ข้อสังเกตุ
- 1.เรื่องการอวดอุตรินั้น ดังตฤณบอกให้หาหลักฐานมา ทางเว็บได้หาลักฐานมาแล้ว
- 2.เรื่องการทักจิตนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจะใช้เมื่อคราวจำเป็นจริงๆ ไม่ได้ใช้กันเป็นล้านๆครั้งแบบนี้ อีกทั้งที่พระปราโมทย์ได้เขียนไว้ในหนังสือวิมุติปฏิปทา แจกในงานอุปสมบทพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช บันเทิงธรรม บทที่ 12 เรื่องพระอภิญญาว่า
ผู้เขียนก็สามารถรู้สภาวะจิตของผู้อื่นได้เหมือนสภาวะจิตของตนเอง น้องชายก็เลิกคุยกับพระอุปัฏฐาก ตามมานั่งหน้าหลวงปู่ด้วย เมื่อกราบท่านแล้วผู้เขียนก็
นั่งสงบอยู่หน้าท่าน ท่านก็กล่าวว่า
"ให้ปฏิบัติเสียให้จบในชาตินี้นะ"
ผู้เขียนก็ถามท่านว่า
"ผมจะทำให้จบในชาตินี้ได้หรือครับ"
หลวงปู่ตอบเสียงเฉียบขาดว่า
"จบ.. จบแน่นอน"
นั้นก็ไม่มีการพิสูจน์ว่าจริงแต่อย่างใด เพราะมีหลายๆครั้งที่ผู้ปฏิบัติได้รับคำตอบจากพระปราโมทย์ที่ไม่ตรงกับสภาวะจริงๆที่เกิดขึ้น ทำให้การทักจิตของพระปราโมทย์เป็นเพียงการคาดเดา เดาใจ เท่านั้น ไม่ใช่อภิญญาแต่อย่างใด อีกทั้งการรู้ใจนั้นจริงๆ จะไม่ได้รู้แต่ “สภาวะของจิต” เท่านั้น เช่นหลวงปู่มั่น หรือหลายๆองค์ ท่านรู้ เลยว่า คนๆนั้น “คิดอะไรอยู่” ถ้าคิดในใจว่า 1234 ต้องรู้ว่าเค้าคิดว่า 1234 หรือคิดรูปส้ม ก็ต้องรู้ว่าคนๆนั้น คิดรูปส้มอยู่ และต้องถูกต้อง 100% ไม่ใช่รู้แค่ เผลอไป คิดไป เพ่งไป นั้นเป็นการคาดเดาล้วนๆ (ไม่เชื่อลองทดสอบได้ ไปถามพระปราโมทย์ว่าผม/หนูคิดอะไรอยู่ จะได้คำตอบเลี่ยงๆแน่นอน เพราะไม่รู้จริง จะรู้จริงเฉพาะไอ้เหลือง-สุนัข-เท่านั้น เพราะมันพูดไม่ได้) เช่น เห็นคนที่เคยปฏิบัติสมถะมา ก็จะบอกว่าติดเพ่งเสมอ ถ้าคนที่กำลังฟังคำตอบอยู่ก็จะบอกว่า เผลอไปคิดซึ่งเดาได้ไม่อยาก
4. การอ้างว่าพระปราโมทย์นั้นได้ทำให้คนสนใจพุทธศาสนามากขึ้น ทำไมครูบาอาจารย์ถึงเพิ่งจะออกมาต่อต้านกัน นั้นเหตุผลคือว่าแต่ก่อนครูบาอาจารย์ท่านก็ปฏิเสธมาตลอด แลัวมันก็ยังไม่ลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ และยังไม่มีการสอนปฏิบัติสมถะแบบเพี้ยนๆ อย่างที่เป็นอยู่คือจะทำสมถะแต่ห้ามเพ่งให้นิ่ง ซึ่งเป็นการทำลานยกรรมฐานโดยสิ้นเชิง และลุกลามใหญ่โต ท่านจึงออกมาแก้ เพราะเห็นภัย
ส่วนการทำให้คนสนใจพุทธศาสนามากขึ้นนั้น ดูอย่างกรณีวัดธรรมกาย เค้าทำให้คนสนใจมากกว่านี้หลายเท่านัก แล้วครูบาอาจารย์ท่านยอมรับไหม? เอาคำนี้มาอ้างไม่ได้ เพราะผิดก็ว่าไปตามผิด แต่ดีกว่าหน่อยตรงที่ธรรมกายนั้น เค้าได้บอกไว้เลยว่าเค้าจะไปดุสิตบุรีกัน ซึ่งคนที่รู้ก็เข้าใจได้เลยว่า ไม่ใช่ศาสนาพุทธแน่นอน แต่ของพระปราโมทย์นั้นเป็นการแอบอิงอย่างแนบเนียนเลยทีเดียว ยากที่นักปฏิบัติรุ่นใหม่ๆจะแยกออก
ฉบับที่ ๑๘ กรณีหลวงพ่อปราโมทย์
ขอคุยต่ออีกฉบับหนึ่งนะครับ เกี่ยวกับกรณีหลวงพ่อปราโมทย์ เพราะกำลังเป็นที่สนใจในวงกว้างขณะนี้ และเช่นเคยครับ ขอเขียนในลักษณะถามตอบเป็นประเด็นๆ
เนื่องจากเนื้อหามีความยืดยาว หากไม่แจกแจงตามข้อสงสัยในใจ ก็อาจต้องอ่านต่อเนื่องแบบหลงประเด็นได้
ถาม – สไตล์ที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนจัดเป็นการสอนในแบบของพุทธหรือไม่?
