่

เนี่ย มันมี ๑ ๒ ๓ เห็นมั้ย ไอ้ชุดแรกก็ถามก่อนเลย เค้ามาส่งพระไง แล้วนี้ แบบว่าทำงานโรงงานกัน แล้วพึ่งปฏิบัติ พอปฏิบัติปั๊ป เขาก็บอก กำหนด ๆ กำหนดไปแล้วนี่มัน บางทีมันก็หายไปเฉยๆ เข้าใจว่าเป็นสมาธิ เราบอกมันไม่ใช่หรอก ถ้าเป็นสมาธิ มันไม่มีเข้าใจหรอก ถ้าเป็นสมาธิ จะไม่ถามกันอย่างนี้เลย ไม่ถามเพราะอะไร ไม่ถามเพราะมันไม่วูบหายไง มันจะมีสติรับรู้ความรู้ตลอดเวลา ถ้ามันวูบหายมันหายไปเนี่ย คือว่า มันแบบว่ามันขาดสติไปแล้ว เราก็อธิบายให้เค้าฟัง อธิบายให้เค้าฟังว่า ต้องพุทโธชัดๆ เราบอก ต้องกอดพุทโธไว้เลย คำอย่างนี้ พอเรากอดพุทโธไว้เลยเนี่ย การปฏิบัติของคนจะคิดว่าพุทโธอยู่เนี่ย มันหยาบ ถ้าพุทโธมันหายไปเนี่ยมันจะละเอียด ทีนี้พอมันหายไปแล้วเนี่ยมันกลับกลายเป็นภวังค์ไปซะ เราบอกต้องกอดพุทโธไว้เลย ทีนี้ กอดพุทโธไว้ปุ๊ป คนที่ไม่เข้าใจเค้าบอก กอดพุทโธไว้เนี่ย พยายามกอดพุทโธ พยายามนึกพุทโธไว้เนี่ย คือมันหยาบเกินไป เพราะฉะนั้น ไอ้หยาบๆนั่นแหละ คนที่ว่าหยาบๆ ถ้ากอดพุทโธไว้ แล้วจิตก็พุทโธเนี่ย เราเปรียบเทียบนะ ตบมือเห็นมั้ย แปะ สองข้างเนี่ย จิตกับพุทโธเหมือนตบมือเห็นมั้ย มีเสียงดังเกิดขึ้น ตบมือข้างเดียวมีเสียงดังมั้ย พุทโธไปเก็บไว้เป็นตัวหนังสือตัวอักษรไว้เนี่ยโดยที่ไม่มีจิตนึกมันจะเป็น พุทธานุสติ มั้ย ถ้ามีจิตเฉยๆ ไม่นึกพุทโธ มันจะมีมั้ย 

ทีนี้ พอนึกพุทโธ เห็นมั้ย พุทโธ กับจิต เห็นมั้ย ตบมือสองข้าง แปะๆๆ เสียงมันจะเกิดขึ้น ทีนี้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมันหายไปเห็นมั้ย พุทโธหายไป หรือ จิตหายไป มันตกภวังค์ มันวูบมันหายไปเห็นมั้ย พุทโธๆจนพุทโธไม่มี มันก็วูบหายไปเหมือนอย่างนี้ มันตบมือข้างเดียว มันไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา แล้วตบมือสองข้าง จะเกิดประโยชน์ได้ยังไง เสียงมันดังอยู่ ก็เสียงมันดังอยู่ มันรู้สึกตัวอยู่ พุทโธๆๆๆๆ กับจิตเพราะเราอยู่กับพุทโธ จนพุทโธกับจิตเป็นอันเดียวกันเห็นมั้ย พออันเดียวกัน พุทโธกับจิตเห็นมั้ย เราตบมือสองข้าง มันก็มีเสียงดังขึ้นมา ตบไป ตบไป ตบไป จนมันสนิทกันเห็นมั้ย เป็นเนื้อเดียวกันเห็นมั้ย พอเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะอะไร เพราะว่าถ้าจิตอย่างเดียวเฉยๆเนี่ย มันก็เป็นจิตอย่างเดียว เรามีจิตอยู่แล้ว แต่เราไม่เข้าใจจิตของเรา มีแต่ความทุกข์ จิตเราไม่เห็นของเรา เรากำหนด พุทโธๆขึ้นมาเนี่ย ให้จิตมันนึกพุทโธ มันนึกพุทโธมันไม่ทุกข์ไง ถ้านึกถึงอารมณ์ความรู้สึกใช่มั้ย ดีงาม ดีชั่ว ถูกต้อง ดีงามเนี่ย เราจะมีอารมณ์ความรู้สึกไปกับเค้า อันนั้น วิตกมันก็ออกไปข้างนอกเห็นมั้ย เราบอก ยึดพุทโธไว้เลย เกาะพุทโธไว้เลย เกาะไว้แน่นๆ เกาะพุทโธไว้แล้วมึงจะได้ของดี 

แต่โดยสามัญสำนึกน่ะ เราบอกถ้าเรานึกพุทโธไว้ เกาะพุทโธไว้น่ะ มันหยาบ เราต้องการให้มันละเอียด ละเอียดก็เลยแวบหายไปเห็นมั้ย พออธิบายให้เค้าฟัง ต้องเกาะพุทโธไว้เลย นี้พอชุดนี้ไป ชุดต่อมาก็บอกว่า ไอ้อย่างนี้ผมเคยเป็นมาแล้ว ผมเข้าใจหมดเลย แล้วของผมล่ะ มันก็แตกต่างกันไป มันก็ไปอีกอย่างนึงเห็นมั้ย ถ้าคิดงี้เค้าบอกว่า กระบวนการของเค้าเนี่ยเค้าว่าเค้าเป็นวิปัสสนาแล้วเนี่ย เค้าเอาหนังสือของเราไป เค้ามาดู ใช้ความคิดอย่างนี้ๆ ความคิดเป็นทุกข์ เห็นมั้ย พอจิตสงบขึ้นมาแล้วมันใช้ความคิดอีกอันหนึ่ง เราบอกว่า เนี่ย กระบวนการมันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าของเรายังไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริงเพราะความคิดของเรา เราคิดเองไง เพราะความคิดเรา เราคิดมาอยู่แล้วใช่มั้ย พอเราคิดของเราอยู่แล้วใช่มั้ย พอเราคิดเป็นคำใช่มั้ย เพราะมันก็มีหนังสือ หนังสือของเราด้วย เอาหนังสือเรามาด้วย เนี่ยหนังสือเป็นอย่างนี้ๆ เข้าใจว่า ตัวเองอยู่ตรงนี้ไง เนี่ย คำนี้มันฟ้องว่าผิด ไม่ใช่ผิด คำนี้มันฟ้องว่าเรายังไม่รู้จริงไง เพราะอะไร เพราะเข้าใจว่าอยู่ตรงนี้เห็นมั้ย เข้าใจว่าอยู่ตรงนี้ ถ้าเกิดอยู่ตรงนี้จริง มันก็ไม่ใช่เข้าใจเพราะมันเป็นความจริง 

ไอ้นี่เข้าใจ เข้าใจอยู่อย่างนี้ เรามีความรู้อันหนึ่งเห็นมั้ย แต่ธรรมะมันสอนมาอย่างนี้ ว่าเข้าใจว่าอยู่ตรงนี้ เราบอกว่า เนี่ย กระบวนการมันเปลี่ยนผ่าน และมาอีกอันนึง มันก็เป็นไปอีก ฉะนั้นจึงบอก เราจะบอกว่า มันเป็นเหตุและผล เหตุอย่างหยาบ มันก็ได้ผลอย่างหยาบ เหตุอย่างกลาง มันก็ได้ผลอย่างกลาง เหตุอย่างละเอียดเราก็ได้ผลอย่างละเอียด อย่างเช่นเราปฏิบัติเนี่ย ตอนนี้ เราเป็นห่วงกัน เหตุ เห็นมั้ย โดยพื้นฐานเราจะพูดเรื่องพื้นฐานประจำ พวกเรา 

