กรณีหลวงพ่อปราโมทย์ ๑ (มีนาคม ๒๕๕๓)


ข้อสังเกตุ 
  1. 1.การกล่าวถึงกรรมการที่ลาออก พร้อมๆกันถึง 5 คนนั้น เนื่องจากหาเหตุผลมาอ้างไม่ได้ เลยใช้วิธีง่ายที่สุดคือ “โยนให้คุณไสย” (อ่านได้ใน Realize Now และเทคนิคถ่ายภาพแบบเกอร์เลี่ยน) รับบาปไปซะ ง่ายดี ทั้งๆที่กรรมการที่ลาออกไปนั้น มีเหตุผลมากมาย ที่ทำให้เลือกที่จะ ไม่เชื่อถือ พระปราโมทย์อีกต่อไป

  1. 2.การอ่้างว่าทำชื่อเสียงให้ครูบาอาจารย์นั้น หลวงพ่อสงบท่านได้เทศน์ไว้ใน “มายาคติ” แล้ว 

  1. 3.ในกรณีที่ว่าพระปราโมทย์มิได้ใช้ชื่อเสียงของหลวงปู่ดูลย์มาจุดพลุสร้างชื่อให้ตนเองนั้นก็มิใช่ความจริง หากพระปราโมทย์ไม่อ้างว่าการดูจิตนั้นเป็นแบบของหลวงปู่ดูลย์ และตนเองได้รับคำพยากรณ์จากหลวงปู่ดูลย์แล้ว (ดูที่อวดอุตริ) อีกทั้งยังใช้ชื่อครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ เช่น หลวงพ่อพุธ หลวงปู่สิม หลวงปู่สุวัจน์ และอีกหลายๆองค์ที่มรณะภาพไปแล้ว มาอ้างว่าเป็นลูกศิษย์บ้าง พยากรณ์ตนบ้าง เห็นด้วยกับการสอนของตนบ้าง ถ้าไม่นำเอาชื่อของหลวงปู่ต่างๆมาอ้าง จะมีสักกี่คนที่เชื่อถือพระปราโมทย์? 

  1. 4.การอ้างว่าไม่คิดลบล้างครูนั้น แล้วทำไมถึงเอาคำว่า คำสอนหลวงปู่ “น่าจะคลาดเคลื่อน” มาใช้ ในเมื่อพระหลายๆรูปออกมาค้านว่า อริยะสัจแห่งจิตที่หลวงปู่ดูลย์กล่าวไว้นั้น ถูกต้อง แต่ผู้เขียน(พระปราโมทย์)เองนั้นแหละที่ปฏิบัติไม่ถึง เลยไม่เห็นอริยสัจตามความเป็นจริง เพราะมั่วแต่ดู ”เงาของจิต” แล้วก็จินตนาการเข้าข้างตัวเองโดยเอาพระไตรปิฏก และ พระอภิธรรมมาตีความเข้าข้างตัวเอง

  1. 5.เรื่องที่ดังตฤณไม่มีผลประโยชน์กับหลวงพ่อปราโมทย์นั้น คงจะไม่ใช่ซะเดียวเพราะ
    
    5.1 หลายๆคนทราบว่า เมื่อเปิดสวนสันติธรรมใหม่ๆ พระปราโมทย์บอกว่า ดังตฤณ
    ไม่ใช่พระโสดาบัน แต่พอเปิดไปได้ซักพัก กลับบอกว่าดังตฤณเป็นพระโสดาบัน
    
    5.2 พระปราโมทย์กล่าวชมดังตฤณบ่อยๆว่าเขียนหนังสือดี แม้กระทั่งให้ศิษย์ไปหา
    ดังตฤณเพื่อให้พยากรณ์อริยะผลให้ ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของดังตฤณดูเป็นผู้ทรง
    ภูมิธรรมขึ้นมาอีกมาก ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำเช่นนี้ ส่งผลแก่ยอดขายหนังสือของ
    ดังตฤณแค่ไหน
        หากวันใดที่ศิษย์ทั้งหลายของ พระปราโมทย์เข้าใจความจริงว่า พระปราโมทย์ไม่ใช่       
    พระอริยะ และสอนผิด ไม่อาจทำให้ถึงมรรคผลได้ ความเป็นพระโสดาบันที่คนเชื่อว่า
    ดังตฤณเป็น จะมลายหายไปทันที อีกทั้งเป็นการบั่นทอนความเชื่อถือของภูมิธรรม
    (ซึ่งไม่เคยมีอยู่แล้ว) ของดังตฤณทันที และต้องส่งผลถึงยอดขายหนังสือ 
    อย่าลืมว่าดังตฤณนั้น เขียนหนังสือธรรมะเป็นอาชีพ ถ้าเกิดวิกฤตศรัทธาขึ้น 
    หนังสือขายไม่ออก ก็เท่ากับล้มละลายเลยทีเดียว