ตอบ – หลายคนกล่าวว่าการทักจิต ดักจิตของหลวงพ่อปราโมทย์
เป็นการทำให้หลงงมงายในตัวท่านและไม่ใช่วิธีการอันพึงปฏิบัติในขอบเขตของพุทธ
เพราะไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์ท่านใดทำกัน ข้อเท็จจริงก็คือครูบาอาจารย์พระป่าท่านช่วยลูกศิษย์ลูกหาด้วยวิธีทำนองเดียวกันเป็นปกติเอาจากตัวผมเองเป็นพยานยืนยัน เคยมีครูบาอาจารย์พระป่าหลายรูปเมตตาบอกให้ลัดๆ ตรงๆ บางทีก็พูดชัดๆว่าทำงั้นใช้ได้ ทำงี้ยังไม่ใช่หรือบางทีก็อาศัยภาษากาย วันไหนเราทำตัวดีท่านก็ยิ้มแย้มพูดจาต้อนรับเอ็นดู
วันไหนเรามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็เบือนหน้าใส่โดยไม่ต้องสอบสวน ให้เราสังเกตจากปฏิกิริยาอาการของท่านแล้วไปสำรวจตนเองเอาตามปัญญาที่สำคัญแม้ปัจจุบันก็มีหลายสำนักสอนแบบเดียวกับหลวงพ่อปราโมทย์อย่างไม่เป็นทางการ คือไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าร่วมเว้นแต่จะมีคนวงในที่รู้จักเป็นผู้ชักชวนเข้ามา สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำมีข้อต่างที่สำคัญนั่นคือการสอนวงกว้างเป็นปกติ แบบเปิดเผยต่อสาธารณะว่าท่านช่วยสอนให้แบบนี้ก็ได้ ถ้าใครปฏิบัติจริงก็สามารถรับฟังว่าดีขึ้น แย่ลง ตรงทาง ผิดทางและที่ท่านมักใช้คำง่ายๆไม่ค่อยลงรายละเอียดก็เพราะเวลาสำหรับเจาะเป็นคนๆมีไม่มากนัก การจาระไนรายละเอียดให้แต่ละคนนั้น กินเวลาไม่ต่ำกว่า ๕ นาที หรือให้ดีต้องเกิน ๑๐ นาทีขึ้นไป ลองคำนวณจากกลุ่มคนที่ไปให้ท่านสอนในแต่ละวันตีเสียว่าวันละ ๕๐ ถ้าจี้กันครบทุกคนก็ ๒๕๐-๕๐๐ นาทีไม่มีทางที่ใครจะทำให้ครบได้ไหวทุกวัน แต่รูปแบบถามตอบให้ได้ยินโดยทั่วกัน ก็มีส่วนช่วยลดข้อจำกัดเรื่องเวลาลงไปได้ เพราะเมื่อได้ยินปัญหาและคำไขจากกรณีของคนอื่นก็มีสิทธิ์ตรงกับปัญหาเฉพาะตน เมื่อได้คำตอบแล้วจึงไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงตาตนอีก เรียกว่าเป็นการอาศัยมวลชนเป็นเครื่องกระทบช่วยให้เข้าใจมาถึงปัญหาของตน ไม่ใช่อาศัยมวลชนเป็นเครื่องกล่อมให้คล้อยตามกัน
เป็นการทำให้หลงงมงายในตัวท่านและไม่ใช่วิธีการอันพึงปฏิบัติในขอบเขตของพุทธ
เพราะไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์ท่านใดทำกัน ข้อเท็จจริงก็คือครูบาอาจารย์พระป่าท่านช่วยลูกศิษย์ลูกหาด้วยวิธีทำนองเดียวกันเป็นปกติเอาจากตัวผมเองเป็นพยานยืนยัน เคยมีครูบาอาจารย์พระป่าหลายรูปเมตตาบอกให้ลัดๆ ตรงๆ บางทีก็พูดชัดๆว่าทำงั้นใช้ได้ ทำงี้ยังไม่ใช่หรือบางทีก็อาศัยภาษากาย วันไหนเราทำตัวดีท่านก็ยิ้มแย้มพูดจาต้อนรับเอ็นดู
วันไหนเรามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็เบือนหน้าใส่โดยไม่ต้องสอบสวน ให้เราสังเกตจากปฏิกิริยาอาการของท่านแล้วไปสำรวจตนเองเอาตามปัญญาที่สำคัญแม้ปัจจุบันก็มีหลายสำนักสอนแบบเดียวกับหลวงพ่อปราโมทย์อย่างไม่เป็นทางการ คือไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าร่วมเว้นแต่จะมีคนวงในที่รู้จักเป็นผู้ชักชวนเข้ามา สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำมีข้อต่างที่สำคัญนั่นคือการสอนวงกว้างเป็นปกติ แบบเปิดเผยต่อสาธารณะว่าท่านช่วยสอนให้แบบนี้ก็ได้ ถ้าใครปฏิบัติจริงก็สามารถรับฟังว่าดีขึ้น แย่ลง ตรงทาง ผิดทางและที่ท่านมักใช้คำง่ายๆไม่ค่อยลงรายละเอียดก็เพราะเวลาสำหรับเจาะเป็นคนๆมีไม่มากนัก การจาระไนรายละเอียดให้แต่ละคนนั้น กินเวลาไม่ต่ำกว่า ๕ นาที หรือให้ดีต้องเกิน ๑๐ นาทีขึ้นไป ลองคำนวณจากกลุ่มคนที่ไปให้ท่านสอนในแต่ละวันตีเสียว่าวันละ ๕๐ ถ้าจี้กันครบทุกคนก็ ๒๕๐-๕๐๐ นาทีไม่มีทางที่ใครจะทำให้ครบได้ไหวทุกวัน แต่รูปแบบถามตอบให้ได้ยินโดยทั่วกัน ก็มีส่วนช่วยลดข้อจำกัดเรื่องเวลาลงไปได้ เพราะเมื่อได้ยินปัญหาและคำไขจากกรณีของคนอื่นก็มีสิทธิ์ตรงกับปัญหาเฉพาะตน เมื่อได้คำตอบแล้วจึงไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงตาตนอีก เรียกว่าเป็นการอาศัยมวลชนเป็นเครื่องกระทบช่วยให้เข้าใจมาถึงปัญหาของตน ไม่ใช่อาศัยมวลชนเป็นเครื่องกล่อมให้คล้อยตามกัน
ย้อนมาถึงตัวข้อสงสัยที่ว่า "นี่เป็นพุทธหรือเปล่า?"