พื้นฐานเนี่ย อาหารของเราคือข้าว ข้าวสุกนี้คือพื้นฐาน อาหารนี้ อาหารนี้เป็นส่วนที่เราหาสิ่งใดมากินกับข้าวสุกนั้น นี่เหมือนกัน ตัวจิตของเราโดยพื้นฐาน พื้นฐานเราต้องการพื้นฐานของเรา ทีนี้ อาหารเป็นยังไง แล้วแต่ว่า มื้อนี้เราจะกินอาหารกับอะไร อารมณ์ความรู้สึกของเราแต่ละครั้งมันไม่เหมือนกัน เราพิจารณาของเรานี่มันแตกต่างกันไป ฉะนั้นอาหารเนี่ย อาหาร คือ อารมณ์ความรู้สึก หรือคำบริกรรมต่างๆนี่ มันแตกต่างได้ แต่โดยพื้นฐานคือข้าวสุกใช่มั้ย พื้นฐานคือข้าวสุก นี่ก็เหมือนกัน พื้นฐานโดยจิต พื้นฐานโดยความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบ ไอ้อาหารมันแตกต่างกันไปก็เพื่อกินเพื่อความอิ่มเห็นมั้ย นี่ไง ด้วยเหตุและผล นี่เหตุละเอียด เหตุละเอียด ผลก็ละเอียด เหตุมันหยาบ ผลก็หยาบ มันมีเหตุและผล เหตุและผลรวมๆกันแล้วมันถึงจะเป็นธรรม เนี่ย มันจะมีเห็นมั้ย เวลาคนปฏิบัติไป เค้าเองน่ะ เป็นกลุ่มๆเลย เรานั่งคุยกับเค้านะ ขำ ไอ้ชุดแรกพูดจบหมดแล้ว ชุดสองมาบอกว่า ไอ้อย่างนี้ผมก็เคยเป็นมาแล้วผมผ่านมาแล้ว ไอ้ชุดสามบอกว่าไอ้ชุดสองผมก็ผ่านมาแล้ว นี่มันจะมาเข้าตรงนี้ไง มันจะมาเข้าตรงนี้เห็นมั้ย

บอกเนี่ย พระสงบเนี่ย ตรวจสอบหนังสือของพระอาจารย์องค์หนึ่งน่ะ เหนื่อยป่าวว! เสียประโยชน์! เพราะเขา เขาไม่ฟังหรอก เขาอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติของเค้า เค้าปฏิบัติของเค้า แล้วได้ผลของเค้าเนี่ย เค้าปฏิบัติของเค้าแล้วได้ผลของเค้า เกี่ยวอะไรกับพระสงบด้วยล่ะ พระสงบยุ่งด้วยอะไรกับเค้าเนี่ย เค้ามีความสุขอยู่ พระสงบมาเกี่ยวอะไรกับเค้าเนี่ย นี่ เค้าเขียนมา ฮะๆๆๆ

โอ้ยยย เวรกรรม ฮึๆๆๆ (หัวเราะอย่างอารมณ์ดี)

พระสงบ มาเกี่ยวอะไรกับเค้าด้วย ในเมื่อสังคม ก็มีความร่มเย็นเป็นสุขน่ะ

เนี่ย ไปปฏิบัติที่วัดไหนมา ก็ตั้งมากมายมหาศาลแล้วเนี่ย มันตั้งหลายปีดีดัก มันก็ละทุกข์ไม่ได้เลย นี่พอมาศึกษากับพระองค์นี้เห็นมั้ย เข้าใจเรื่องไตรลักษณ์เนี่ย ละทุกข์ได้หมดเลย

โอ้โห....สาธุน่ะ

มันก็เหมือน ไอ้ ๑ ๒ ๓ นั่นน่ะไอ้ ๑ ก็เล่าอย่างนึง ไอ้ ๒ ก็บอกว่า ผมผ่านแบบ ๑ มาแล้ว ไอ้ ๓ มาก็บอก ๒ เมื่อกี้น่ะ ผมก็ผ่านมาแล้ว

นี่เห็นมั้ย ละทุกข์ไง ละทุกข์ มึงจะละทุกข์ได้ยังงั้ย ในเมื่อมึงยังไม่รู้จักตัวมึงเองเลย มึงจะไปละทุกข์ที่ไหน คนเราเนี่ยนะ 

มันก็เหมือนกับกระแสเห็นมั้ย ดูสิ ไอ้ ซีดีเพลง เนี่ย เวลาอะไรนะ เขาเรียกว่า ไอ้ซีดีแรกมาเห็นมั้ย พอฟังแล้วมันติดตลาดใช่มั้ย พอคนฟังชินชา มันก็ เค้าก็เบื่อหน่ายใช่มั้ย เค้าก็ต้องเงียบ เก็บตัวพักนึง ๑๐ ปี ๒๐ ปี เขาก็มาออกเวอร์ชั่นใหม่ เห็นมั้ย 

ทุกข์มาเกือบเป็นเกือบตาย ไปปฏิบัติมาทุกสำนักเลยเนี่ย โห ไม่รู้เรื่องเลย ปฏิบัติที่ไหนมา ไม่ได้เรื่องเลย แต่พอมาปฏิบัติกับพระองค์นี้ เห็นมั้ย โอ้โห เข้าใจเรื่องไตรลักษณ์เลย

ถ้าเข้าใจเรื่องไตรลักษณ์ เอ็งรู้จัก ไตรลักษณะจริง เอ็งจะรู้จริง แล้วจะไม่มีใครหลอกเอ็งได้ไง ไอ้นี่เอ็งบอกเอ็งรู้จักไตรลักษณ์น่ะ เอ็งรู้จักไตรลักษณ์ แล้วคนสอนน่ะ เค้าพูดโดยหลักไตรลักษณ์ด้วยการบิดเบือนคำสอนน่ะ แล้วเราไปบิดเบือนตามเขา เหมือนคนๆเลยนะ เหมือนตอนนี้เห็นมั้ย เด็กจะเอ็นน่ะ (ฟังไม่ออก + ไม่สำคัญ) นี่ไง เพราะเค้าตั้งกติกาใหม่ใช่มั้ย พอเค้าตั้งกติกาใหม่ เราก็ต้องตามกติกานั้นใช่มั้ย

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน อาจารย์องค์ใหม่เค้าสอนน่ะ เค้าสอนกติกาของเค้าอะ เค้าไม่ได้สอนกติกาของพระพุทธเจ้าน่ะ เค้าไม่ได้สอนเรื่อง อริยสัจน่ะ ถ้าสอนอริยสัจ มันเป็นความจริง มันเป็นสากลนะเว้ยย เอ็งจะเรียนศึกษาอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเอ็งจบมา มันจะเหมือนกัน อันนี้ เนี่ย ไปเรียนมาทุกสำนักเลย เค้าจะพูดทำนองนี้ ปฏิบัติมาเก่าแก่แล้วไม่ได้ผล แต่พอมาปฏิบัติอย่างนี้ เข้าใจเรื่องไตรลักษณ์เลย เนี่ย ทุกข์ก็รับได้ ทุกข์ก็วางได้ คนพูดอย่างนี้ เยอะมากกกกกก เห็นมั้ย ผู้ที่ปฏิบัติน่ะ เมื่อก่อน ผมเป็นคนโทสะนะ เมื่อก่อน ผมเป็นคนขี้เหล้าเมายานะ เดี๋ยวนี้ ผมไม่ ผมเลิกได้หมดเลย ผมเป็นคนดี

