ครึ่งทางสะดุดความจริง (มิถุนายน ๒๕๕๓)


ครึ่งทางโสดาบัน สะดุดความจริง
จากอดีตศิษย์สวนสันติธรรมที่เป็นที่ยอมรับ


   ใครที่เคยไปสวนสันติธรรม คงจะเห็นผมบ่อยๆในช่วงเดือนกันยายน ปี ๒๕๕๐ ถึงปลายเดือน พฤษภาคม ปี ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นช่วงที่ผมได้ไปศึกษากรรมฐานกับหลวงพ่อปราโมทย์ ซึ่งท่านได้เมตตาสั่งสอนผมตามสมควร ซึ่งหลายท่านอาจจะแปลกใจว่า ผมหายไปไหนเพราะแทบไม่ค่อยได้โผล่เข้ามาในลานธรรมเลย พอโผล่มาอีกทีกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน เอาเป็นว่า ผมจะเล่าประสบการณ์การภาวนาของผมตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งถึงปัจจุบันแทนละกันนะครับ ตอนแรกผมคิดว่า ถ้าชาตินี้มีวาสนาได้รู้ธรรม ก็จะนำมาเผยแพร่ แต่ตอนนี้เห็นว่า จะเป็นโซดาหรือน้ำเปล่า ก็ควรต้องเผยแพร่แล้วครับ โดยจะตั้งเป็นหัวข้อๆ แต่ละหัวข้อสั้นๆ ไม่ยาวมาก ดังนี้

. เมื่อพบทางสว่างครั้งแรก

ช่วงนั้นเป็นช่วงประมาณปลายปี ๒๕๕๐ ซึ่งผมกำลังเริ่มประสบปัญหาที่เกิดขึ้นนิสัยสันดานของตัวผมเอง จะว่าเป็นความโชคดีในตอนนั้นก็ว่าได้ ที่สถานที่ทำงานของผมอยู่ใกล้กับสวนสันติธรรม ผมได้เริ่มไปที่สวนสันติธรรมครั้งแรก ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะเป็นวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๐ และได้ไปติดต่อกันเรื่อยมา จนกระทั่งหลายต่อหลายคนจำหน้าผมได้ ซึ่งก็มีทั้งที่คุยกันได้ บางคนเห็นหน้ากันแล้วไม่ถูกชะตากันตั้งแต่ต้นก็มี แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมได้พบเจอกับสิ่งที่ผมคิดว่าถูกทางแล้ว 

. รุ่นสุดท้ายที่ได้ส่งการบ้านทุกครั้ง

จะว่าไป ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่คนยังไปสวนสันติธรรมน้อยอยู่ ด้วยภาระหน้าที่การงานของผมที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ออฟฟิศ เป็นประจำ จึงทำให้ผมไปที่สวนสันติธรรมได้เกือบทุกวันที่เปิดด้วยความเมตตาของญาติธรรมหลายๆท่าน ในช่วงนั้น สวนสันติธรรม ไม่ได้เปิดเป็นระบบ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ อย่างที่เป็นอยู่นี้ แต่บางทีก็มีเปิด วันจันทร์บ้าง วันพุธบ้าง วันอังคารบ้าง ซึ่งวันเหล่านั้นจะเป็นวันที่ผมดีใจมาก เพราะจะมีคนไปที่สวนสันติธรรมเพียงไม่กี่คน บางวันนั่งกันแค่ไม่ถึง ๔ แถวด้วยซ้ำ ได้ส่งการบ้านกันถ้วนหน้า แถมยังได้ส่งคนละสองรอบเสียก็มี 

เนื่องจากผมคิดว่า นี้คือทางที่ถูกที่ควร ทำให้ผมไม่ลังเลที่จะทิ้งเวลาไปเปล่าประโยชน์ ในเมื่อเรามีโอกาสมากกว่าคนอื่น เราก็ต้องไปสวนสันติธรรมให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในตอนที่ภาวนาแรกๆนั้น ก็มีแต่ความคิดว่า ถ้าเราไปบ่อยๆ เราคงจะรู้ธรรมเร็วกว่าคนอื่นๆแน่นอน