ก็ขอให้ดูจากพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ ที่มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเข้าที่สงัดแล้วเล็งดูด้วยญาณเกิดความสงสัยว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมามากมายหลายพระองค์
แต่พระพุทธศาสนาของแต่ละพระองค์ก็มีอายุไม่เท่ากัน บ้างก็ตั้งอยู่ได้นาน บ้างก็ตั้งอยู่ได้เดี๋ยวเดียว พอมีโอกาสพระสารีบุตรเลยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เหตุอันใดทำให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่นานบ้าง ไม่นานบ้าง พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสารีบุตร พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน
เพราะเหล่าท่านทรงท้อพระหฤทัยที่จะแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย บทธรรมต่างๆที่สาวกจะอาศัยท่องจำสืบต่อมีอยู่น้อย อีกทั้งกฎกติกาวินัยสงฆ์ต่างๆก็ไม่มี เมื่อพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกดั้งเดิมอันตรธานไป พระพุทธศาสนาของพระองค์ท่านเหล่านั้น
จึงพลอยอันตรธานตามไปด้วยในฉับพลันทันที ถามว่าพระองค์ท่านเหล่านั้นสอนพระสาวกอย่างไร พระพุทธเจ้าพระนามว่า "เวสสภู" ทรงกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ด้วยพระหฤทัยแล้วทรงสอนภิกษุสงฆ์ประมาณพันรูปในป่าอันน่ากลัวสำหรับมนุษย์แห่งหนึ่ง โดยตรัสสั่งว่าพวกเธอจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น จงทำในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำในใจอย่างนั้น จงละส่วนนี้ จงเข้าถึงส่วนนั้นอยู่เถิด ทำเช่นนี้อยู่ไม่นาน จิตของภิกษุประมาณพันรูปนั้น ก็ได้หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น สรุปคือวิธีการสอนแบบทักจิต ดักจิตนี้พระพุทธเจ้าในอดีตเคยทรงทำมาก่อน และปัจจุบันก็ยังมีครูบาอาจารย์ทางพุทธมากมาย
ถือปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลลูกศิษย์กันอยู่เป็นความสามารถประกอบกับ "ความเต็มใจเหนื่อย" ของแต่ละท่านจะไปหาว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตของพุทธศาสนาคงไม่ได้ แน่นอนว่าถ้าหลวงพ่อปราโมทย์เป็นต้นลัทธิใหม่และสอนแบบดักจิตกันอย่างเดียวลัทธินี้คงอยู่ไม่ได้นาน
แต่นี่ท่านประกาศตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์ย่อยเรื่องยากจากพระไตรปิฎกให้กลายเป็นเรื่องง่ายทั้งผ่านคำพูดและหนังสือมากมายจึงต้องว่าท่านเป็นกลจักรหนึ่งที่กำลังช่วยยืดอายุพระศาสนากระทำตนเป็นคนร่วมสมัยที่ยกระดับความเข้าใจของคนยุคเดียวกัน
ให้ลอยขึ้นพ้นความเชื่อแบบเดิมๆว่าศาสนามีไว้ขึ้นหิ้งก็พอ
ก็ขอให้ดูจากพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ ที่มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเข้าที่สงัดแล้วเล็งดูด้วยญาณเกิดความสงสัยว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมามากมายหลายพระองค์
แต่พระพุทธศาสนาของแต่ละพระองค์ก็มีอายุไม่เท่ากัน บ้างก็ตั้งอยู่ได้นาน บ้างก็ตั้งอยู่ได้เดี๋ยวเดียว พอมีโอกาสพระสารีบุตรเลยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เหตุอันใดทำให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่นานบ้าง ไม่นานบ้าง พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสารีบุตร พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน
เพราะเหล่าท่านทรงท้อพระหฤทัยที่จะแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย บทธรรมต่างๆที่สาวกจะอาศัยท่องจำสืบต่อมีอยู่น้อย อีกทั้งกฎกติกาวินัยสงฆ์ต่างๆก็ไม่มี เมื่อพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกดั้งเดิมอันตรธานไป พระพุทธศาสนาของพระองค์ท่านเหล่านั้น