ขอนไม้น่ะ มันก็ไม่กินเหล้า 
ขอนไม้ มันก็ไม่ไปโกรธใครด้วย

นี่ไง คำพูดน่ะ มันเข้าใจน่ะ เวลาบอกว่า ความโลภความโกรธความหลง ถ้ามันขาดจากใจน่ะ มันขาดอย่างใด แล้วมันขาดไปแล้วเนี่ย เห็นมั้ย 

เวลาเค้าพูดกันน่ะ เห็นมั้ย ที่เค้าพูดกันบอกว่า ไปหาครูบาอาจารย์เนี่ย จะสงบเสงี่ยมมากเลย พอไปหาหลวงตา พูดสองคำเท่านั้นน่ะ หลวงตาเนี่ย แบบว่า เอาขวานขว้างใส่เลย เขาบอกว่า นี่(หมายถึงหลวงตา) ยังมีโทสะอยู่ นี่ โลกไปคิดกันอย่างนั้น เห็นมั้ย แต่หลวงตาท่านจะบอกเลย บอกว่า พลังของธรรม พลังของธรรมเนี่ย เวลาพลังของธรรมมันออกน่ะ สิ่งใดที่มันเป็นประโยชน์เห็นมั้ย สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ พลังของธรรมมันจะออกเลย ออกด้วยอะไร ออกด้วยวุฒิภาวะของใจนะ ใจเนี่ย เวลาปกติเนี่ย อย่างเช่น ความเข้าใจผิดเนี่ย เราเนี่ย เข้าใจผิด ใครจะพูดอะไร เราไม่เชื่อหรอก เพราะเรามีข้อมูลของเรา เราจะเข้าใจของเราอย่างนี้ แล้วครูบาอาจารย์จะให้เราเปลี่ยนความเข้าใจผิดเป็นความเข้าใจถูกเนี่ย มันง่ายมั้ย ทีนี้พอไม่ง่ายนะ คำพูดอย่างนี้ ต้องสะกิดไปที่จิตใต้สำนึก ให้หูตาสว่างโพลงเลย โอ๊ะะะะ มันจะปล่อยความรู้สึกอันนั้นเลย 

ฉะนั้น ครูบาอาจารย์น่ะ ท่านจะรอจังหวะนี้ จังหวะที่ว่า เวลาพูดคำไหน มันจะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง ถ้ามันยังไม่เป็นประโยชน์เนี่ย อย่างเช่น ยกตัวอย่างประจำนะ อย่างเช่น หลวงปู่มั่นเนี่ย หลวงปู่มั่นไม่รู้หรือว่าหลวงตานี้ ติดสมาธิอยู่ หลวงปู่มั่นก็รู้ พอหลวงปู่มั่นรู้ล่ะ 

"มหา จิตเป็นยังไง" 
"สบายครับ ดีมากครับ" 

ฮ่ะๆๆ อ้าว พอถามๆต่อไป 

"มหา จิตเป็นยังไง" "โหย สุดยอดเลยครับ โห สุดยอดเลยครับ"
๕ ปี ...

"มหา จิตเป็นยังไง" 

คำว่า มหา จิตเป็นยังไงเนี่ย เตือนแล้วนะ คอยบอกมา บอกมาเป็นระยะๆแล้ว แต่คนติด ไม่รู้หรอก คนเข้าใจผิดไม่รู้ จนถึงที่สุดแล้ว ปล่อยไปแล้วมัน พอติดสักพักนึง คนเรามันก็ถนอมนี้มานานแล้วใช่มั้ย พอถึงที่สุดแล้วนะ 

"มันจะบ้าเรอะ มันสุขอย่างนั้นมันสุขอะไรน่ะ มันดี ดีของใครน่ะ" 

พอ ปึ๊ป เข้าไปน่ะ โอ้โห ตัวเองก็พร้อม เตรียมพร้อมนะ เนี่ย คนภาวนาจะรู้ คนภาวนาเหมือนเรามีข้อมูลในใจ เราเคยประสบสิ่งใดมา อย่างเช่น จิตเราสงบ หรือเราไปวิปัสสนา จิตเราใช้ปัญญายังไง อันนั้นเราเคยเห็น เราเคยทำได้หนหนึ่ง มันจะฝังใจไว้เลย ฝังใจไว้อะไรรู้มั้ย ฝังใจว่าเป็นข้อมูลของกูไง เป็นเหตุของกูเว้ย กูจะเอาไว้เถียงกับคนอื่นไง พอกูรู้อย่างนี้ กูเห็นอย่างนี้ อันนี้เป็นปัญญาของกูนะ กูยึดไว้เลยนะเพราะกูเคยทำมาแล้ว พอใครมาเถียง กูจะเถียงกับเค้าด้วยข้อมูลนี้ มันเป็นยังงั้นๆๆๆ นะ มันจะเถียง นี่เค้าเรียกว่า ติด เราบอกว่า ติดแล้ว ท่านก็ปล่อย เห็นมั้ย พอปล่อย พอถึงเวลาปั๊ปนะ 

"จิตเป็นยังไง"
"สบายดีครับ"

เปรี้ยงเลย พอเปรี้ยงก็เถียงนะ เอ้า ท่าน จิตท่านเป็นอย่างนี้ จิตท่านก็ติดอย่างนี้ มันเป็น สมาธิอย่างนี้ สมาธิแบบนี้ มันหมูขึ้นเขียงนะ เอ้า แล้วสัมมาสมาธิ เป็นยังไงล่ะ สัมมาสมาธิ พระพุทธเจ้าเห็นมั้ย นี่ ตำรา เข้าใจเรื่องไตรลักษณ์ เข้าใจเรื่องอริยสัจ เข้าใจหมดเลย เข้าใจตำรา เข้าใจตำรา ฮ่ะๆ แล้วมันเปลี่ยนอารมณ์ แต่เดิมปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มาเยอะ โอ้โห ปฏิบัติ แล้วไม่รู้เรื่องเลย ทุกข์ไปหมดเลย อันนี้ ปฏิบัติตามข้อเท็จจริง ปฏิบัติตามข้อเท็จจริง ดูโรงยิม ดูค่ายมวยสิเค้าฝึกนักมวยเนี่ย ในโรงยิมเค้ามหาศาลเลย เค้าจะเอานักมวยของเค้าได้เหรียญทองเนี่ย สักกี่คน ในโรงยิมๆหนึ่งเนี่ย เค้าจะได้เหรียญทองของเค้าซักกี่คนในโรงยิมนั้น เค้าฝึกคนน่ะ เป็นร้อยเป็นพันนะ เค้าจะได้นักกีฬาเป็นหัวกะทิซักคนสองคนเท่านั้นเอง 

นี่ไง ในการประพฤติปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติกับสำนักนั้นมา ปฏิบัติกับสำนักนี้มา ไม่ได้เรื่องเลย ไม่ได้เรื่องเพราเอ็งปฏิบัติตัวเองไม่ถูกน่ะ หึหึหึ โรงยิมน่ะ เค้าปฏิบัติแล้ว แล้วทำไม นักกีฬา เค้าได้เหรียญทองได้ล่ะ มันก็ปฏิบัติโรงยิมเดียวกันน่ะ หึ 

แล้วเอ็งก็ฝึกหัด วัดนั้นๆๆ แล้วเอ็งเห็นไม่ได้เรื่องเลย โห ปฏิบัติวัดนั้นมาก็ไม่ได้เรื่องเลย แล้วทำไม คนอื่น เขาได้เรื่องล่ะ เหอะๆๆ เอ้า ฮะๆๆ เค้าได้เรื่อง เพราะเค้าปฏิบัติถูกไง เพราะเขาปฏิบัติถูก เขาทำใจของเขาถูกไง เอ็งปฏิบัติของเค้าน่ะ อำนาจวาสนาของเอ็งมันไม่มีไง เอ็งทำไม่ได้อย่างเขา แล้วเอ็งก็บอกว่า 

โห ปฏิบัติมานี้ ทุกสำนักเลย ปฏิบัติมาทั่วเลยเนี่ย นึกเรื่องไตรลักษณ์ก็ไม่เข้าใจ ทุกข์ก็เป็นทุกข์ประจำเลย แหม พอมาปฏิบัติ ปฏิบัติแนวทางใหม่นะ 

โอ้โห รู้จักลักษณะของไตรลักษณ์เลยล่ะ 
โอ้โห ทุกข์มันก็จางไปเลย 
โอ้โห มีความสุขมากเลย พระสงบนี้ เหนื่อยเปล่าๆแน่ๆเลยล่ะ เฮอะๆๆๆ

เนี่ย มัน พูดไปมันไม่เข้าใจ คำพูดอย่างนี้ นึกว่าพูดแล้ว มันเป็นการโก้เก๋นะ ถ้าพูดอย่างนี้ ตามกระแสโลก กระแสโลก เค้าเชื่อกันนะ 

แต่ถ้าคนเค้าเป็นน่ะ เค้าจะอ้วก!!!