. เรียนเพียงประมาณ ๑ เดือน ได้ประกาศนียบัตรขั้นพื้นฐาน

ตอนนั้น ผมก็ไม่รู้หรอก เพราะเพื่อนผมมาบอกว่าหลวงพ่อท่านให้ประกาศนียบัตร ผมก็งงว่า ประกาศนียบัตรอะไร เรื่องมันเกิดมาจากว่า ผมได้ฝึกฝนการปฏิบัติตามแนวดูจิตไปจนกระทั่งจิตเกิดสัมสนญาณตามที่หลวงพ่อท่านบอกเอาไว้ ซึ่งผมก็ยังไม่รู้หรอกว่าไอ้อาการอย่างนั้น มันเป็นสัมสนญาณ แล้วผมเห็นไตรลักษณ์ด้วยการเปรียบเทียบอะไรยังไง รู้แบบงงๆว่า เออ ได้ก็ได้ ก็แค่อาการในฝัน แล้วมันมาเป็นสัมสนญาณได้อย่างไร สมาธิก็ยังไม่เคยทำ แสดงว่า ดูจิตอย่างเดียว ไม่ต้องทำสมาธิ ก็เข้าถึงวิปัสสนาญาณได้ ช่างเป็นวิธีที่เหมาะกับคนเมืองอย่างผมจริงๆ

ท่านสามารถรับฟังตอนที่หลวงพ่อบอกผมได้ตามลิงค์นี้ 501029B

. ดิ้นรนหาทางปฏิบัติจนกระทั่งเกิดนิพพิทาญาณครั้งแรก

ในช่วงนั้น ผมรู้สึกว่า "กูก็เก่งเหมือนกันนี่หว่า เรียนแป๊บเดียว" แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกเหมือนการปฏิบัติจะล้มลุกคลุกคลานเป็นอย่างมาก จนถึงกระทั่งว่า ต้องเลิกการปฏิบัติตามรูปแบบไปเลยเพราะว่าติดเพ่ง? บางวันก็ดีแต่ก็ไม่รู้ว่าดี 501116A จนกระทั่งจิตมันปล่อยๆ จึงไปเกิดนิพพิทา เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๐ 501214A โดยที่ในตอนนั้น ผมเองก็ยังไม่ได้รู้สึกเบื่อโลกซักกะนิด หลวงพ่อท่านว่าใช่ก็ใช่ไว้ก่อนละกัน

. โดนอบรมครั้งใหญ่ (ครั้งแรก) 

น้อยคนนัก ที่ส่งการบ้านกับหลวงพ่อ แล้วจะมีโอกาสได้รับประทานแกงเผ็ดหม้อใหญ่ สำหรับผม ถือได้ว่าเป็นความเมตตาจากท่านที่ท่านอบรมผมเป็นเวลาถึงครึ่งนึงของเทศน์ครึ่งเช้า และยังเป็นกัณฑ์เทศน์ที่ผมอัดเก็บไว้ฟังเพื่อเตือนใจตัวเองบ่อยๆ แล้วยังให้คนอื่นๆอีกหลายท่านได้ฟังด้วยเพราะได้ประโยชน์กับอีกหลายคนกันถ้วนหน้า ถ้าใครที่เป็นคนคิดมากในการปฏิบัติ ก็สมควรได้ลองฟังไฟล์นี้กันดูดีกว่าครับ 510114A 

อันที่จริง ยังมีอีกหลายไฟล์ ที่ผมถามคำถามโง่ๆออกไปอีกมากมาย ซึ่งจะเป็นตอนแรกๆที่ผมไปเรียนกับท่านเสียมากกว่า ถ้าใครมีซีดีสวนสันติธรรมแผ่นที่ ๒๒-๒๔ ก็ลองไปหาฟังดูครับ อย่างน้อยต้องมีเสียงผมอยู่บ้าง