สำหรับกรณีหลวงพ่อปราโมทย์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

หลายคนอยากฟังคำอธิบายจากผม  เพราะเชื่อว่าน่าจะรู้ตื้นลึกหนาบางดี  แต่ความจริงคือผมเองก็ต้องพยายามสืบหาต้นตอและที่มาที่ไป  ต้องพยายามสร้างมุมมองและความเข้าใจ
อันเกิดจากการรวบรวมข้อมูลมาปะติดปะต่อไม่ต่างจากคนอื่น  สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้จึงมีค่าไม่ต่างจากความเห็นของคนทั่วไป  อาจถูกหรืออาจผิดประสาภูมิปัญญาของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง  เจตนายืนพื้นอยู่บนความอยากรักษาศรัทธาชาวพุทธที่มีต่อพุทธศาสนา
ไม่ใช่มุ่งรักษาศรัทธาของชาวพุทธที่มีต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

คำอธิบายทั้งหมดมีความยืดยาวทางที่ดีที่สุดจึงอาศัยคำถามที่มีเข้ามาหาผมไม่ขาดเป็นตัวตั้งแล้วตอบจากประสบการณ์ตรงหรือด้วยข้อมูลเท่าที่ผมมี

เกริ่นไว้ก่อนว่างานนี้จะไม่มีใครได้ข้อมูลไปทั้งหมด  แต่โชคดีที่ไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดก็เข้าใจได้  เรื่องบางเรื่องรู้ครึ่งเดียวจะเป็นผลดีกับทุกฝ่ายตรงข้าม การอธิบายแบบให้เข้าใจหายสงสัยอย่างสิ้นเชิงแบบต้องลงรายละเอียดตามลำดับ  อาจกระทบกระทั่งบุคคล  หรืออาจจะต้องเข้าเรื่องเหลือเชื่อเหมือนการ์ตูน  ผมทำไว้ในใจว่าโลกเป็นทุกข์อยู่แล้ว  ก็จะไม่ขอเขียนอะไรให้เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ต้องเป็นทุกข์เพิ่มแม้แต่คนเดียว

ถาม - การถอนตัวของคณะกรรมการสวนสันติธรรม  เป็นจำนวนหลายคนพร้อมกัน เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ตอบ - จากการรับ "ต้นเสียง" ทางโทรศัพท์ด้วยตนเองทำให้มั่นใจว่าเรื่องใหญ่นี้จุดชนวนขึ้นจากความเข้าใจผิดและมุมมองสรุปที่ต่างกัน  ความเข้าใจผิดที่ว่าก็คือเห็นหลวงพ่อปราโมทย์เป็นศิษย์คิดล้างครูเอาชื่อหลวงปู่ดูลย์มาแอบอ้างสร้างฐานความน่าเชื่อถือ
แล้วภายหลังก็ริอ่านชี้ว่าครูบาอาจารย์พูดผิดสมควรได้รับการขยายความจากตน  ด้วยมุมมองส่วนตัวจากการเห็นผลงานของหลวงพ่อปราโมทย์  ผมคิดว่าท่านไม่ได้สร้างแผนแอบอ้างชื่อเสียงครูบาอาจารย์  แต่เป็นการกระจายกลิ่นหอมของชื่อเสียงครูบาอาจารย์
ให้ขจรไกลออกไปทั่วโลกเสียมากกว่า  โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีโอกาสรู้จักพระป่ามากนัก  ก่อนหน้าหลวงพ่อปราโมทย์จะโด่งดัง  จะมีสักกี่คนที่เคยได้ยินชื่อของหลวงปู่ดูลย์  แม้ท่านขึ้นทำเนียบ "พระที่จะต้องไม่ถูกลืม" มานาน  นอกจากนั้น มีใครเคยได้ยินคำว่า "ดูจิต" บ้าง  แม้หลวงพ่อชาและพระป่าหลายท่านใช้คำนี้กันบ่อยๆ  ก็เพิ่งจะด้วยความสามารถในการ "ทำให้เชื่อด้วยของจริง" ของหลวงพ่อปราโมทย์นี่เอง  ทำให้คำว่า "ดูจิต" กลายเป็นหลักปฏิบัติอันศักดิ์สิทธิ์  เป็นทางเลือกสำหรับชาวบ้านชาวเมืองที่ต้องการเข้าถึงแก่นธรรม  โดยยังต้องประกอบอาชีพการงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเองอยู่

สรุปคือคนส่วนใหญ่  รู้จักหลวงปู่ดูลย์และเห็นค่าคำสอนของท่านกันมากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากเป็นอาจารย์ทางธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์  ไม่ใช่หลวงพ่อปราโมทย์นำยี่ห้อหลวงปู่ดูลย์มาจุดพลุสร้างกระแสความนิยมให้ตนเองทุกวันนี้ พอผู้คนหลั่งไหลไปที่สวนสันติธรรม  ก็จะได้เห็นรูปปั้นหลวงปู่ดูลย์ยืนเด่นเป็นสง่าก่อนเป็นอันดับแรก
(มีบางคนอุตส่าห์มองแง่ลบว่าไม่ดีไม่งาม  ค่าที่ปล่อยให้ท่านยืนตากแดดตากฝนอย่างน่าสงสารก็ขอให้คำนึงว่าพระพุทธรูปในวัดทั่วโลก ต่างก็นั่ง ยืน นอน ตากแดดตากฝนไม่ต่างจากนี้เหมือนกัน)