เค้ารู้ทันหมดน่ะ เพราะเขารู้ทัน เขาถึงได้บอกเอ็งไง เพราะเขารู้ทัน เขาถึงได้สอนพวกเอ็งไง เค้าเนี้ยบอกว่า อนาคตของเอ็งมันจะดีกว่านี้อีกเยอะแยะ ไอ้ของอย่างนี้ มันไม่ใช่อริยสัจ มันไม่ใช่ความจริงหรอก ถ้ามันเป็นความจริงเนี่ย ไตรลักษณ์ๆ ไตรลักษณ์มันคืออะไร 

ถ้ามันไตรลักษณ์นะ ถึงบอกว่าย้อนกลับมาที่หลวงตาเนี่ย บอก โอ้โห ไปที่ไหนนะ พระสงบเสงี่ยมเรียบร้อยนะ พูด ๓ วัน ๔ วันไม่มีอารมณ์เลย โอ้โห เป็นผ้าพับไว้เลยนะ ไปคุยกับหลวงตา ๒ คำเท่านั้นน่ะ โอ้โห ยังกะพ่นไฟใส่เลย ไอ้พ่นไฟใส่นั่นน่ะ มันจะหลอมเหล็ก หลอมทองคำขึ้นมาให้มันเป็นประโยชน์กับเอ็งนะ เวลาเค้าจะหล่อพระเนี่ย เขาต้องใช้อุณหภูมิ แล้วมาหลอมละลาย โลหะแล้ว เทลงไป เป็นพระให้พวกเอ็งกราบไหว้น่ะ นี่ ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเป็นความจริง เห็นมั้ย ท่านหลอมละลายความรู้สึกของพวกเอ็งน่ะ เวลาเอ็งไปพูดเห็นมั้ย โอ้โหย ไปพูดกับพระองค์นั้น ไปเจอพระองค์นี้นะ โอ้โห ๕ ปี ๑๐ ปี มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ไปพูดกับหลวงตา ๒ คำเท่านั้น ท่านเอาฆ้อนใส่เลย ก็ใส่ เพราะเอ็งพูดไม่ถูกไง 

เอ็งยังไม่รู้ตัวเองอีก เค้าสอนแล้ว ยังไม่รู้

แล้วเลยบอกว่า อย่างนี้ ไม่ชอบเลย แต่ชอบ ถ้าหลอกกันนะชอบ โอ้โลม ปฏิโลมนั่นน่ะ ชอบ เป็นผ้าพับไว้เลยน่ะ ฉะนั้น คำว่าผ้าพับไว้ของอย่างนั้น สิ่งที่อย่างนั้นน่ะ เวลาความจริง เค้าไม่รู้จักความจริงน่ะ เนี่ย เราจะบอกว่า ปริยัติปฏิบัติน่ะ อย่ามาเทียบกัน เราอยู่ในวงของปริยัติ เราคิดว่า ปริยัตินั้นถูกต้อง แล้วปริยัติน่ะ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ใครก็พูดได้ ใครก็พูดได้ แต่พูดแล้วน่ะมันจริงหรือเปล่าล่ะ พูดแล้วการกระทำมันเป็นความจริงหรือล่ะ เห็นมั้ย เนี่ย ย้อนกลับมาที่ว่า เวลาหลวงปู่มั่น ท่านจะเปลี่ยน จะหลอมละลายความคิดน่ะ หลอมละลายความรู้สึกที่มันติดข้องอยู่ไง มันติดข้องเพราะเราไปรู้ไปเห็นใช่มั้ย ที่ว่า ปฏิบัติแล้วสบาย ปฏิบัติแล้วรู้น่ะ พอเราปฏิบัติแล้วสบาย มันรู้ มันรู้อะไร มันสบายนั่นน่ะ มันสบาย นั่นน่ะ เหตุกับผล ในเมื่อเหตุมันมีกิเลสอยู่น่ะ กิเลสมันอ้าง กิเลสนั้น มันครอบคลุมใจเรานะ แล้วเวลาไปศึกษาธรรมพระพุทธเจ้าใช่มั้ย พอศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า นี่เป็นธรรม นี่เป็นธรรม มันให้คะแนนตัวเอง เรานั่งกันอยู่นี้ โทษนะ มีใครบ้าง เป็นคนไม่ดี ก็ดีทุกคนน่ะ ใครบ้างว่า ตัวเองไม่ดี นี้ เราถามตัวเองน่ะ ทุกคนนั่งตรงนี้ เป็นคนดีมั้ย ดีทุกคนเลย ตัวเองให้คะแนนตัวเองนะ ดีทุกคนเลย ใครบ้างเป็นคนไม่ดี เอ้ายกมือสิ ใครเป็นคนไม่ดี ไม่มีเลย ที่ ๑ ๆ คนดีทั้งนั้นเลย 

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติไปเนี่ย กิเลสมันอยู่กับเราเนี่ย โห รู้จักไตรลักษณ์นะ โห ทุกข์ไม่มีเลย ฉัน ได้ที่ ๑ เลย เป็นคนดีที่ ๑ เลย โอ๋ย รู้จักไตรลักษณ์เลย ไม่มีความทุกข์เลย นี่ กิเลสมันหลอกกันไง เหอะๆๆ เหตุกับผล เราเห็นเรื่องอย่างนี้เราขำ 

สังคมไทยน่ะ สังคมงี่เง่า!!!
ไม่มีกึ๋นเลย! เป็นชาวพุทธแท้ๆ 
เป็นชาวพุทธแท้ๆนะ ให้เขาหลอกลวงกัน 

แล้วยังบอกว่า รู้นั้น รู้นี้ เพราะมันงี่เง่าไง มันถึงโดนเขาหลอก อยู่อย่างนี้ไง

แต่ถ้ามันมีความจริงขึ้นมาเนี่ย สันทิฏฐิโกเนี่ย จิตมันดีขึ้น ดีขึ้นยังไง ละความโกรธได้ เดี๋ยวนี้เป็นคนดี นี่ไง ตอนนี้ สอนอยู่เนี่ย กำลังเป็นไฟอยู่เนี่ย กำลังเผาอยู่เนี่ย นี่ละความโกรธหรือยัง นี่ละความโกรธแล้ว ละความโกรธแล้วก็ขอนไม้ไง 

เค้าคิดกันไม่เป็น เค้าไม่เคยผ่านไง คนเราไม่เคยผ่าน ดูสิ อย่างช่างเนี่ยนะ เราจะ ช่างหล่อ ช่างปั้น ช่างจิตรกรรม เค้าจะขึ้นผลงานของเค้า ดูสิ เค้าต้องถากต้องถาง เห็นมั้ย อย่างสลักหิน ทั้งก้อนเลยนะ เค้าลงทุนลงแรง เค้าแกะสลักของเค้า กว่าจะเป็นจิตรกรรมนั่นน่ะ เค้าเฝือขนาดไหน เค้าลงทุนลงแรงขนาดไหน ไอ้นี่ เอาหินมาก้อนนึงเลยนะ แหม เรียบร้อยดีงาม ก็นั่งมองกันอยู่นั่นน่ะ โอ๋ย มีความสุข ไม่เห็นจิตรกรรมของเค้า ไปดูของเค้านั่นน่ะ จะยุคไหนรุ่นไหน โห ของสวยงามหมดเลย เอาหินมาก้อนมาวางไว้นะ แล้วก็นอนนะ นอนอยู่ที่ก้อนหินนั่นน่ะ โอ้โห มีความสุข โอ้โห สวยงามมาก 

อีก ๑๐๐ ชาติ!