จึงพลอยอันตรธานตามไปด้วยในฉับพลันทันที ถามว่าพระองค์ท่านเหล่านั้นสอนพระสาวกอย่างไร พระพุทธเจ้าพระนามว่า "เวสสภู" ทรงกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ด้วยพระหฤทัยแล้วทรงสอนภิกษุสงฆ์ประมาณพันรูปในป่าอันน่ากลัวสำหรับมนุษย์แห่งหนึ่ง โดยตรัสสั่งว่าพวกเธอจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น จงทำในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำในใจอย่างนั้น จงละส่วนนี้ จงเข้าถึงส่วนนั้นอยู่เถิด ทำเช่นนี้อยู่ไม่นาน จิตของภิกษุประมาณพันรูปนั้น ก็ได้หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น สรุปคือวิธีการสอนแบบทักจิต ดักจิตนี้พระพุทธเจ้าในอดีตเคยทรงทำมาก่อน และปัจจุบันก็ยังมีครูบาอาจารย์ทางพุทธมากมาย
ถือปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลลูกศิษย์กันอยู่เป็นความสามารถประกอบกับ "ความเต็มใจเหนื่อย" ของแต่ละท่านจะไปหาว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตของพุทธศาสนาคงไม่ได้ แน่นอนว่าถ้าหลวงพ่อปราโมทย์เป็นต้นลัทธิใหม่และสอนแบบดักจิตกันอย่างเดียวลัทธินี้คงอยู่ไม่ได้นาน
แต่นี่ท่านประกาศตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์ย่อยเรื่องยากจากพระไตรปิฎกให้กลายเป็นเรื่องง่ายทั้งผ่านคำพูดและหนังสือมากมายจึงต้องว่าท่านเป็นกลจักรหนึ่งที่กำลังช่วยยืดอายุพระศาสนากระทำตนเป็นคนร่วมสมัยที่ยกระดับความเข้าใจของคนยุคเดียวกัน
ให้ลอยขึ้นพ้นความเชื่อแบบเดิมๆว่าศาสนามีไว้ขึ้นหิ้งก็พอ
ถาม – ถ้าแนวที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนเป็นพุทธที่ถูกต้องเหตุใดช่วงหลังจึงมีการประโคมข่าวว่าผิดแล้วก็ได้ยินว่าพระมีชื่อเสียงเริ่มออกมาร่วมเคลื่อนไหวด้วย?
ตอบ – กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวแบบจะสึกพระให้ได้นั้นหลายคนเคยอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อปราโมทย์มาก่อน นอกจากจะตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องจากมาก็ควรตั้งคำถามเพิ่มด้วยว่าทำไมเพิ่งมาเอาผิดกับท่านทั้งที่เคยขอให้ท่านช่วยเหลือในแบบเดียวกันกับทั้งพระมีชื่อเสียงที่เพิ่งได้ยินกันว่ามามีส่วนร่วมก็เคยนิมนต์หลวงพ่อปราโมทย์ไปเทศน์ในสถานที่ของท่านมาก่อนด้วยหลายกรณีนะครับ คำถามมีความสำคัญกว่าคำตอบ เพราะจนตายเราอาจไม่รู้คำตอบที่แท้จริงแต่ถ้าตั้งคำถามถูก เราอาจได้ข้อสังเกตที่ทำให้ตาสว่างเดี๋ยวนี้เลย
ถ้าผิดจริง ทำไมจึงเป็นคุณมากกว่าโทษ?
สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำไม่ใช่ขายญาณวิเศษ ไม่ใช่การขายความถูกต้องแม่นยำแบบหมอดูแต่เป็นการสอนเจริญสติ ตามแนววิธีที่ท่านถนัดถ้าหากเห็นว่าผิด ไม่ดี ไม่ถูก
แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้ท่านสอนอยู่หลายปี?
แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้ท่านสอนอยู่หลายปี?
คำตอบในใจของผม ซึ่งไม่ใช่คำตอบอันเป็นที่สุด อาจมีความผิดพลาดได้ประสามนุษย์ธรรมดาเดินดินคือ ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องของมุมมองว่าถูกเซ็ตไว้อย่างไร เมื่อเซ็ตไว้ให้เล็งเห็นประโยชน์ ทุกคนก็พร้อมใจเห็นว่าเป็นเรื่องดีงาม แต่วันหนึ่งเมื่อถูกชี้นำจากบุคคลที่น่าเชื่อถือบางท่าน ให้เล็งเข้าไปเห็นโทษจากการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์