. พบ อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม

หลังจากนั้น ผมก็ยังคิดมากในเรื่องของการปฏิบัติไม่เลิก ลองอ่านหนังสือ ๗ เดือนบรรลุธรรมแล้วฝึกนั่งสมาธิตามนั้นดู ก็ถูกทักว่าติดเพ่ง อีก ดิ้นไปดิ้นมา ไม่รู้จะทำยังไง ในช่วงนั้น ก็ได้ไปที่สวนพุทธธรรมเดือนละครั้ง โดยอาศัยไปกับรถตู้ของลุงเมา หลวงพ่อมนตรีท่านก็เมตตาแนะนำกรรมฐานให้ผมเท่าๆกับที่ท่านแนะนำคนอื่นๆโดยทั่วไป คือ เน้นให้ผมไปเดินจงกรม แต่เนื่องจากร่างกายผมไม่ค่อยสมประกอบ ผมจึงคิดว่า ถ้าจะถามเรื่องกรรมฐานเคลื่อนไหว ก็น่าที่จะไปถามถึงผู้ที่มีชื่อเสียงในสายนั้นๆ ซึ่งผู้ที่อยู่ใกล้ที่สุด ก็คือ อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม นั้นเอง หลังจากได้ไปพบกับอาจารย์ ก็ทำให้ผมรู้แนวทางการปฏิบัติได้ดีขึ้น จนกระทั่งเหมือนจะจับหลักได้ เพราะหลวงพ่อชมไว้ในวันที่๓๑ มีนาคม ๒๕๕๑
แต่หลังจากนั้น ก็ดูเหมือนการปฏิบัติจะไม่ได้เรื่องได้ราวเท่าไรนัก ไปจนกระทั่ง...

. จิตเกิดนิพพิทา ครั้งที่ ๒ 

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมรู้สึกเบื่อโลกพิกล เหมือนกับว่าอะไรๆมันก็เบื่อไปหมด แต่ในใจลึกๆเหมือนกับว่ามันสร้างอาการเบื่อขึ้นมายังไงไม่รู้ แต่หลวงพ่อบอกว่ามันเป็นนิพพิทา 510428B

. แกงเผ็ด ครั้งที่สอง

เป็นอีกวันที่ผมยังจำได้ไม่ลืม แม้จะปฏิบัติมาได้ขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังเที่ยวถามคนนั้นคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งท่านเห็นโอกาส เลยอบรมผมอีกยกนึง ซึ่งทำให้ได้อายกันไปเลยทีเดียว แต่สำหรับผม ผมถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญที่ล้ำค่ามาก 510512B หลังจากนั้น ผมได้ย้ายที่ทำงาน ซึ่งก็แน่นอนว่า เราคงไปหาหลวงพ่อไม่ได้บ่อยๆอีกแล้ว ทำให้ผมมุ่งมั่นในการปฏิบัติมากขึ้น ผมได้ปฏิบัติแนวเคลื่อนไหว พร้อมเพิ่มการเดินจงกรมให้มากขึ้น แม้จะฝืนร่างกายไปบ้าง ปฏิบัติตามรูปแบบ(เกือบ)ทุกวัน จนกระทั่งกลับมากราบท่านในวันที่ ๒๘ มิ.ย. ๒๕๕๑ 510628B ซึ่งวันนั้น ถือว่าเป็นความโชคดีอีกอย่างของผม ที่ได้เจอพี่ดังตฤณด้วย ซึ่งทั้งสองท่านบอกว่าผมปฏิบัติได้ดีขึ้นมาก

หลังจากนั้นอีก ๑ เดือน ผมก็ได้กลับมากราบท่านอีกหลังจากที่ได้ไปพักภาวนาที่วัดป่าสุคะโต ซึ่งที่วัดนี้ มีสถานที่วัดใจเล็กๆนิดหน่อย ตรงที่มีป่าช้าฝังศพคนอยู่หลังวัด มีเชิงตะกอน พร้อมกับต้นตาล(มั้ง)ต้นใหญ่ๆ มองไปทีไรก็สะดุ้งเพราะตอนกลางคืนกลางป่า(ในวัด) มันมืด ดูแล้วเหมือนเปรตจริงๆ แต่ก็ยังไม่ใช่ป่าช้าขนานแท้ คืนก่อนกลับ ผมได้ไปภาวนาที่นั่นทั้งคืน ไปคนเดียว โดยไม่นอนเลย ก็ทำให้ความกลัวผีหายไปหลายส่วน กลับมาส่งการบ้านท่านอีกที ก็มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างมากมาย ถึงขั้นไหน ก็ไม่ทราบล่ะ แต่ท่านว่าไว้ว่า กว่าจะหลุดมาถึงตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย510724B หลังจากนั้น การปฏิบัติ ก็มีแต่ก้าวหน้ามากขึ้น มีบางครั้งที่ถดถอยลงบ้าง แต่แนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้นเสมอ