มึงอีก ๑๐๐ ชาติอยู่นั่นน่ะ แต่พอลงมือลงแรงใช้ตรรกะนะ โห นี่มีความโกรธนะ โอ้โห คนนี้ใช้ไม่ได้ กิริยาไม่สวยงาม ถ้ามันนอนกอดก้อนหินอยู่น่ะ มันบอกมันสวยงาม

มันเป็นไปได้มั้ย?
มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เหรอ?
มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้นเลย

อย่ามาโกหก อย่ามาหลอกลวง มันเป็นไปไม่ได้ คนเป็นไปไม่ได้ ครูบาอาจารย์ที่ท่านพูดถึงสิ่งที่เป็นไปได้ให้เราเข้าใจน่ะ มันจะเป็นประโยชน์มั้ย 

แหม พระสงบเนี่ย เหนื่อยป่าวแน่ๆเลย 
โอ้วว เค้าปฏิบัติแล้วเค้าได้ผลของเค้าน่ะ 
แหม มาพูดตามตัวหนังสือ จะรู้อะไร เค้าปฏิบัติแล้วใจมันสงบน่ะ ใจมันมีความสุขน่ะ โห มีความสุขมาก 

ไปหลอกเด็กเถอะไป๊ แหะๆๆ ๆ ไร้สาระชิบหายเลย 

เด็กๆน่ะ มันหลอกได้ แต่อย่ามาหลอกพระนะ พระเค้าปฏิบัติมาเค้ารู้ของเขา เราเห็นแล้วมันตลก มันตลกมากๆเลย มันเหมือนกับ เขาเรียกว่าอะไรนะ ผู้ใหญ่สอนเด็กน่ะ แล้วเด็กมันย้อนผู้ใหญ่ไง บอกผู้ใหญ่เนี่ย เต่าล้านปีไง มันบอกว่า มันทันสมัย นี่ก็เหมือนกัน บอกมันนะ บอกว่า ปฏิบัติไปเนี่ย 

โธ่ ไอ้คำว่า ได้ผลๆน่ะ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ไอ้นี่มันม็อบน่ะ มันตื่นกระแส กระแสปลุกขึ้นมาแล้วคนเข้ากระแสไปก็ว่าสิ่งนั้นถูกต้อง 

แล้วพอพวกมากนะ เราเห็นนะ มันมีอยู่คนนึงที่เค้ามาหาน่ะ เค้าบอกเค้าได้อนาคา แล้วลูกเค้า เค้ามีลูก ลูกเค้ารู้ว่าแม่เค้าติดน่ะ พยายามพาแม่มาหาเรา เราก็พยายามพูดให้เค้าเข้าใจให้ได้ พอเค้าเข้าใจได้แล้วเราบอกว่าให้เค้ากำหนดพุทโธไปเรื่อยๆนะ พอกำหนดไปเรื่อยๆเหมือนกัน อายุ เจ็ดแปดสิบแล้วนะ พุทโธๆๆๆไปเรื่อยๆเนี่ย จิตเค้าลงนะ มันเป็นความมหัศจรรย์อยู่ พอจิตเค้าสงบเท่านั้นนะ เค้าพูดกับเราเอง โอ้โห พุทโธหลวงพ่อดีกว่าอนาคา อีก พุทโธหลวงพ่อดีกว่าอนาคา เพราะพุทโธแล้วมันสงบจริงๆไง มันแตกต่างกับอนาคาอีก 

และมันน่าเศร้านะ เพราะเค้าอย่างนั้นปั๊ปเนี่ย นี่คือปัจจัตตัง คือความรู้จริง เค้าได้สัมผัสจริง สุดท้ายแล้วพออยู่กับเราซักพักนึงนะ เค้ามีเหตุจำเป็นต้องไปหาเพื่อนเค้า ไปหาเพื่อนเค้า เค้าก็ไปเตือนเพื่อนเค้า เพราะเค้าคนเดียวใช่มั้ย ไปอยู่ในหมู่เพื่อนเค้า เยอะเป็นสิบๆเลย เค้าบอกว่า

"เฮ้ย พวกเอ็งน่ะ ผิดนะ พุทโธเนี่ย พุทโธของหลวงพ่อเนี่ย ดีกว่าอนาคาอีก"

เพื่อนเค้าพูดอย่างนี้ นี่เขามาเล่าให้ฟังเอง เพื่อนเค้าบอกว่า 

"เอ็งอย่าไปเชื่อหลวงพ่อมึงเลย โด่... เราได้อนาคาแล้วน่ะ เราได้อนาคากันแล้วเห็นมั้ย เนี่ย เราก็ว่างๆอย่างนี้ เป็นอนาคาเห็นมั้ย เอ็งก็ว่างๆ ว่างๆเป็นอนาคาใช่มั้ย บอก เออใช่ เออใช่ว่ะ" 

เลยกลับไปเป็นอนาคาอย่างเก่า เลยกลับไปเป็นอนาคาอีก คือ ว่างๆ ว่างๆ แล้วว่างยังไงล่ะ ก็ว่างๆไง เราก็ว่างๆใช่มั้ย เธอก็ว่างๆใช่มั้ย เนี่ย พวกเราก็ว่างๆใช่มั้ย เนี่ยเห็นมั้ย เป็นพระอนาคาเห็นมั้ย ว่างๆใช่มั้ย ใช่มั้ย ใช่ เอ้อ เรากลับไปเป็นอนาคาอย่างเก่า ทิ้งพุทโธไปเลยเห็นมั้ย เนี่ย นี่เรื่องจริงนะ ที่พูดนี้เรื่องจริงหมดนะ นี่ในวงปฏิบัติมันมีอย่างนี้เห็นมั้ย แม้แต่ว่าเวลาเค้านึกว่าเค้าได้อนาคา เค้ามากำหนดพุทโธๆเนี่ย เค้าเห็นเลยน่ะ คำว่าพุทโธๆเนี่ย แค่จิตสงบไง พอจิตเค้าสงบจริงๆเนี่ยนะ จิตสงบจริงๆเราได้สัมผัสจริงๆใช่มั้ย เพราะเราสงบจริงๆใช่มั้ย แต่คำว่า อนาคาๆเนี่ย เราศึกษามาใช่มั้ย เอ้อ ธรรมะพระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ทุกคนก็ ว่าง ปล่อยวางทั้งนั้นน่ะ โห ว่างงงง มันว่างอะไรน่ะ?

มันสร้างอารมณ์ว่าง!

มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกเรานั่นแหละ เราคิดให้มันว่าง พอมึงก็ว่าง กูก็ว่าง แล้วก็เป็นกระแสใช่มั้ย มึงก็อนาคา กูก็อนาคา ก็คากันอยู่นั่นน่ะ พอมา พุทโธๆๆเนี่ย เค้าเป็นเองนะ เค้าเป็นเอง เค้าเป็นอนาคาเอง แล้วเค้ากำหนดพุทโธๆเอง แล้วจิตเค้าสงบเอง เค้าก็มาพูดกับเราเอง โอ๊ย พุทโธหลวงพ่อดีกว่าอนาคาอีกอะ เนี่ย เวลาเราน่ะสัมผัสสิ่งใด เรารับรู้สิ่งใด มันจะรู้เดี๋ยวนั้น แล้วคำพูดครั้งแรกมันจะเป็นความจริง เนี่ย พอสุดท้ายแล้วก็ไปอยู่ในกระแสใช่มั้ย พุทโธหลวงพ่อเอ็งน่ะ ผิดนะ พุทโธหลวงพ่อเอ็งน่ะผิด ใช่มั้ย พุทโธหลวงพ่อเอ็งน่ะ พอจะว่างๆเกือบตาย ท่องพุทโธเกือบตายกว่าจะลงสักทีนึง ดูเอ็งเห็นมั้ย เอ็งก็ว่างๆ ข้าก็ว่างๆเห็นมั้ย อนาคา 

คำว่า เอ็งก็ว่างๆ ข้าก็ว่างๆ พวกเราก็ว่างๆ เนี่ย มันเป็นอะไรล่ะ มันเป็นใครทำก็ได้ใช่มั้ย ใครทำก็ได้ใช่มั้ย? พระอนาคาอะไรมีจริงเป็น ๑๐ ๒๐ องค์อย่างนั้น เร็วๆอย่างนั้น เอ็งก็ว่าง ข้าก็ว่างเนี่ย เอ้า เด็กนี้ก็ว่างเนาะ เอ้า ข้าก็ว่างเนาะ อนาคา ???? (ฟังไม่ออก) 

พูดแต่ปากเนี่ย!

มันเป็นกระแส ใช่มั้ย มันเป็นสัญลักษณ์ทางสังคมใช่มั้ย ว่าเราเข้ามาในสังคมนี้แล้วเค้าว่างกูก็ต้องว่างกับเค้าใช่มั้ย ก็เหมือนพวกเราเนี่ย ใส่เสื้อสีเดียวกันก็เป็นพวกเดียวกันใช่มั้ย นี่ก็เหมือนกัน

ไตรลักษณ์ๆๆเนี่ย มึงรู้ไตรลักษณ์อะไร

ไตรลักษณ์เนี่ย ถ้ามันรู้ไตรลักษณ์นะ เวลาอย่างที่เราพูดเห็นมั้ย ถ้ามันจะรู้ไตรลักษณ์ มันต้องรู้ที่มาของไตรลักษณ์ นมนี้มาจากไหน เนี่ย นมที่ตั้งอยู่นี้มาจากไหน เอ้า นมนี้ ก็นมหนองโพ ใช่มั้ย มันก็โคนมหนองโพ เค้าก็รีดนมมาจากเต้านมวัว เอ้า นมวัวมาจากไหน นมวัวมันก็มาจากวัว วัวมันก็กินหญ้า เอ้า หญ้ามาจากไหน หญ้ามันก็มาจากดินน่ะ หญ้ามันเกิดจากดิน มันต้องมีที่มาที่ไปเว้ย ธรรมะของเรามาจากฟ้าเหรอ เอ็งรู้ไตรลักษณ์ 

ไตรลักษณ์มันเป็นยังไง 
ไตรลักษณ์มันมาจากไหน 
อะไรทำให้เกิดไตรลักษณ์ 
ไตรลักษณ์มันเกิดที่ไหน 
ไตรลักษณ์มันเกิดบนกระดาษนี่เหรอ 

นี่ไง ไม้มาลัย ต.เต่า ร.เรือ ล.ลิง ไม้หันอากาศ ก.ไก่ ษ.ฤาษี เห็นมั้ย ณ.เณร การันต์ ไตรลักษณ์ 

ไตรลักษณ์เกิดบนกระดาษเหรอ 
ไตรลักษณ์เกิดจากที่ไหน
ไตรลักษณ์มันเกิดบนจิตเว้ย 
แล้วจิตมึงอยู่ไหน 
แล้วจิตมึงรู้ได้ยังไง

โธ่ อย่ามาพูด มันก็เหมือนกับบอกว่า ต้นทุเรียนเกิดบนก้อนเมฆนั่นน่ะ กูไม่เชื่อมึงหรอก ทุเรียนต้นไหนเกิดบนก้อนเมฆ ฮะๆๆทุเรียนมันต้องเกิดที่สวนทุเรียน ไอ้นี้ก็เหมือนกัน บอกว่า ไตรลักษณ์ๆ 

ไตรลักษณ์มันเกิดที่ไหน 

เนี่ย มึงรู้ไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์มันเกิดที่ไหน

เอ้า ทุกข์มันจางไปๆ ทุกข์มันจางไปๆเพราะมันหลอกมึงไง โอ้โลมปฏิโลมกันน่ะ โอ๋ โอ๋ โอ๋ ทุกข์หายหมดเลยน่ะ โอ๋ โอ๋ ไม่มีทุกข์ สบาย 

มึงกลับไปอยู่บ้านมึงก็ทุกข์ 
ไม่มีใครโอ๋ มึงก็ทุกข์ 
ทุกข์มันหายก็เพราะเค้าโอ๋มึงน่ะ เค้าหลอกมึง!

มันเป็นเรื่องไม่จริงนะ เรื่องไม่จริงแล้วมาอวดรู้เนี่ย อวดรู้ออกเว็บไซต์ซะด้วย เหอะๆๆๆ แหม พระสงบจะเหนื่อยป่าวว เหนื่อยมาตั้งแต่เกิดนู่นน่ะ หายใจเนี่ย เหนื่อยชิบหายเลย เกิดจากท้องแม่มันก็หายใจยังไม่เลิกเลยจนป่านนี้ แล้วยังจะหายใจอีก ยังไม่เหนื่อย เหนื่อยน่าดูเลยตอนหายใจเนี่ย พุทโธๆเนี่ย พระสงบต้องเหนื่อยเปล่าแน่ๆเลย 

โธ่...เริ่มต้นของการมีชีวิต จิตมันมีชีวิต จิตมันดำรงชีวิตอยู่นี้ งานการที่เกิดจากชีวิตนี้ เกิดจากจิตนี้ เกิดมาเพื่อประโยชน์กับตัวเอง กับเพื่อผลประโยชน์ของโลก ทีนี้ จิตมันเกิดเพื่อประโยชน์กับตัวเองเพื่อประโยชน์กับโลกเนี่ย เราทำประโยชน์อยู่แล้วเนี่ย สิ่งที่เราพูดออกไปเพื่อสังคมเนี่ย เราจะไปเหนื่อยอะไร? เราพูดออกไปนะ มีแต่ว่า เพียงแต่ว่า เขาเรียกว่าอะไรนะ บอกว่า ขวนขวายน้อยน่ะ ทำหรือไม่ทำ เท่านั้นน่ะ ถ้าไม่ขวนขวายก็คือไม่ต้องทำ ถ้าขวนขวายก็ขวนขวายเพื่อประโยชน์โลก ถ้าประโยชน์โลก ประโยชน์โลกเห็นมั้ย เนี่ย ที่ว่า พระสงบ พระสงบเหนื่อยเปล่าเนี่ย เราไม่อยากต้องหาหลักฐานเนาะ จะให้ดูพวงมาลัยที่โต๊ะบูชาพระกูเนี่ย พวงมาลัยเต็มเลยน่ะ ใครๆก็มาขอขมา ใครๆก็มาขอขมา เนี่ย 