ส่วนข้อหาดัดแปลงคำพูดครูบาอาจารย์นั้น  ด้วยมุมมองส่วนตัว  ผมเห็นว่าเจตนาของหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ใช่ริอ่านปรับปรุงคำพูดของครูบาอาจารย์ตามอำเภอใจ  แต่เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีของคนรุ่นใหม่  คือเข้าใจว่าคำพูดแท้ๆของหลวงปู่ดูลย์นั้น
เดิมเป็นอย่างหนึ่ง ก่อนจะถูกตกแต่งแล้วค่อยสืบทอดมาตลอดจนเพื่อให้เข้าใจว่าเดิมทีหลวงปู่ดูลย์ตั้งใจสื่อความหมายแบบไหน  สรุปคือหลวงพ่อปราโมทย์อยากให้เข้าใจหลวงปู่ดูลย์ที่แก่น ไม่ใช่ที่เปลือก

ทว่าด้วยมุมมองของคนอื่น นี่อาจเข้าข่ายดูหมิ่นอาจารย์ตนว่าพูดไม่ชัดจำต้องตกแต่งแก้ไขให้ถูกต้องด้วยฝีมือตนซึ่งภายหลังเมื่อหลวงพ่อปราโมทย์เล็งเห็นมุมมองของคนอื่นเช่นนี้
ท่านก็สั่งตัดต้นเหตุปัญหา  เช่นแก้ไขตัดทอนหนังสือบางเล่มเสีย  เอาความเห็นทั้งหมดของท่านออก เหลือไว้เพียงส่วนที่ยึดว่าเป็นคำของหลวงปู่ดูลย์  แต่อาจช้าเกินการณ์ 
เพราะหลายคนปักใจว่าท่านเป็นลูกศิษย์คิดล้างครูไปแล้ว  พากันกระพือความเชื่อนี้ไปทั่วแล้ว

ในแง่ของมุมมองสรุปที่มีต่อการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์  ที่ช่วยอ่านวาระจิตของลูกศิษย์เป็นรายๆ  ว่านั่นคือสร้างความอ่อนแอขึ้นในสังคมชาวพุทธ  ด้วยวิธีรวบอำนาจชี้ขาดไว้ในตนแต่ผู้เดียวก่อให้เกิดกระแสความต้องการการพึ่งพา  ไม่อาจเจริญสติได้ด้วยความเข้มแข็ง  โดยมีการเปรียบเทียบเหมือนนกถูกหักปีกที่คงไม่มีวันบินได้ด้วยตนเอง

จากมุมมองส่วนตัวผมเห็นเป็นตรงกันข้าม
ถามว่าที่ผ่านมาเคยมีใครระดมฆราวาสจำนวนมาก  ให้เข้ามามีกำลังใจเจริญสติร่วมกันเท่านี้บ้าง?
ผมไม่ได้พูดถึงการระดมคนมาชุมนุมกัน  เพื่อสร้างความเชื่อ หรือความประพฤติในระดับศีลธรรมจรรยา  แต่ผมกำลังพูดถึงการระดมคนมาเข้าถึงแก่นธรรม  เจริญสติเพื่อระงับดับเหตุแห่งทุกข์ทางใจซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่แท้จริงของพระพุทธศาสนาเรา

ผมทำหนังสือ "ดูจิตปีแรก" ซึ่งเป็นการรวมงานง่ายๆของท่าน  แจกจ่ายเป็นธรรมทานไปทั่วประเทศ จนถึงบัดนี้นับได้สองแสนเล่ม  จึงได้รับฟีดแบ็กโดยตรงมากมายก่ายกอง
บางคนแค่อ่านอย่างเดียว  จากที่อ่อนแออยากฆ่าตัวตาย กลายเป็นอยากอยู่ต่อเพื่อปฏิบัติธรรม  จากคนที่เคยมืดด้วยความไร้ศรัทธา กลายเป็นมีศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็ง  จากคนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมภาวนาได้ผล  กลายเป็นคนที่เชื่อมั่นว่าตนมีสิทธิ์บรรลุมรรคผลได้ในชาตินี้  หลักฐานโดยย่นย่อเพียงเท่านี้  ควรแก่มุมมองสรุปว่าหลวงพ่อปราโมทย์ทำให้สังคมพุทธอ่อนแอแน่หรือ?

ถาม - คณะกรรมการเคยสนิทกับหลวงพ่อปราโมทย์มากน่าจะรู้เห็นอะไรมาก แล้วมาลาออกพร้อมกัน  มิเป็นการแสดงความไม่ชอบมาพากลหรอกหรือ?