เช่น สอนแล้วลูกศิษย์อ่อนแอ สอนแล้วไม่มีทางได้มรรคผลสอนแบบนี้ไม่ใช่เยี่ยงอย่างแบบพุทธอันควรสอนแบบนี้เป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรงสอนแบบนี้เป็นไปไม่ได้ ต้องใช้วิธีหลอกลวงให้หลงเชื่อ ฯลฯ
หลายคนก็เอียงเอนไปเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจไปโลกตั้งอยู่อย่างนี้ใครเห็นอย่างไร เอาไปพูดกันอย่างไร ขึ้นอยู่กับถูกครอบด้วยมุมมองแบบไหนจริงๆแล้วก็ต้องถามกลับอีกด้วยว่าเพราะเหตุใดคนส่วนใหญ่จึงไม่เกิดความรู้สึกร่วมว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนผิด สอนไม่ดี
เพราะถ้าเกินกว่าครึ่งหนึ่งเห็นว่าไม่ดีย่อมต้องเรียกว่าเป็น "โลกวัชชะ" หรือพฤติกรรมของพระที่ชาวโลกติเตียนที่คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ ไม่มีความรู้สึกร่วมไปด้วยกับข้อกล่าวหา ก็เพราะหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้เน้นโฆษณาว่าอาตมามีดีนะ อาตมารู้ใจคนนะ มาหาอาตมานะ อาตมาพยากรณ์มรรคผลได้นะ จะมีก็แต่เห็นหรือได้ยินท่านพูดตรงไปตรงมา
เกี่ยวกับคนที่กำลังได้รับการสอนว่าเพ่ง ไม่เพ่ง เผลอ ไม่เผลอ รู้ดีแล้ว ยังรู้ไม่ค่อยดี
ซึ่งเจ้าตัวย่อมทราบแก่ใจว่าตรงหรือไม่ตรงเวลาผู้คนบอกต่อกันถึงความสามารถของหลวงพ่อปราโมทย์ จึงบอกว่า นี่! หลวงพ่อรูปนี้สอนดีนะ เป็นทุกข์อยู่แล้วหายทุกข์ได้ ท่านสอนให้ดูใจตัวเองง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย คนเมืองที่ทำมาหากินก็พอเอาดีทางนี้ไหว
แค่เข้าใจก็ทำได้ด้วยตนเอง พึ่งตนเองได้ ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องไปให้หลวงพ่อ "ตรวจการบ้าน" ฆราวาสซึ่งเป็นคนเมืองนั้น ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพระมากหรอกครับ แค่อยากเจออะไรเย็นๆ แค่อยากหายร้อนจากความทุกข์ทางใจที่เป็นอยู่แต่นี่ได้เกินคาด
ท่านพาไปเจอสูตรสำเร็จดับทุกข์สิ้นเชิงของพระพุทธเจ้าได้ด้วย โดยไม่ต้องเสียสตางค์แม้แต่บาทเดียวเกินกว่า ๙๐% ของลูกศิษย์ใหม่ไม่รู้เรื่องอริยบุคคลและมรรคผลด้วยซ้ำ
เช่น สอนแล้วลูกศิษย์อ่อนแอ สอนแล้วไม่มีทางได้มรรคผลสอนแบบนี้ไม่ใช่เยี่ยงอย่างแบบพุทธอันควรสอนแบบนี้เป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรงสอนแบบนี้เป็นไปไม่ได้ ต้องใช้วิธีหลอกลวงให้หลงเชื่อ ฯลฯ
หลายคนก็เอียงเอนไปเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจไปโลกตั้งอยู่อย่างนี้ใครเห็นอย่างไร เอาไปพูดกันอย่างไร ขึ้นอยู่กับถูกครอบด้วยมุมมองแบบไหนจริงๆแล้วก็ต้องถามกลับอีกด้วยว่าเพราะเหตุใดคนส่วนใหญ่จึงไม่เกิดความรู้สึกร่วมว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนผิด สอนไม่ดี
เพราะถ้าเกินกว่าครึ่งหนึ่งเห็นว่าไม่ดีย่อมต้องเรียกว่าเป็น "โลกวัชชะ" หรือพฤติกรรมของพระที่ชาวโลกติเตียนที่คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ ไม่มีความรู้สึกร่วมไปด้วยกับข้อกล่าวหา ก็เพราะหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้เน้นโฆษณาว่าอาตมามีดีนะ อาตมารู้ใจคนนะ มาหาอาตมานะ อาตมาพยากรณ์มรรคผลได้นะ จะมีก็แต่เห็นหรือได้ยินท่านพูดตรงไปตรงมา
เกี่ยวกับคนที่กำลังได้รับการสอนว่าเพ่ง ไม่เพ่ง เผลอ ไม่เผลอ รู้ดีแล้ว ยังรู้ไม่ค่อยดี
ซึ่งเจ้าตัวย่อมทราบแก่ใจว่าตรงหรือไม่ตรงเวลาผู้คนบอกต่อกันถึงความสามารถของหลวงพ่อปราโมทย์ จึงบอกว่า นี่! หลวงพ่อรูปนี้สอนดีนะ เป็นทุกข์อยู่แล้วหายทุกข์ได้ ท่านสอนให้ดูใจตัวเองง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย คนเมืองที่ทำมาหากินก็พอเอาดีทางนี้ไหว