มันเหนื่อยเปล่าตรงไหนวะ

โธ่ เวลาใครมาขอขมาเนี่ย เรา บอกว่า เหอะๆๆๆๆ กูไม่ต้องการอะไรหรอก กูต้องการให้พวกมึงเป็นคนขึ้นมาทั้งนั้นน่ะ ต้องการให้พวกเอ็งเป็นคนขึ้นมา ให้มี ร่างกายกับจิตใจ ให้เอาหัวใจเอ็งไว้ในร่างกายเอ็งกูพอใจแล้ว ต้องการให้พวกเอ็งเป็นคนขึ้นมาเท่านั้นน่ะ เป็นคนที่มีร่างกายพร้อม มีจิตใจพร้อม ไม่ใช่เป็นแต่คนมีแต่ร่างกายแล้วจิตใจเนี่ยให้เค้าหลอกลวงไป ให้เขาควักหัวใจเอ็งไปเนี่ย เอาเอ็งแค่เอามีพวกเอ็งน่ะ เอาร่างกายนี้มา แล้วเอาหัวใจมาอยู่ในร่างกายของเอ็ง เท่านั้นน่ะ มันจะเหนื่อยที่ไหน? กูไปเหนื่อยอะไรกับพวกมึง ไม่มีทางน่ะ นี่พูด 

เค้าจะอวดไง เค้าจะอวดว่า เค้าทำถูก แล้วพระสงบจะเหนื่อยเปล่า เวรกรรม!

มันจะไปเหนื่อยที่ไหน มันเหนื่อย เหนื่อยตอนหายใจเนี่ย หายใจก็เหนื่อย ซื๊ดฮ่าา เหนื่อยน่าดูเลย หายใจเนี่ย โคตรเหนื่อยเลยนะ เหอะๆๆๆๆ งานอย่างอื่นน่ะ มันเป็นงานอย่างอื่น

ฉะนั้น ไอ้นี่ เรื่องของเค้านะ หนึ่ง เรื่องของเค้า แต่ เราพูดเห็นมั้ย เค้าพูดมาอย่างนี้เห็นมั้ย เขาจะพูดให้มี แบบว่า พูดให้มีน้ำหนักไง ให้มีน้ำหนักว่า เค้าปฏิบัติแล้วเค้าได้ผลไง แล้วพระสงบเนี่ย พูดไปเป็นตัวอักษร ไม่ใช่ตัวอักษร พูดจากประสบการณ์เลยล่ะ 

ไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์มายังไง 
ทุกข์ ทุกข์มายังไง 
ทุกข์ยังไม่รู้จักเลย แล้วนี่มันไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์เลย ไม่ทุกข์เล้ย ไม่ทุกข์เลย ไม่ทุกข์เพราะว่าไม่รับรู้ไง 
เนี่ยมัน ยังงี้ต่างหากมันเข้าปริยัติ ทุกข์มีเพราะยึด ใช่มั้ย ไม่ยึด ก็ไม่ทุกข์ ใช่มั้ย แล้วนี้ ไม่ทุกข์ไง เอาทุกข์ไปกลบไว้ในใจน่ะ 

ดูอย่างนี้มัน เมื่อวานเค้าพูดน่ะ พูดเรื่องน้ำใสเห็นตัวปลาน่ะ ไอ้ที่มัน ๑ ๒ ๓ ๔ นั่นน่ะ เค้าบอกว่า ตามธรรมะพระพุทธเจ้าเห็นมั้ย น้ำใสจะเห็นตัวปลา เราก็ทำความสงบของใจเนี่ย เราก็รอกันนะ รอ รอ รอกิเลสมาชนเรานะ กูจะจับปลา รอมันมาชน บอกอีก ๑๐๐ ชาติ! ในธรรมะบอกว่า น้ำใสจะเห็นตัวปลา จิตสงบแล้วจะเห็นกิเลส แล้วจิตสงบเห็นกิเลสนะฤาษีชีไพรมันเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว ไม่เห็นหรอก จิตสงบขนาดไหน กิเลสมันละเอียดกว่านั้น จิตสงบ พอจิตสงบปั๊ป บอกนี่ นิพพานเลยน่ะ เพราะติดสมาธิ ติดสมาธิเนี่ย สมาธิ ทุกคนที่ติดเข้าใจว่านิพพาน ถ้าใครติดสมาธิเนี่ย มันจะว่างหมด แล้วมาว่าเข้าใจว่านั่นน่ะ นิพพาน แล้วบอกว่านิพพานแล้วมันเจอกิเลสไหมล่ะ ไม่เจอๆ ไม่เจอเพราะอะไร เพราะกิเลสมันละเอียดกว่า ละเอียดกว่า แล้วน้ำใสเห็นตัวปลา อีก ๑๐๐ ชาติเลย หลวงตานี้สอนถูก เพราะครูบาอาจารย์เรา หลวงปู่มั่นนี่ สอนถูก สอนยังไง ถ้าจิตสงบแล้วให้ออกค้นหา ให้ออกใช้ปัญญา ถ้าจิตมันสงบแล้วให้ออกรื้อค้น เนี่ย ใสแค่ไหน ปลาอยู่ไหน แล้วปลาเป็นยังไง แล้วดูมันสวย มันสวยยังไง จิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม นั่นน่ะ วิปัสสนา เกิดเพราะมันเห็นกิเลส กิเลสมันอยู่บนอะไร 

กิเลสมันเป็นนามธรรมเนี่ย ความรู้สึกมันเป็นนามธรรม มันติดในอะไร ก็ติดในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม มันติดเพราะอะไร มันติดเพราะเราไปติด ติดนั้นคืออะไร ติดนั้นคือกิเลส แต่กิเลสมีตัวตนมั้ย กิเลสไม่มีตัวตน กิเลสเป็นนามธรรม แต่กิเลสอาศัยสิ่งนี้ไปเป็นที่อาศัย กิเลสเป็นที่อาศัยเพราะจิตสงบมันถึงจับได้ ถ้าจิตไม่สงบมันก็เป็นเราใช่มั้ย โห เค้าให้พิจารณากาย ไอ้เราก็แหม พิจารณาอย่างดีเลยนะ โห ทำซะแจ๋วเลย เฮ่ย เค้าพิจารณาบนกิเลส โดยจิตนี่นะ มันเห็น เห็นเป็นกาย เห็นเป็นไตรลักษณะเนี่ย มันจะขยาย มันจะแยกส่วน มันเห็นในกาย ในการแยกส่วนขยายส่วน มันไม่ได้เห็น เห็นอย่างเรารักษาหรอก

โฮ่...ภาวนาเป็นไม่เป็นน่ะ เค้าฟังกันตรงนี้ ฟังตรงที่ว่า เพราะมันเห็นจริงไม่จริงไง เค้าบอกให้กินทุเรียน มันหยิบทุเรียนมันกินทั้งเปลือกเลยน่ะ มันเอาปากมันเคี้ยวทุเรียนเลยน่ะ โอ๊ะ ใครเห็นก็ตกใจเนาะ เจอทุเรียนมันม่ำเลยน่ะ เค้าบอกไม่ใช่ เค้าปอกทุเรียน กินทุเรียนต้องปอกทุเรียน ปอกแล้วน่ะกินเนื้อมัน ไม่ใช่กินลูกทุเรียน คำพูดอย่างนี้น่ะ เวลาเค้าพูด เค้าไม่รู้ตัวเลย ว่าเค้าพูดออกมาอย่างนี้ คนที่เค้าภาวนาเป็น เค้าตลก เค้าสังเวช เค้าสังเวชเห็นมั้ย คำว่าไตรลักษณ์เนี่ย เวลาพูดเห็นมั้ย เห็นไตรลักษณะเห็นทุกข์ เห็นอะไรต่างๆเนี่ย แต่พฤติกรรมล่ะ พฤติกรรมล่ะ เพราะอะไร เพราะเหมือนเด็กเลย เวลาเจอแม่นะ แม่ ขอตังค์ๆ ไอ้พ่อแม่หาตังค์เกือบตาย ไอ้ลูกมา แบตังค์ ขอตังค์ นี่ไง เหมือนไตรลักษณ์ กูขอไตรลักษณ์ไง เอ็งก็แบมือขอไตรลักษณ์ ได้ไตรลักษณ์มาแล้ว ไอ้คนหาตังค์ หาตังค์เกือบตาย คนหาเงินน่ะนะ มันต้องทำหน้าที่การงานมากว่าจะได้เงินตอบแทนมา เพื่อเอามาใช้ดำรงชีวิต ไอ้ลูกน่ะ มันแบมือขอๆ ไอ้นี่ก็รู้ไตรลักษณ์ๆ แล้วไตรลักษณ์มาจากไหนล่ะ ก็แบมือขอกันไง