ตอบ - กรรมการและคนใกล้ชิดของท่านมีแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ลาออก ไม่ใช่ทั้งหมดผมเองไม่ได้ใกล้ชิดหลวงพ่อปราโมทย์เท่าบุคคลเหล่านั้น  ไม่ได้ติดตามท่านไปไหนต่อไหนเหมือนบุคคลเหล่านั้น  แต่ภาพของผมก็รวมอยู่ในบุคคลที่มีความผูกพันกับท่านด้วย  เพราะทุกวันนี้มีคนได้อ่าน "ธรรมะจากพระผู้รู้" หลายหมื่นคน  ผ่านนิตยสารธรรมะใกล้ตัวซึ่งผมกับน้องๆร่วมกันสร้างขึ้นมา  และด้วยเหตุของความเป็นคนที่มีภาพผูกพันกับท่าน  ผมจึงพอจะรู้จากประสบการณ์ตรงบ้างว่าเกิดอะไรขึ้น  ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขน่าลำบากใจ  ทั้งนี้ ผมไม่ได้หมายความว่าผู้เกี่ยวข้องที่อ้างถึงข้างต้น  จะได้รับประสบการณ์แบบเดียวกับผมขอให้ทราบว่านี่เป็นเพียงประสบการณ์เฉพาะตนเท่านั้น

งานนี้สำหรับผมแล้วมีการเล่นงานเอากับจุดอ่อนของคนส่วนใหญ่นั่นคือความกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง  ความกลัวว่าลาภ ยศ สรรเสริญ และความสงบสุขจะหายไป  เริ่มต้นจากย้อนหลังไปประมาณสองอาทิตย์ก่อนเกิดเหตุ  เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง เตือนว่าให้ระวัง
ถ้าไม่ถอนตัว ไม่หาหลุมหลบภัย  จะพลอยร่างพลอยแหไปกับหลวงพ่อปราโมทย์ด้วย
เพราะกำลังจะมีการถล่มท่านครั้งใหญ่ และเห็นทีจะรอดยาก

จากนั้น เพิ่งล่าสุดวันสองวันนี้เองมีใครคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก  พยายามส่งสัญญาณเตือนมาจากทางไกลว่าจะมีการเล่นงานผมทางกฎหมายเป็นรายต่อไป  หลังจากเอาผิดทางกฎหมายกับหลวงพ่อปราโมทย์ได้สำเร็จ

การยกเลิกกำหนดการเทศน์กะทันหันของสำนักพิมพ์ DMG ก็ดี  การขอระงับการเผยแพร่คำสอนของบ้านอารีย์ก็ดี  ตลอดจนการถอนตัวของคณะกรรมการสวนสันติธรรมก็ดี  อาจเกิดจากความคลางแคลงของบรรดาท่านผู้มีเกียรติ  เพราะรู้เห็นเรื่องไม่ดีใดๆของหลวงพ่อปราโมทย์หรือเปล่าผมไม่ทราบ  ทราบแต่มีการวางแผนอย่างชัดเจน
ยืนพื้นอยู่บนความเชื่อที่ว่าถ้าคนสนิทถอนตัวพร้อมกันทั้งยวง วิกฤตศรัทธาจะตามมา
เพราะผู้คนคงไปร่ำลืออย่างกว้างขวางว่าพระรูปนี้ต้องมีบาปผิดติดตัวอย่างมหันต์แน่นอน

พระพุทธเจ้าตรัสว่าจิตมีธรรมชาติไหลลงต่ำคืออยู่ดีๆก็พร้อมจะมีความคิดร้ายๆกับคนอื่นอยู่แล้วความจริงถ้าไม่มีแถลงการใดๆออกมาเลยทุกอย่างอาจอึมครึม กลายเป็นจิตวิทยามวลชนที่ทรงพลังกว่านี้แต่เมื่อมี คำประกาศจากบ้านอารีย์ ชี้ความผิดของหลวงพ่อปราโมทย์ออกมาก็กลายเป็นว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร  เนื่องจากทุกคนมองว่าการชี้โทษทุกข้อของบ้านอารีย์  หาใช่ความผิดอุกฉกรรจ์อันควรเอาโทษขนาดต้องถล่มให้ล่มจมไม่
ความรู้สึกมวลรวมจึงกลายเป็นโล่งอก ไม่มีอะไรในกอไผ่และมองตามๆกันว่าหลวงพ่อถูกประทุษร้าย  คราวนี้ความไม่ชอบมาพากลจึงไม่ได้ตกอยู่กับฝ่ายหลวงพ่อ  แต่กลับไปตกอยู่ที่กลุ่มบุคคลเบื้องหน้าเบื้องหลังการจัดการหลวงพ่อมากกว่า

ถ้าขอได้ก็ขอทุกคนอย่าเพิ่งก่นด่าหรือเคียดแค้นชิงชังกลุ่มบุคคลเหล่านี้เพราะหากคุณรู้เบื้องหลังทั้งหมดก็จะมีความรู้สึกเห็นใจพวกเขาในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  ไม่ใช่ในฐานะของเพื่อนที่กลายเป็นศัตรู  ผมบอกได้แค่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตา  เป็นอะไรที่เราจะอาศัยเพียงสมมติฐานว่าเคยสนิทต้องรักกันตลอดไม่ได้  คลื่นรบกวนทางความคิดคือตัวตัดสินชี้ขาดว่าศรัทธาจะโดนซัดพาไปทางไหน  ขอยกตัวอย่างบุคคลที่มีตัวตนจริง เคยเป็นคนสนิทหลวงพ่อปราโมทย์  และเกือบจะต้องถอนตัวไปสักรายหนึ่ง  เขาใช้นามแฝงในลานธรรมว่า Realize Now  อ่านความเป็นมาเป็นไปแล้วคุณจะมองเห็นกระบวนวิธีทำลายศรัทธาชัดขึ้น

ถาม - คนสนิทของหลวงพ่อที่ถอนตัวไปต่างก็เคยมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในตัวหลวงพ่อ
เหตุใดหลวงพ่อจึงรักษาศรัทธาไว้ไม่ได้?