แค่เข้าใจก็ทำได้ด้วยตนเอง พึ่งตนเองได้ ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องไปให้หลวงพ่อ "ตรวจการบ้าน" ฆราวาสซึ่งเป็นคนเมืองนั้น ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพระมากหรอกครับ แค่อยากเจออะไรเย็นๆ แค่อยากหายร้อนจากความทุกข์ทางใจที่เป็นอยู่แต่นี่ได้เกินคาด
ท่านพาไปเจอสูตรสำเร็จดับทุกข์สิ้นเชิงของพระพุทธเจ้าได้ด้วย โดยไม่ต้องเสียสตางค์แม้แต่บาทเดียวเกินกว่า ๙๐% ของลูกศิษย์ใหม่ไม่รู้เรื่องอริยบุคคลและมรรคผลด้วยซ้ำ
การประโคมกล่าวโทษท่านเรื่องอวดอุตตริมนุสสธรรมจึงสร้างแนวร่วมไม่สำเร็จ
และผู้กล่าวโทษเองก็อาจต้องตอบคำถามไปอีกนานว่าท่านอวดอุตตริฯตรงไหน ฟังซีดีกี่แผ่นก็ไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลย
และผู้กล่าวโทษเองก็อาจต้องตอบคำถามไปอีกนานว่าท่านอวดอุตตริฯตรงไหน ฟังซีดีกี่แผ่นก็ไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลย
สรุปคือถ้ากลุ่มโจมตีท่านจะเอาโทษผิดปาราชิก
ข้อหาอวดอุตตริมนุสสธรรมก็จำเป็นต้องหาหลักฐานที่ชัดเจนมามัดตัวจะให้ดีคือรวมเอาคนเรือนหมื่นเรือนแสนที่ท่านสอนมาช่วยกันประจานว่าสิ่งที่ท่านชี้ให้ดู เรื่องจิต เรื่องความอึดอัด เรื่องความปลอดโปร่งมันไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องหลอกลวงล้วนๆนอกจากนั้น ควรจะต้องทำลายหลักฐานสำคัญคือดวงจิตที่สว่างไสวของชาวพุทธจำนวนนับไม่ถ้วนให้หมดไม่ใช่เทข้อมูลฝ่ายโจมตีหมดหน้าตักด้วยคำกล่าวซ้ำๆ ว่าท่านอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรง
ข้อหาอวดอุตตริมนุสสธรรมก็จำเป็นต้องหาหลักฐานที่ชัดเจนมามัดตัวจะให้ดีคือรวมเอาคนเรือนหมื่นเรือนแสนที่ท่านสอนมาช่วยกันประจานว่าสิ่งที่ท่านชี้ให้ดู เรื่องจิต เรื่องความอึดอัด เรื่องความปลอดโปร่งมันไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องหลอกลวงล้วนๆนอกจากนั้น ควรจะต้องทำลายหลักฐานสำคัญคือดวงจิตที่สว่างไสวของชาวพุทธจำนวนนับไม่ถ้วนให้หมดไม่ใช่เทข้อมูลฝ่ายโจมตีหมดหน้าตักด้วยคำกล่าวซ้ำๆ ว่าท่านอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรง
ดังที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่
ถาม – บางฝ่ายเรียกร้องให้ชาวบ้านสงบปากสงบคำ แล้วปล่อยให้พระเคลียร์กันเองจะดีกว่าไหม?
ตอบ – ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ ข้อวินัยจำนวนมากเกิดขึ้นโดยฆราวาส
คือชาวบ้านชาวเมืองที่เห็นภิกษุทำอะไรขัดตาไม่ควรแก่สมณสารูป ก็พากันเข้าไปร้องเรียนกับพระพุทธเจ้า ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยของข้อเรียกร้อง ประสบความสำเร็จ พระพุทธเจ้าบัญญัติวินัยขึ้นมาอาศัยการเรียกร้องของชาวบ้านนั่นเอง ฉะนั้น คงไม่ใช่สิ่งที่เราควรกล่าวว่าปล่อยให้นี่เป็นเรื่องของพระ เพราะเรื่องของพระคือความเป็นความตายของพุทธศาสนา
และพระพุทธเจ้าก็ฝากให้พุทธบริษัท ๔ เป็นผู้ดูแลความเป็นความตายของพุทธศาสนา
กล่าวคืออุบาสกอุบาสิกาตาดำๆนอกวัดต้องร่วมดูแลด้วย อย่างน้อยก็คอยสอดส่องพระไม่ดี ตลอดจนคอยให้การสนับสนุนพระดี ทั้งทางตรงและทางอ้อม การ "ตั้งข้อสังเกต" ไม่ดีไม่งามเกี่ยวกับหลวงพ่อปราโมทย์จึงอยู่ในวิสัยฆราวาสที่พบว่าท่านผิดจริง จะได้พยายามตีฆ้องร้องป่าว เนื่องจากท่านเป็นพระดัง มีอิทธิพลกระทบกับพระศาสนาอย่างใหญ่หลวง หากไม่ช่วยกันตั้งข้อสังเกต อาจเหมือนปล่อยให้ทำอะไรก็ได้ กระทบศาสนาถึงไหนแล้วก็ไม่รู้แต่การ "เอาผิด" หลวงพ่อปราโมทย์ให้ได้เป็นเรื่องของสงฆ์ที่ต้องดำเนินการกันอย่างชัดเจนหลวงพ่อปราโมทย์ประกาศอยู่ว่าถ้าเห็นท่านผิดพลาด ก็ให้สงฆ์ตั้งอธิกรณ์ขึ้นมาจะได้เป็นที่รู้ผลโดยกระบวนการยุติธรรมทางสงฆ์ แต่เรื่องที่มีมา เกิดจากการลงความเห็นของคนกลุ่มเดียวแล้วพยายามใช้ขอบเขตอำนาจของตน ในการกดดันให้ท่านถอดจีวรทิ้งอ้างว่าทำเพื่อความชอบธรรมเพราะเห็นท่านเป็นอันตรายและรอขั้นตอนไม่ได้นับว่าไม่ให้ความยุติธรรมใดๆแก่ท่านเลย