หลังจากปฏิบัติตามแนวนี้มา ผมขอพูดตรงๆว่า ผมรู้ทันจิตใจตัวเองมากขึ้น ปล่อยวางอารมณ์ได้เร็วขึ้น แต่มันก็เหมือนกับผมก็ต้องมาดูอารมณ์กันต่อเพราะจิตยังไม่เป็นกลาง บางครั้ง กิเลสมันไม่มีเหตุมีผล ดูยังไงก็ถูกกิเลสมันลากไปต่อหน้าต่อตา เหมือนคนไม่เคยปฏิบัติยังไงยังงั้น ซึ่งนั่นก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะท่านมักจะพูดไว้เสมอว่า จิตมันเป็นอนัตตา ห้ามมันไม่ได้ สั่งมันไม่ได้


. คิดอคติกับครูบาอาจารย์สายหลวงพ่อเทียน

ช่วงที่ผมย้ายที่ทำงานใหม่ๆนั้น ผมได้รับคำแนะนำจาก อ.กำพล ว่า ให้ลองไปที่วัดโมกขวนารามดู ซึ่งผมก็ได้สนทนาธรรมกับท่านเจ้าอาวาส พระอาจารย์อเนก เตชวโร ผู้ซึ่งหลวงพ่อคำเขียนให้การรับรอง และหลวงพ่อคำเขียน มักจะมาเยี่ยมท่านบ่อยๆด้วย แต่หลังจากผมสนทนาธรรมกับท่านได้ ๒-๓ ครั้ง ก็เกิดความรู้สึกอคติในใจเล็กน้อย แม้ยังไม่ล่วงเกินไปปรามาสท่าน เพราะท่านเป็นผู้พูดเองว่า สติแบบหลวงพ่อเทียนไม่เหมือนสติแบบที่ผมศึกษามาเป็นอันขาด โยมจะรอให้สติเกิดเอง ขับรถๆไปแล้วรถก็ชน สติถึงมา อย่างนั้นหรือ? ซึ่งผมก็เริ่มเอะใจ เขาว่ากันว่าหลวงพ่อคำเขียนรับรองท่าน แล้วหลวงพ่อคำเขียนก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้กับหลวงพ่อปราโมทย์ ทำไมลูกศิษย์ท่านที่ท่านรับรองถึงไม่ยอมรับ 

(ภายหลังผมถึงพบว่า ถ้าศึกษาลงไปลึกๆและลองปฏิบัติดูจริงๆจังๆ ไม่ว่าคำสอนครูบาอาจารย์พระป่าแท้ๆสายใด ก็จะไม่ลงกันได้กับสติแบบที่ผมศึกษามาทั้งนั้น)


๑๐. สงครามกลางพันธ์ทิพย์ 

ผมได้ปฏิบัติตามแนวนี้มาเรื่อยๆ พร้อมกับได้ไปส่งการบ้านกับพี่ดังตฤณเป็นบางครั้ง ก็พบว่าแนวโน้มไปในทางที่ดีเสมอ เช่นดังต่อไปนี้ 

ครั้งก่อนสุดท้ายที่ผมจะได้ไปสวนสันติธรรมครั้งสุดท้ายนั้น ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรมาก นอกเสียจากว่า ภาวนาก็ดีแล้ว จับหลักได้แล้ว ไม่ต้องถามมาก เป็นต้น แต่ผมไม่สามารถไปแนะนำอะไรใคร หรือไปพูดกับใครได้มากนัก เพราะพูดแล้วมันจะฟุ้งซ่านในธรรม ตามที่ท่านว่าไว้

แต่มันก็อดไม่ได้ เมื่อมีใครก็ไม่รู้ ใช้ล็อกอินว่า Satoranai และ เกิดเป็นคนช่างยากแท้ เข้ามาปั่นป่วนทำลายชื่อเสียงของท่านเมื่อประมาณกลางปี ๒๕๕๒ ผมเอง ก็ได้ลงไปช่วยสู้กับเขาด้วย และก็ได้ปากเสียด่าหลวงพ่อสงบไปซะด้วย เพราะไม่รู้มาก่อนว่าท่านเป็นใคร ลองสอบถามจากญาติธรรมในกลุ่มลูกศิษย์สวนสันติธรรมที่รู้จักท่าน ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรที่จะช่วยให้ผมนับถือท่านมากขึ้นเท่าไหร่เลย ผมยังคอยช่วยสอดส่อง เวลานาย Satoranai นี้เข้าไปป่วนในเว็บวิมุตติ โดยใช้ล็อกอิน Satoranai บ้าง youngsoldier บ้าง เพราะผมจำสไตล์การเขียนเค้าได้