ตอบ - แสงเทียนในความมืดนั้นจะส่องสว่างได้ดีเมื่อคุณอยู่ไกลออกมาในระยะห่างหนึ่ง
แต่ถ้าอยู่ใกล้เกินไป บางทีเงาร่างของคุณเองอาจบดบังแสงเทียนไว้จนมิด  ทำให้รู้สึกคล้ายเปลวเทียนไม่มีแสงสว่าง หรือสว่างเพียงริบหรี่ได้

แนวทางการสอนแบบจี้เป็นคนๆของหลวงพ่อปราโมทย์นั้นเลี่ยงไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดความคาดหวังว่ายิ่งใกล้ชิดจะยิ่งมีสิทธิ์ได้ทางลัดถึงตัวถึงใจกว่าคนอยู่ไกลห่าง  แต่ข้อเท็จจริงคือเมื่อเป็นกันเองมากขึ้น ก็อาจก่อให้เกิดความสนใจ เกิดความคาดหวังในตัวท่านต่างๆนานา
ดึงให้สติเผลอไปยึดเรื่องข้างนอกมากกว่าเข้ามารู้เรื่องข้างในได้ง่ายๆ

ผมกำลังบอกคุณๆว่าศรัทธาเท่ากัน แต่ยิ่งอยู่ห่างความคาดหวังในการรับความช่วยเหลือด้วยทางลัดยิ่งน้อยความตั้งใจสดับฟังเอาไปปฏิบัติจริงยิ่งมาก

แทนที่จะสงสัยว่าทำไมหลวงพ่อรักษาศรัทธาคนกลุ่มน้อยไม่ได้  ผมอยากให้คุณฉุกใจคิดว่าทำไมเกิดเรื่องแล้วจึงไม่เกิดวิกฤตศรัทธา?  นั่นก็เพราะศรัทธาส่วนใหญ่อยู่ในระยะห่าง รับแสงแต่เพียงพอดีมีแก่ใจเจริญสติอย่างจริงจัง จึงบังเกิดผลอันสุกสว่างแก่ตัว  เหมือนอาศัยเปลวเทียนเก่าต่อเปลวเทียนใหม่  รู้อยู่ข้างในว่าธรรมะที่เกิดขึ้นกับตนเป็นของจริง สว่างจริง  ส่วนของข้างนอกคือครูบาอาจารย์หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าจะจริงหรือไม่จริง สว่างหรือมืด ก็คงไม่สำคัญอะไรกับตนอีกแล้ว

ของจริงข้างนอกถูกบิดเบือนหรือลบให้เลือนไปได้แต่ของจริงข้างใน อย่างไรก็ไม่มีทางทำให้กลายเป็นของปลอม  สรุปคือถ้าพยายามเข้าใกล้หลวงพ่อให้น้อยลง  ใส่ใจปฏิบัติจริงให้มากขึ้น อาจมีสิทธิ์ประสบผลสำเร็จมากกว่าคนใกล้ชิดก็ได้  เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ต่อให้จับสังฆาฏิ (ผ้าซ้อนทับจีวร) ของพระองค์ไม่ปล่อย  ก็ไม่ชื่อว่าอยู่ใกล้ท่านคนจะเห็นท่านจริงคือต้องเห็นธรรมเท่านั้น

คนเรามักลืมที่มาของตัวเองนั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ  เพราะแม้แต่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเองเลี้ยงดูตนมาจนเติบใหญ่  ก็มีน้อยคนที่ระลึกถึงพระคุณได้  เราจึงเห็นโลกนี้ว่ามีบางคนทิ้งพ่อแม่ได้หรือกระทั่งฆ่าพ่อแม่เสียก็ได้ เมื่อลืมตัวลืมใจ

ธรรมชาติของคนโดยมาก ไม่ต่างจากกลุ่มนกน้อยเห็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาก็แย่งกันเข้ามาเกาะ  แต่พอเห็นต้นไม้ทำท่าจะโค่นล้มก็แตกฮือเอาตัวรอดน้อยคนจะทำตัวเหมือนกลุ่มช้างใหญ่  ที่เข้ามาอาศัยร่มเงาไม้ใหญ่สบายตัวแล้วพอเห็นต้นไม้จะโค่นก็ปักหลักช่วยกันค้ำยันเอาไว้

สรุปคือธรรมดาโลกครับไม้ใหญ่ไม่ได้มีต้นเดียวจะบินไปทางไหนก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจเฉพาะกาล ไม่ว่ากัน

ถาม - เกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว จะให้ทำใจเชื่อใครได้ด้วยวิธีไหน?