คือชาวบ้านชาวเมืองที่เห็นภิกษุทำอะไรขัดตาไม่ควรแก่สมณสารูป ก็พากันเข้าไปร้องเรียนกับพระพุทธเจ้า ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยของข้อเรียกร้อง ประสบความสำเร็จ พระพุทธเจ้าบัญญัติวินัยขึ้นมาอาศัยการเรียกร้องของชาวบ้านนั่นเอง ฉะนั้น คงไม่ใช่สิ่งที่เราควรกล่าวว่าปล่อยให้นี่เป็นเรื่องของพระ เพราะเรื่องของพระคือความเป็นความตายของพุทธศาสนา
และพระพุทธเจ้าก็ฝากให้พุทธบริษัท ๔ เป็นผู้ดูแลความเป็นความตายของพุทธศาสนา
กล่าวคืออุบาสกอุบาสิกาตาดำๆนอกวัดต้องร่วมดูแลด้วย อย่างน้อยก็คอยสอดส่องพระไม่ดี ตลอดจนคอยให้การสนับสนุนพระดี ทั้งทางตรงและทางอ้อม การ "ตั้งข้อสังเกต" ไม่ดีไม่งามเกี่ยวกับหลวงพ่อปราโมทย์จึงอยู่ในวิสัยฆราวาสที่พบว่าท่านผิดจริง จะได้พยายามตีฆ้องร้องป่าว เนื่องจากท่านเป็นพระดัง มีอิทธิพลกระทบกับพระศาสนาอย่างใหญ่หลวง หากไม่ช่วยกันตั้งข้อสังเกต อาจเหมือนปล่อยให้ทำอะไรก็ได้ กระทบศาสนาถึงไหนแล้วก็ไม่รู้แต่การ "เอาผิด" หลวงพ่อปราโมทย์ให้ได้เป็นเรื่องของสงฆ์ที่ต้องดำเนินการกันอย่างชัดเจนหลวงพ่อปราโมทย์ประกาศอยู่ว่าถ้าเห็นท่านผิดพลาด ก็ให้สงฆ์ตั้งอธิกรณ์ขึ้นมาจะได้เป็นที่รู้ผลโดยกระบวนการยุติธรรมทางสงฆ์ แต่เรื่องที่มีมา เกิดจากการลงความเห็นของคนกลุ่มเดียวแล้วพยายามใช้ขอบเขตอำนาจของตน ในการกดดันให้ท่านถอดจีวรทิ้งอ้างว่าทำเพื่อความชอบธรรมเพราะเห็นท่านเป็นอันตรายและรอขั้นตอนไม่ได้นับว่าไม่ให้ความยุติธรรมใดๆแก่ท่านเลย
ถาม – อย่างไรก็เห็นค้านไม่อาจมองว่าหลวงพ่อปราโมทย์สร้างชื่อให้ครูบาอาจารย์ เพราะท่านบอกว่าครูบาอาจารย์ให้คำรับรองท่าน
ตอบ – เรื่องที่ว่าครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์ได้ให้คำนิยมไว้อย่างไร เป็นเรื่องรู้เฉพาะท่านกับครูบาอาจารย์ตลอดจนคนที่อยู่พร้อมหน้ากันในขณะนั้นๆ เรารู้เฉพาะที่ว่าคนยุคนี้สมัยนี้ รู้จักใครแล้วได้อะไรบ้าง บท บ.ก. ฉบับก่อนผมไม่ได้อยากช่วยอวดอ้างว่าท่านสร้างชื่อให้อาจารย์แต่เนื่องจากเป็นข้อหาใหญ่ คือการกล่าวว่าหลวงพ่อปราโมทย์วางแผนขึ้นมามีอำนาจด้วยวิธีแอบอ้างชื่อเสียงของพระป่าต่างๆ ผมจึงอาศัยมุมมองลูกศิษย์ของท่านหลายต่อหลายคนที่เห็นค้าน เพราะเดิมทีพวกเขาไม่รู้จักหลวงปู่ดูลย์หรือหลวงปู่หลวงพ่อท่านใดมาก่อนเลย คนส่วนใหญ่รู้จักแต่หลวงตามหาบัวผ่านข่าวบริจาคทองบ้าง ข่าวคุณทองก้อนบ้าง
(นี่พูดถึงชาวบ้านทั่วไปจริงๆนะครับ ไม่เกี่ยวกับชาววัดหรือชาวใกล้วัด)
(นี่พูดถึงชาวบ้านทั่วไปจริงๆนะครับ ไม่เกี่ยวกับชาววัดหรือชาวใกล้วัด)
แต่พอคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์เริ่มกระจายไป ครูบาอาจารย์ต่างๆที่หลวงพ่อปราโมทย์อ้างถึงก็กลายเป็นที่รู้จัก มีคนไปกราบไหว้ขอรับฟังเทศนา หรือแม้แต่หลวงตามหาบัวที่มีคนคิดปรามาสกันพอมาศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์แล้วท่านปราม ชี้แจงและแยกแยะอะไรๆให้เข้าใจ คนเหล่านั้นก็พากันไปกราบขอขมา ขออโหสิกรรมจากท่านเป็นที่ทราบในหมู่ศิษย์หลวงปู่ดูลย์ว่าท่านเก็บตัวมากไม่ออกกว้าง เลือกสอนเฉพาะคนการที่ท่านจะเป็นที่รู้จักและจดจำสำหรับคนรุ่นหลังก็ต้องอาศัยหมู่ศิษย์ที่มีเครดิตประจำยุคสมัย ขอให้คำนึงว่าหลวงปู่ดูลย์กลายเป็นที่เคารพศรัทธาทันที เมื่อหลวงพ่อปราโมทย์แจกแจงพระคุณของท่านให้สานุศิษย์ทราบในทางเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็จะไม่เป็นที่รู้จัก
หาก "กลุ่มสงฆ์" ในปัจจุบันไม่มีภาพดีๆออกมาเป็นพยานพุทธคุณ