ในช่วงปี ๕๒ ผมก็ยังได้บริจาคหนังสือธรรมะจากหลวงพ่อปราโมทย์หลายเล่ม นานๆทีจะเอามาแจกในลานธรรมบ้าง เช่น ตามกระทู้นี้ แจกประมวลธรรม

การปฏิบัติของผม แม้กระทั่งคุณ Maibok เอง ซึ่งผมได้เคยติดต่อขออนุญาตเรื่องขอนำสื่อธรรม เผยแพร่ในห้องสมุด ก็ยังพูดมาว่า ผมเปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนมาก สงบขึ้นเย็นขึ้น ผมก็ได้เขียนตอบไปว่า ก็เพราะหลวงพ่อและทีมงานที่ช่วยกันชี้แนวทางนี้แหละครับ
๑๑. ประกาศป่าละอู

ต่อมาเมื่อเกิดมีประกาศป่าละอูขึ้นมาในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒ มีญาติธรรมสอบถามผมเข้ามาว่า ประกาศป่าละอูมีความหมายอย่างไร ผมก็ตอบไปตามที่พี่ดังตฤณเขียนไว้ แต่เมื่อเพื่อนของผมคนหนึ่ง ได้เข้าไปคุยกับหลวงพ่อมนตรีโดยตรง เราได้คุยกันถึงเรื่องนี้ ผมได้ยินครั้งแรกนี้ผมช็อกไปเลย เพราะความหมายก็ไม่ได้ต่างอะไรจากไอ้อีเมล ๓ ฉบับที่เผยแพร่กันอยู่เท่าไหร่นัก ก็ใครจะไปเชื่อล่ะ อย่างน้อย ผมต้องสอบถามกับคนที่ผมรู้จักที่สวนพุทธธรรมด้วยตนเองก่อน เพื่อดูว่า ข้อมูลตรงกันหรือไม่ พอตรวจสอบแล้วพบว่าข้อมูลตรงกัน เอาละสิ ไม่เชื่อครับ 

ด้วยความที่เป็นศิษย์กตัญญู อย่างน้อย ผมต้องหาข้อมูลมาสนับสนุนให้ได้ว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นการกล่าวหา เป็นการกลั่นแกล้ง ผมค้นหาหลักฐานต่างๆ เพื่อที่จะนำมาแก้ตัวให้กับหลวงพ่อปราโมทย์ แต่ทว่า หลักฐานต่างๆนั้น กลับมีแต่หลักฐานที่เข้าข้างคำกล่าวหาด้านคำสอน เพราะหลังจากที่ผมไปเช็คกับคำสอนของครูบาอาจารย์พระป่ามาทั้งหมด ผมไม่พบสักองค์เลย ที่มีแนวทางการปฏิบัติลงกันได้จริงกับแบบที่ท่านสอนอยู่ แม้แต่ของหลวงปู่ดูลย์หรือหลวงพ่อมนตรีซึ่งควรเป็นสายเดียวกัน (ผมได้ตั้งข้อสังเกตนี้ และมีผู้นำไปให้หลวงพ่อมนตรีได้อ่านภายหลังตอนปลายเดือนมกราคม 2553 ท่านก็ได้อนุโมทนา และพูดออกมาว่าผมเป็นผู้ที่มองเหตุการณ์ได้หลักแหลมยิ่งนัก)

๑๒. ประกาศบ้านอารีย์

ผมไม่ขอพูดอะไรมากนัก เพราะทุกคนทราบกันดีว่า ประกาศบ้านอารีย์พูดกล่าวหาเรื่องอะไรบ้าง เพียงแต่ว่า ในมุมมองของคนที่ยังมีสติสัมปชัญญะและเหตุและผลดีอยู่นั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมรู้สึกคลางแคลงใจ ไปจนกระทั่งแทบจะไม่เชื่อถือ ก็คือ ในประกาศสวนสันติธรรม ๑๐ ฉบับนั้น ผมจะไม่บอกว่าจริงหรือเท็จ แต่ในฐานะที่ผมเป็นลูกศิษย์สวนสันติธรรมมาระยะหนึ่ง แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็เข้าถึงวงใน (ในแบบนอกๆ แต่ก็ไม่ได้นอกจนไม่รู้อะไร) ผมขอบอกว่า ประกาศนั้นมันไม่ตรงกับความจริงในหัวใจของผมครับ โดยเฉพาะเรื่องการพยากรณ์ใครต่อใคร ความเป็นอริยภูมิของใครบ้าง เรื่องนี้ผมจะไม่ขอพูดมากนะครับ เพราะหลักฐานต่างๆมีผู้รวบรวมกันมาเยอะมากพอสมควรแล้ว