ตอบ - ทั้งโลกนี้จริงหมดด้วยตัวของมันเองเป็นธรรมดาความคิดของเราเท่านั้นที่ยากจะรับความจริงตามธรรมดาโลก  ขณะเกิดเรื่องราวแตกแยก  ข้อมูลที่มาจากอคติ ล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น  ส่วนการรับฟังข้อมูลด้วยใจเป็นกลางจะได้ข้อสรุปเป็นจริงในที่สุด

คิดถึงพระพุทธเจ้าไว้ แล้วใจจะอบอุ่นเมื่อใจอบอุ่นพอ คุณจะค่อยๆรู้สึกว่าเริ่มสำรวจใจตัวเองได้  ดูให้ชัดว่าใจอยากรับฟังทางไหนให้สอดคล้องกับความอบอุ่น  ก็ขอให้เชื่อวาระแห่งใจในบัดนั้นเถิด

อย่ารู้สึกผิดถ้าคุณคิดไม่ดีหรืออยากถอยเท้าออกไป  ขณะเดียวกันอย่ารู้สึกว่าถูกต้องกับการหุนหันเข้าข้างใคร  ขอเพียงมีข้อมูลมากพอจะเกิดอะไรขึ้นกับการตัดสินใจก็คงต้องเป็นไปตามนั้นต่างคนต่างมีพื้นหลังไม่เหมือนกัน  แม้อยู่บ้านเดียวกันก็อย่านึกว่าต้องตัดสินใจเชื่อให้ตรงกัน

กรณีการขุดคุ้ยเอาอดีตไม่ดีไม่งามของใครมาแฉคุณควรถามตัวเองว่ามีใครบ้างที่ทำแต่เรื่องดีเรื่องงามมาตลอด?  ถ้าคนเราลงตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามเสียอย่าง  อย่างไรก็ต้องขุดคุ้ยอะไรสักเรื่องมาประจานจนได้

ผมเห็นพระใดดังขึ้นมา ก็มีทั้งคนรักคนชังมีคนเชียร์ มีคนโจมตีเหมือนกันหมด  นึกว่าตีใครพังแล้วเอาคนใหม่ขึ้นมาแทนจะไม่โดนหรือ?  หรือว่าเมื่อใครคนหนึ่งถูกตีพังไปแล้ว  จะมีใครที่สมบูรณ์แบบ ทั้งพฤติกรรมในอดีต  และความงามพร้อมในปัจจุบันมาแทนที่ได้หรือ?
ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเราจะตั้งใจทำให้ใครคนหนึ่งพังเพื่ออะไรเท่านั้นเอง  ผลลัพธ์ไม่ได้ช่วยให้โลกดีขึ้นกว่าเดิมได้หรอก

ขอให้คำนึงว่าใจคนเราครุ่นคิดถึงแต่มุมมองของตนความเห็นของตน ตลอดจนการตกลงร่วมกันของหมู่พวกไม่ได้ผูกโยงกับประโยชน์ของคลื่นมหาชน  ถ้าใครอ้างให้คุณได้ยินว่าคิดถึงพระศาสนา ทำเพื่อพระศาสนา  ก็ควรดูที่ผลงานของคนคนนั้นดีกว่า

กรณีหลวงพ่อปราโมทย์ ผมรอฟังการชี้ผิดเอาโทษท่านอยู่  หากพบหลักฐานว่าผิดอาบัติร้ายแรงจริงก็ควรปรับสึกเสียตามกระบวนการ  ผมอาจเข้าร่วมช่วยขอร้องให้ท่านสึกด้วยอีกคนหนึ่งแต่นี่เท่าที่ทราบล่าสุดจะมีการโจทก์เอาผิดดื้อๆโดยไม่มีหลักฐาน
หาว่าท่านผิดศีลข้อ ๓  หรือหาว่าท่านส่งเมลถึงผม บอกว่าสาวๆที่มาวัดน่าปล้ำหลายคน
ถ้าคุณไปได้ยินคำนี้ที่ไหน ก็ขอได้รับคำยืนยันจากผมว่าไม่จริงอย่าว่าแต่ท่านจะพูดเฉียดเรื่องนี้ขณะเป็นพระแม้ครั้งเมื่อรู้จักกันฉันฆราวาส  ผมก็ไม่เคยได้ยินถ้อยคำคึกคะนองทำนองนี้  จากปากท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว

จริงๆแล้วข่าวเทือกนี้ช่วยให้ผมเองสบายใจด้วยซ้ำเพราะท่านคงไม่มีความผิดอะไรเป็นแน่
จึงต้องกุเรื่องโกหกขึ้นกล่าวหากันแบบไม่มีมูลความจริง

ถาม - คุณดังตฤณมีส่วนได้ส่วนเสียกับหลวงพ่อปราโมทย์หรือเปล่า?

ตอบ - คนส่วนใหญ่รู้จักผมจากหนังสือ "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน"  ไม่ได้รู้จักเพราะผมมีความเกี่ยวข้องอะไรกับท่าน  ท่านไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือให้  ท่านไม่ได้ช่วยคิดช่วยเขียนส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วท่านก็ไม่ได้ช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยประชาสัมพันธ์เพราะฉะนั้น ในแง่ชื่อเสียงแล้ว ถ้าคิดถึง "ส่วนได้" ผมไม่น่าจะได้ผลประโยชน์อะไรจากชื่อเสียงของท่าน