ขอให้นึกถึงฝรั่งที่ไม่มีคณะสงฆ์ดีๆมาช่วยให้เลื่อมใสเขาก็เอาพระพุทธรูปไปวางพื้น บางทีเอาเศียรพระไปตั้งคู่กับอะไรที่ชาวพุทธสุดทนสรุปคือเราต้องอาศัยชีวิตเป็นๆสืบกระแสศรัทธาแทนกัน และผมก็อยากชี้ว่าการอ้างถึงครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์เป็นการส่งเสริมครูบาอาจารย์ให้โดดเด่น เป็นที่จดจำไม่ใช่อาศัยครูบาอาจารย์หากิน
กรณีศิษย์เก่าของหลวงปู่ดูลย์ที่รู้จักท่านดีนั้นผมขออนุโมทนา
แต่ถ้าเราสำรวจตัวอย่างประชากรเอามาทำสถิติกันจะพบว่าเดิมมีชาวพุทธน้อยกว่านี้มากที่รู้จัก เคารพ จดจำ ตลอดจนนำคำสอนของหลวงปู่ดูลย์มาใช้กัน
เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่อายุไม่ถึง ๒๐ มากมาย รู้จักหลวงปู่ดูลย์ แล้วก็จำรูปร่างหน้าตาท่านได้ด้วย บอกว่าเป็นอาจารย์หลวงพ่อปราโมทย์ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาและพ่อแม่
และมันไม่น่าเป็นไปได้ที่เด็กรุ่นใหม่ จะหันไปสนใจหลวงปู่ดูลย์และคำสอนของท่านด้วยตนเอง ฝากไว้นิดหนึ่งด้วยครับว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมด ขอความกรุณาอย่าฟังจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง อย่าด่วนปักใจเชื่อเพียงเพราะเห็นว่าเขารู้ลึกกว่าเรา
เพราะผมฟังหลายๆกระแสที่พูดกันลึกๆนั้น เจ้าตัวก็รับการถ่ายทอดข้อมูลมาผิดๆอยู่
หาก "กลุ่มสงฆ์" ในปัจจุบันไม่มีภาพดีๆออกมาเป็นพยานพุทธคุณ
ขอให้นึกถึงฝรั่งที่ไม่มีคณะสงฆ์ดีๆมาช่วยให้เลื่อมใสเขาก็เอาพระพุทธรูปไปวางพื้น บางทีเอาเศียรพระไปตั้งคู่กับอะไรที่ชาวพุทธสุดทนสรุปคือเราต้องอาศัยชีวิตเป็นๆสืบกระแสศรัทธาแทนกัน และผมก็อยากชี้ว่าการอ้างถึงครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์เป็นการส่งเสริมครูบาอาจารย์ให้โดดเด่น เป็นที่จดจำไม่ใช่อาศัยครูบาอาจารย์หากิน
กรณีศิษย์เก่าของหลวงปู่ดูลย์ที่รู้จักท่านดีนั้นผมขออนุโมทนา
แต่ถ้าเราสำรวจตัวอย่างประชากรเอามาทำสถิติกันจะพบว่าเดิมมีชาวพุทธน้อยกว่านี้มากที่รู้จัก เคารพ จดจำ ตลอดจนนำคำสอนของหลวงปู่ดูลย์มาใช้กัน
เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่อายุไม่ถึง ๒๐ มากมาย รู้จักหลวงปู่ดูลย์ แล้วก็จำรูปร่างหน้าตาท่านได้ด้วย บอกว่าเป็นอาจารย์หลวงพ่อปราโมทย์ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาและพ่อแม่
และมันไม่น่าเป็นไปได้ที่เด็กรุ่นใหม่ จะหันไปสนใจหลวงปู่ดูลย์และคำสอนของท่านด้วยตนเอง ฝากไว้นิดหนึ่งด้วยครับว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมด ขอความกรุณาอย่าฟังจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง อย่าด่วนปักใจเชื่อเพียงเพราะเห็นว่าเขารู้ลึกกว่าเรา
เพราะผมฟังหลายๆกระแสที่พูดกันลึกๆนั้น เจ้าตัวก็รับการถ่ายทอดข้อมูลมาผิดๆอยู่
ถ้ามีอะไรสำคัญจริงๆก็จะอัพเดทให้ทราบนะครับ แต่ฉบับหน้าคงเขียนเรื่องอื่นแล้ว
ที่ต้องรบกวนให้ฟังเรื่องราวมาสองฉบับก็เพราะท่านๆที่อ่านธรรมะใกล้ตัวอยู่นี้
มีไม่น้อยที่เคารพรักและศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์ครับ ไม่อยากให้รับข่าวลือจนสับสนว่ายังควรมีแก่ใจอ่านต่อดีไหม ถ้าชีวิตคุณดีขึ้น ถ้าคุณมาหาแก่นธรรมของพระพุทธเจ้าได้
จะมีอะไรดีกว่านี้เล่า?
ที่ต้องรบกวนให้ฟังเรื่องราวมาสองฉบับก็เพราะท่านๆที่อ่านธรรมะใกล้ตัวอยู่นี้
มีไม่น้อยที่เคารพรักและศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์ครับ ไม่อยากให้รับข่าวลือจนสับสนว่ายังควรมีแก่ใจอ่านต่อดีไหม ถ้าชีวิตคุณดีขึ้น ถ้าคุณมาหาแก่นธรรมของพระพุทธเจ้าได้
จะมีอะไรดีกว่านี้เล่า?
ดังตฤณ
มกราคม ๕๓
มกราคม ๕๓