๑๓. กราบขอขมาหลวงพ่อสงบ

ไม่มีอะไรจะพิสูจน์ได้เท่าตัวเราเอง อย่างผมน่ะหรือ ทำสมาธิไม่ได้ จริงอยู่ การทำสมาธิ แรกๆก็อึดอัดบ้าง แต่เมื่อทำๆไป อาการต่อต้านเหล่านั้นมันก็หายไปเอง แต่ก็จะมีปัญหาใหม่ๆมาให้แก้เรื่อยๆ ผมได้เริ่มฟังธรรมะของหลวงพ่อสงบ มนัสสันโต แรกๆที่ฟัง ก็รู้สึกซึมเซ็ง เพราะไม่ค่อยชินกับสำนวนวาจาที่ไม่ค่อยรื่นหูนัก แต่พอฟังๆไป ก็รู้สึกว่า เออ แบบนี้สิ มันกระแทกหัวใจจริงๆ เข้าถึงจิตถึงใจจริงๆ จนกระทั่งผมได้ไปกราบท่านในวันที่ ๒๙ ม.ค. ๒๕๕๓ ดังที่มีหลักฐานการบันทึกเทปไว้ในวันนั้นดังนี้
(ถ้าดาวน์โหลดมาฟัง จะเห็นว่า ไม่มีเสียงถาม ขอให้อ่านตัวเต็มๆจากที่มีผู้แกะกัณฑ์เทศน์ออกมาครับ)

โดยคำตอบที่ท่านได้เมตตาตอบมานั้น สะเทือนใจผมอย่างยิ่ง

"งั้นเราบอกว่าเวลาเราคิด เป้าหมายของเรา เราอยากให้พวกโยม อยากให้ทุก ๆ บุคคล ให้ ให้มีหลักมีเกณฑ์ของตัวเอง เราจะพูดคำนี้นะ ถ้าพูดแล้วมันสะเทือน ถ้าพูดประสาเรา บอกว่า กูอยากให้มึงเป็นคนเท่านั้น อยากให้คนกลับมาเป็นคน อยากให้ทุกคนกลับมาเป็นอิสรภาพ เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์นะกูพอใจแล้ว เป้าหมายมีเท่านี้ เป้าหมายคือทุกคนให้กลับมามีความสมบูรณ์โดยตัวเองเท่านั้น จบ เราไม่ต้องการอะไรเลย แล้วที่พูดออก........ เราเพียงแต่อยากเตือน เตือน เพราะเราดูแล้ว ถ้าพูดประสาเราดูแล้วว่า คำสอนอย่างนั้นมันไม่มีเหตุมีผลไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์อะไรเลย งั้นมันไม่มีเกณฑ์มันก็จะพากันไป พากันไป ไปทางโน้นหมด งั้นเรื่องนี้จบไม่มีปัญหาเราไม่ติดใจอะไรเลย ไม่มีอะไรติดใจเราเลย ขอให้ทุกคนเป็นคนดี พอใจเท่านั้น เราไม่เอาอะไรเลย ให้ทุกคนเป็นคนดี มีหลักมีเกณฑ์ของเราขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา "

๑๔. เข้าพบหลวงพ่อมนตรี ในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๓

หลังจากออกมาจากวัดป่าเขาแดงใหญ่แล้ว ผมก็ได้ไปกราบหลวงพ่อมนตรี ที่สวนพุทธธรรม ในวันอาทิตย์ถัดมา หลวงพ่อมนตรี ท่านได้เมตตามอบหมายให้กับบุคคลคนหนึ่งในสวนพุทธธรรม ที่รู้เรื่องรู้ราวเป็นอย่างดี มาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟังทั้งหมด ในตอนแรก ผมยังมีแอบคิดในใจว่า บุคคลคนนี้ แอบอ้างเองหรือเปล่าว่าจะมาพูดความจริงให้ผมฟัง แต่หลวงพ่อมนตรีไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วย ระหว่างที่ผมสนทนาอยู่นั้น หลวงพ่อมนตรีก็ได้เดินมา (คงจะเป็นทางผ่าน) ณ ศาลานาลันทา ที่ผมคุยกันอยู่ ผมได้สอบถามปัญหาคาใจของผมเรื่องนึงกับท่านว่า "ถ้าหากผมพยายามบอกความจริงที่ผมทราบ กับทุกคนไป จะกลายเป็นว่า ผมเป็นศิษย์อกตัญญูของหลวงพ่อปราโมทย์ หรือไม่" ท่านก็ได้ตอบมาว่า "เราบอกความจริง เพื่อให้คนได้ทราบความจริง ไม่ได้บอกเพื่อทำลายใคร ไม่ต้องสนใจว่าใครจะเชื่อหรือไม่ เปรียบเหมือนหลวงพ่อ(มนตรี) ทำปืนหาย หลวงพ่อก็ต้องไปแจ้งความไว้ก่อน เพื่อที่ว่า คนที่เก็บปืนไปแล้วเอาไปยิงใครเข้า ความผิดก็จะมาตกที่ตัวหลวงพ่อ" หลังจากนั้น ปมในใจผมก็คลายออก 