ผมร่วมสร้างสวนสันติธรรมไปหนึ่งแสนทำบุญวันทอดกฐินที่สวนสันติธรรมปีละเป็นหมื่น
ถวายอุปกรณ์บำรุงธาตุขันธ์อีกเท่าใดจำไม่ได้ถนัด  แม้ตอนไปช่วยท่านสอนที่ศาลาใหญ่
นอกจากไม่มีค่าตัวให้ยังต้องควักเงินหย่อนตู้บริจาคอีก  เมื่อจะมีการจัดพิมพ์หนังสือบูชาครูบาอาจารย์ของท่าน  ก็ทุ่มเงินก้อนใหญ่ลงไปเป็นแรงเรียกกระแสสนับสนุน  แถมเมื่อสำนักพิมพ์ของตัวเองจะพิมพ์หนังสือ "ดูจิตปีแรก" เพื่อแจกเป็นธรรมทานไปตามที่ต่างๆ
ผมก็ลงขันร่วมกับญาติธรรมอื่นๆอีกด้วย ไม่ใช่เป็นผู้รวบรวมอย่างเดียวเพราะฉะนั้น ในแง่เงินทองแล้วถ้าคิดถึง "ส่วนเสีย" ผมน่าจะเสียแบบไม่เห็นทางได้อะไรคืนจากท่านเลย

ตอนแม่ผมป่วยหนัก ท่านไปเยี่ยมและแผ่เมตตาให้แม่ถึงบ้าน  ตอนแม่ผมใกล้ตาย ท่านก็ไปให้กำลังใจจนแม่ผมเข้มแข็งขึ้น  ตอนแม่ผมตายแล้ว ท่านก็ไปช่วยวันเผาส่งแม่ขึ้นฟ้า
เพราะฉะนั้น ในแง่บุญคุณ ผมต้องจดจำไม่ลืม

ถาม - คุณดังตฤณเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์หรือเปล่า?

ตอบ - คำถามทำนองนี้เคยเป็นเหตุให้คิดเขียน  "ก่อนเกิดเป็นดังตฤณ" ขึ้นมา เพื่อให้เกิดความชัดเจนแล้วก็จะได้ไม่ต้องตอบคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา  หรืออย่างน้อยก็จะได้ตอบน้อยลงกว่าเดิมบ้าง

คำถามนี้เหมือนมีอาถรรพณ์นะครับ  เพราะถามในที่สาธารณะกันหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่มักมีเหตุให้ไม่ได้ตอบเพราะมักเป็นคำถามที่รวมๆปนๆกันมาหลายข้อก่อนหมดเวลาไม่เหลือเวลาพอให้ได้ไขข้อข้องใจ  เพิ่งจะมีตอนไปบรรยายที่คณะแพทย์ศาสตร์เชียงใหม่  ถามแล้วผมถึงได้ตอบชัดถ้อยชัดคำเป็นครั้งแรกใจความสรุปของคำตอบคือ
ผมเป็นลูกศิษย์ทางความรู้ของพระพุทธเจ้า  ผมมีหลวงพ่อพุธเป็นพระอุปัชฌาย์อบรมสั่งสอนตอนอายุ ๒๐  ส่วนหลวงพ่อปราโมทย์นั้น ผมได้ความรู้จากท่านมากมายแต่โดยความสัมพันธ์คือพี่กับน้องที่รักและนับถือกันมาก  ผมเคยอยากเชิดชูสนับสนุนท่านกำลังเชิดชูสนับสนุนท่านและจะเชิดชูสนับสนุนท่านไม่เปลี่ยน  ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ฉันพี่กับน้อง
แต่เพราะไม่เห็นใครที่ทำให้ฆราวาสตื่นตัวอยากเจริญสติ  ค้นหาแก่นธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้เท่าท่านต่างหากถ้าไม่ใช่ด้วยเหตุนี้แล้ว ต่อให้สนิทกันขนาดไหนผมก็คงไม่ใส่ใจร่วมผลักดันให้ผู้คนมารู้จักท่านอย่างที่เห็น

พบหน้ากันครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อนสมัยท่านเป็นฆราวาส  ท่านหันไปบอกลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งที่นั่งข้างๆว่าผมมาคนละแบบกับท่าน ขยายความคือของท่านเริ่มต้นและดำเนินไปด้วยการเน้นดูอาการของใจ  ส่วนผมเริ่มต้นและดำเนินไปด้วยการเน้นดูสภาพทางกายแต่ไม่ว่าจะเริ่มต้นและดำเนินด้วยการเน้นกายหรือใจ  จุดสรุุปก็คือประสบการณ์เห็นกายใจไม่เที่ยงอย่างทั่วถึงเห็นว่าทั้งกายและใจนี้ไม่ใช่ตัวตนไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
ตรงตามจุดมุ่งหมายเชิงปฏิบัติอันสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา

ความรู้และประสบการณ์บนเส้นทางเจริญสติของท่านตลอดจนความสามารถในการใช้คำอธิบายสภาวะ  ท่านก็เหนือกว่าผมมากนักแม้มีประสบการณ์เหมือนๆกันแต่ผมก็ใช้คำไม่ได้เหมือนท่านเช่น เมื่อจิตกับกายแยกกัน จะรู้สึกเหมือนมีช่องว่างระหว่างกายกับจิต  ตรงนี้มีบัญญัติไว้เป็นมาตรฐานตามตำราคือ "นามรูปปริจเฉทญาณ"และตอนเกิดประสบการณ์ดังกล่าวผมก็จำแค่ "นามรูปปริจเฉทญาณ" ไว้กำกับภาวะ  คือบอกตัวเองว่าขณะนี้เกิด "นามรูปปริจเฉทญาณ"  หรือเมื่อครู่ "นามรูปปริจเฉทญาณ" ตั้งอยู่และหายไปแล้วจิตตกกลับมาสู่ภาวะสามัญ ไร้ญาณอันเป็นทางสู่ความพ้นทุกข์แล้ว