เพราะมันจะได้มา มันไม่ใช่ได้มาอย่างนี้ การได้มา การรู้ไตรลักษณ์มา การเห็นทุกข์มา มันไม่เห็นอย่างนี้ มันถึงบอกว่า เหตุกับผล ถ้าเหตุมันไม่เป็นจริงนะ ผลมันก็เร่ร่อนอย่างนี้ ถ้าเหตุมันเป็นจริง ผลมันจะเป็นประโยชน์กับเรา ฉะนั้นปฏิบัติเราถึงไม่เป็นกระต่ายตื่นตูม ไม่เชื่อใครไป เนี่ย เราเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา เราเชื่อฝ่ายปฏิบัติเห็นมั้ย ปริยัติเป็นการศึกษาเป็นทฤษฎี หลวงตาพูดประจำ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แยกจากกันไม่ได้ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แยกจากกันไม่ได้ ทีนี้ แยกจากกันไม่ได้ เราก็เอามาเป็นแนวทางที่ประพฤติปฏิบัติเท่านั้น ไม่ใช่ไปปริยัติมาแล้วกูรู้แล้ว กูรู้ กูรู้ กูรู้ กูรู้แบมือขอน่ะ แต่ถ้ารู้จริงมันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ
เนี่ย เหตุกับผล ทีนี้เราปฏิบัติแล้วเราดูของเราเพื่อประโยชน์กับเราเนาะ

เฮ่อ....เค้าจะแหย่มาให้ฉุนน่ะเนาะ กูเลยเห็นเป็นเรื่องขำขัน ขำขันที่มันสงสารเด็กๆน่ะ แล้วพอจริงๆนะ เด็กๆอ่าน เด็กๆก็เชื่อนะ โห ปฏิบัติแล้วได้ผลน่ะ ทุกคนพูดคำนี้ไง ได้ผลๆ แต่เราก็พูดไว้ในเว็บไซต์เราเยอะแล้ว เรื่องได้ผลๆน่ะ ได้ผลของใคร เนี่ย ดูเด็กมันมาวัดดิ มันมาอย่างนี้ พ่อแม่ดีใจแล้ว เพราะพาเด็กมาวัด เข้าวัดเข้าวา พ่อแม่ดีใจแล้ว แล้วเด็กมาวัด เด็กมาน่ะ พ่อแม่หาเกือบตายกว่าจะพาเด็กมาวัด เด็กไม่ต้องหาเลย พ่อแม่ต้องหามา ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ ปฏิบัติมาเกือบตาย ปฏิบัติมาแล้วมาแนะนำเรา ทำไมเราจะไม่เอา ทีนี้เอาแล้วก็ต้องพิจารณาของเรา ให้เห็นตามความเป็นจริงของเรา แล้วเรื่องของเค้านะ ไอ้นี่เรื่องของเขา เรื่องของผลการปฏิบัติ ดูที่เหตุนะ ถ้าเหตุมันถูกต้องดีงาม ผลก็ดีงาม 

ฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติเนี่ย มันอย่างแนวทางปฏิบัติเนี่ย อย่าได้เถียงกัน อย่าได้อะไรกัน แนวทางปฏิบัติมันแตกต่างกันได้ มันหลากหลายกันได้ แต่ผล วัดที่ผล ถ้าวัดที่ผล อย่างเช่น อ.ย. เนี่ย สิ่งใดก็แล้วแต่ที่ผ่านอ.ย.แล้วเนี่ย อ.ย.เป็นผู้รับแล้วว่า สิ่งนั้น ถูกต้องดีงามไม่มีสารพิษ นี่ไง การประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงเนี่ย ถูกหรือผิดเนี่ย ธรรมะมันกลั่นออกมา ถ้ากลั่นออกมาจากธรรมะเนี่ยนะ มันจะไม่มีสารพิษเลย มันจะมีแต่คุณงามความดี มันจะมีความสุขในหัวใจของเรา ถ้ามีความสุขของเรานะ มันเริ่มต้นมาจากพื้นฐานเลย พื้นฐานเห็นมั้ย ดูพื้นฐาน อย่างเช่น คนเจ็บไข้ได้ป่วยเห็นมั้ย เข้าโรงพยาบาลเนี่ย เริ่มทำการผ่าตัดน่ะ เค้าเริ่มต้นอะไร เค้าต้องให้ฟื้นฟูคนไข้ให้แข็งแรงก่อน ถ้าคนไข้แข็งแรงขึ้นมา เค้าทำความสะอาดแล้ว เค้าทำการผ่าตัดขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับคนไข้นั้น ไม่ใช่คนไข้มา คนนั้นจะผ่าตัด คนนี้ไม่ผ่าตัด ผ่าตัดไม่ได้ คนไข้จะผ่าตัดต้องฟื้นฟูคนไข้ให้แข็งแรงก่อน ถ้าคนไข้ไม่แข็งแรงเข้าไปผ่าตัด คนไข้ช็อกตายเลย 

เนี่ย ถ้าพูดถึงคนมีคุณธรรมน่ะ พื้นฐานตรงนั้นมันสำคัญ ทีนี้บอกว่า มาพูดๆ ไตรลักษณ์มันเกิดอย่างนั้น ผ่าตัดเลย ใครมาจับหัวชนฝาแล้วก็ผ่าตัดเลย มึงผ่าที่นี่ก็ได้ เดี๋ยวเอามีดมา กูจะผ่าให้เดี๋ยวนี้ พูดกันพร่ำเพรื่อ แล้วก็เชื่อนะ ปฏิบัติง่ายๆ ปฏิบัติก็ได้ไง โหทำอะไรก็ได้ไง 

ปวดหัว ปวดหัว ไอ้ที่พูดเนี่ย เพราะเราพูดออกไป แล้วมันเป็นประโยชน์กับสังคม สังคมได้สติกันเยอะ แล้วที่ว่า พระสงบ เหนื่อยเปล่าเนี่ย 

มึงมาดู ดอกไม้ พวงมาลัย ขอขมา กูสิ
มึงมาดู พวงมาลัย ขอขมา กูมั่ง ฮะๆ

ทั้งๆที่เวลาขอขมาเนี่ย จริงๆนะ เราไม่อยากให้เค้าทำ เพราะคนเรามันมีความละอาย เราไม่ต้องการให้ใครทำนะ เราถึงบอกว่า เราไม่ต้องการอะไรเลย ที่เราพูดออกไปนี้ ไม่เคยต้องการอะไรเลย 

ต้องการให้คนเป็นคน 

นิสัยเรา ไม่ชอบเรื่องโกหกหลอกลวง ไม่ชอบจริงๆ ใครโกหกหลอกลวงเนี่ย เกลียดมากเลย 

ฉะนั้น เค้าหลอกลวงกันต่อหน้าต่อตา เราก็พูดเพื่อให้สังคมเนี่ยรู้เนื้อรู้ตัวเท่านั้นเลย บอกจะเหนื่อยเปล่า เสียเวลาเปล่า ไม่หรอก กูหายใจ กูก็เหนื่อยตายห่าอยู่แล้ว เอวัง