หมายเหตุ ช่วงนั้นอาจมีบางท่านได้รับฟังจากผมว่าผมไม่มีเวลาได้ลงไปกราบหลวงพ่อปราโมทย์เลย ซึ่งความจริงก็คือ ผมไม่มีเวลาจะไปกราบท่าน แต่ผมมีเวลาไปค้นหาความจริงจากหลวงพ่อสงบและหลวงพ่อมนตรี

๑๕. ความจริงปรากฏในใจ

ทุกอย่างกระจ่างแจ้งกับใจผมแล้วครับ ผมของดเว้นการกล่าวอ้างถึงหลักฐานข้อเท็จจริงต่างๆ เพราะจะเป็นการไม่เหมาะสมที่จะนำมาพูดมากล่าวลงในสถานที่แห่งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับของลานธรรม ผมพูดแค่นี้ ทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงพอจะทราบว่า จะย้อนกลับไปหาข้อมูลได้จากไหน ผมได้แต่คิดว่า ในเมื่อเราเคยทำในสิ่งที่ผิด เราก็ต้องกระทำในสิ่งที่ถูก เพื่อให้คนได้รับรู้ข้อมูลเพิ่มขึ้นทั้งสองทาง อย่าได้ถูกปิดหูปิดตาจากการรับฟังข่าวสารด้านเดียวเลย

ผมได้ไปภาวนาที่วัดป่าเขาแดงใหญ่เป็นเวลา ๘ วัน หลวงพ่อสงบท่านเมตตาดูแลผมอย่างดีมาก ท่านเป็นผู้เลือกกุฏิที่สะดวกกับสังขารของผมมากที่สุดด้วยตัวท่านเอง ท่านเป็นกันเอง แม้แต่ข้อวัตรท่านก็ยังมีของท่าน ท่านถูพื้นตรงโรงน้ำร้อนบริเวณที่ท่านเลี้ยงสุนัขไว้ด้วยตนเองทุกวัน แม้ว่าภายนอกท่านจะดูน่ากลัวจนเข้าใกล้แล้วรู้สึกเกร็ง แต่ความรู้ที่ท่านถ่ายทอดให้ผม ทำให้ผมทราบว่า การปฏิบัติที่ถูกทางนั้น จริงๆเป็นอย่างไร ซึ่งมันก็พ้องกับคำสอนของครูบาอาจารย์พระป่าทั้งหมดที่ผมค้นหามา สรุปโดยย่อก็คือ ถ้าหากไม่ทำความสงบของใจขึ้นมาก่อน (ทำได้สองทาง คือ ทำสมถะด้วยการบริกรรม อย่างที่สองคือ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิด้วยการคิดพิจารณา) ปัญญาที่เกิดขึ้น จะเป็นปัญญาโลกๆทั้งหมด ไม่ใช่ปัญญาที่จะใช้ฆ่ากิเลสแต่อย่างใด แต่ใช้เป็นปัญญาที่จะนำไปสู่สมาธิได้ หรือเรียกว่า ปัญญานำสมาธิ นั่นเอง

หลังจากที่ผมได้เริ่มปฏิบัติใหม่ โดยเริ่มหันมาบริกรรมพุทโธแทน ก็ทำให้ผมพบความจริงว่า แท้จริงแล้ว การทำสมถะ ไม่ได้ก่อให้เกิดความอึดอัดอย่างที่คิด เพราะมันจะเป็นเฉพาะช่วงแรกๆที่กิเลสมันต่อต้านเท่านั้น แต่การทำสมถะให้จิตรวมลงเป็็นอัปปนาสมาธินั้น สำหรับผมแล้ว คงจะยากแสนยาก เพราะต้องใช้ความเพียรอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งหลวงตามหาบัวเอง ท่านยังกล่าวไว้ว่า สำหรับผู้ที่ยังตั้งหลักของใจไม่ได้ ในช่วงแรก การทำให้จิตสงบนั้น เป็นเรื่องลำบากมากอยู่เหมือนกัน เพราะขนาดท่านตอนเรียนหนังสืออยู่ ท่านยังลงอัปปนาได้เพียง ๓ ครั้ง ในช่วงเวลา ๗ ปี แต่หลวงพ่อสงบท่านบอกว่า การจะวิปัสสนา นั้น จิตเป็นอุปจารสมาธิ ก็ออกพิจารณากาย พิจารณาจิต ได้แล้ว 

การเปลี่ยนแปลงในตัวเองผมเห็นได้ชัด ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าผมมักจะไปติดอยู่กับการมองอารมณ์แล้วปล่อยอารมณ์ ผมอาจจะเขียนไม่ค่อยเก่งหรือถูกหลักนัก แต่จากหลักฐานประสบการณ์การภาวนาของผมกับหลวงพ่อปราโมทย์ที่ผมยกมานั้น คงจะบอกได้ในระดับหนึ่งว่า ผมไม่ใช่พวกกระจอกโหลยโท่ย ที่ไม่รู้เรื่องการดูจิตแต่อย่างใด เพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่งที่เขาเป็นสมาธิ เขาได้บอกกับผมว่า หลังจากผมเริ่มฝึกสมาธิอย่างจริงจังเนี่ย ความมั่นคงในจิตผมเพิ่มขึ้นมาก 

มีบางครั้ง ที่บางที ผมดูเหมือนจะมีโทสะหนักๆ แล้วคุมไม่ค่อยอยู่ พระอาจารย์สงบได้บอกผมว่า มันเป็นความเข้าใจผิดของคนส่วนใหญ่ที่คิดว่า คนเข้าวัดแล้วจะต้องสงบเสงี่ยมเรียบร้อย การดูจิตนั้น เหมือนดูเฉยๆ แล้วปฏิเสธอารมณ์ ต่างจากการใช้ปัญญาอบรมสมาธิที่มีการหยิบอารมณ์มาพิจารณา เมื่อเราฝึกฝนสมถะ จิตเราย่อมเห็นโทสะได้้ง่ายและทำให้เหมือนกับว่าโทสะนั้นมาแรงและเร็ว แต่นั่นคือความจริงที่ผู้ภาวนาจริงๆนั้นจะต้องเจอ หนทางมันไม่ได้ง่ายๆสบายๆอย่างที่เข้าใจกันหรอก

ถึงวันนี้ ผมรู้ความจริงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และเริ่มรู้หลักการภาวนามากพอจนทราบว่าอะไรเป็นอะไร จนผมไม่มีทางเดินกลับไปทางเดิมอีกแล้ว

เรื่องราวทั้งหมดของผม คงจะสร้างความกระจ่างให้กับหลายๆคนได้พอสมควร จึงขอจบเรื่องไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ

ปล. ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมได้ทำบุญ โดยได้แกะกัณฑ์เทศน์ของหลวงพ่อสงบที่ท่านเทศน์ไว้ในช่วงสงกรานต์เป็นจำนวนทั้งหมด ๙ กัณฑ์ อาทิเช่น 

คนเมืองกินแกลบ อันนี้ ผมอยากให้ฟังครับ เพราะคนเมืองก็ทำสมาธิได้
ฯลฯ


แต่ละไฟล์ ยาวมาก กว่าจะแกะจบ แทบสลบ เหมือนกัน แต่ก็เชื่อว่า นี่เป็นการกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับในอดีตที่ผมทำมาแล้วครับ

อีกอันนึง จริงๆแล้ว ไฟล์ส่งการบ้านของผมกับหลวงพ่อปราโมทย์นั้น มีมากกว่าที่นำมาลงตรงนี้ เยอะมาก ถ้าท่านใดสนใจ กรุณาเข้าไปฟังได้ที่นี้ครับ


=======================================

ทางเว็บขอขอบคุณที่ได้เขียนกระทู้นี้ที่ลานธรรมมาเตือนสตินักภาวนา