ต่อเมื่อฟังคำอธิบายสภาวะแบบง่ายๆจากท่านจึงเป็นจุดหักเหสำคัญ เมื่อพูดกับคนอื่น
ก็เริ่มรู้จักใช้คำง่ายๆ ฟังแล้วรู้เรื่องเหมือนท่านบ้าง(ซึ่งต่อมาก็พบว่าแม้ใช้คำง่ายขนาดไหน
ก็ไม่มีทางฟังรู้เรื่องอยู่ดีสำหรับคนไม่ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกัน)

สรุปคือผมจำเป็นต้องบอกว่า "ไม่ใช่ลูกศิษย์ท่าน"  เหตุผลสำคัญคือเพื่อให้ชัดเจนว่าทำไมบางคำพูดจึงเหมือนกันแต่บางคำจึงดูขัดกัน โดยเฉพาะแนววิธีเริ่มเจริญสติ  มันเป็นเรื่องของพื้นหลังและการตั้งต้นประสบการณ์ทางธรรม  ไม่ใช่เรื่องของการไม่ลงรอยเดียวกัน
ท่านเคยบอกกับผมว่าคงต้องแยกกันทำงานไม่เช่นนั้นคนจะสับสนได้

แต่หลายปีต่อมามีคนกังขา ผมพูดอย่าง ท่านพูดอีกอย่าง  แล้วนิสัยคนเราก็ชอบเข้าทางโน้นทีทางนี้ทีเพื่อย้ำความแน่ใจ  ผมเห็นเป็นวี่แววความขัดแย้งระยะยาว  จึงไปกราบและช่วยท่านสอนที่สวนสันติธรรมให้คนเห็นเสีย  เป็นอันระงับความสงสัยเสียได้ว่าใครยอมรับนับถือใคร

ถาม - หลวงพ่อปราโมทย์สำคัญอย่างไร  คุณดังตฤณถึงยกท่านอยู่คนเดียว?

ตอบ - ผมไม่ได้ยกท่านคนเดียวผมพูดเสมอว่าคนที่มีบุญคุณให้ความรู้กับผมมีใครบ้างแล้วก็ยกย่องเสมอว่าปราชญ์ทางพุทธท่านใดน่ากราบไหว้บ้าง  เพียงแต่อาจจะกระจัดกระจาย คนส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยเห็น เห็นแต่ที่ผมยกท่านเป็นคอลัมน์ยืนโรงคือ "ธรรมะจากพระผู้รู้"
ซึ่งมีมาในนิตยสารธรรมะใกล้ตัวโดยตลอด

ท่านสำคัญแค่ไหน ผมดูจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับพุทธศาสนา  พุทธจะพังเพราะฆราวาสไม่รู้ ไม่ใช่เพราะพระไม่ดี  พูดอย่างนี้อาศัยเหตุอะไร?
เหตุคือคนเราอยู่ๆเกิดมาเป็นพระเลยไม่ได้  ต้องเป็นฆราวาสก่อน  ตอนเป็นฆราวาสจะรู้หรือเข้าใจพุทธอย่างไร  พอเป็นพระก็มีแนวโน้มจะพัฒนาต่อยอดจากตรงนั้น  ถ้าเป็นฆราวาสที่รู้ไม่ดี รู้ไม่พอ หรือรู้ไม่ถูก  พอเป็นพระก็มีสิทธิ์หลงกับอะไรที่ไม่ถูกและไม่ดีพอได้

สถานการณ์ของพุทธในไทยทั้งอดีตและปัจจุบันเป็นอย่างไร?  พระส่วนใหญ่ท่องจำแต่บทสวดงานศพ  มีการสอนในชั้นเรียนนักธรรมว่ามรรคผล ฌาน ญาณ สมัยนี้ไม่มีแล้ว  แถมมีลูกชาวบ้านที่นุ่งเหลืองห่มเหลืองโดยไม่ได้พกความละอายเข้ากุฏิ  จึงใจกล้าหน้าทนเอาสื่อลามกเข้าไปสะสมในกุฏิกันมากขึ้นทุกทีฆราวาสส่วนใหญ่เลยมีโอกาสกราบไหว้ก็เพียงพระที่ไม่ทำตามกติกา  ที่ตกลงไว้กับพระพุทธเจ้าในวันบวช  ที่ว่าจะบวชเข้ามาเพื่อจุดประสงค์สำคัญ  คือบำเพ็ญเพียรเพื่อเอามรรคผลนิพพานกัน

ส่วนพระที่ปฏิบัติจริง ก็มักอยู่ในที่ที่ห่างจากฆราวาส  หรือไม่ก็สอนฆราวาสเฉพาะในเรื่องบุญกุศลและศีลธรรมจรรยาซึ่งสมัยนี้ชาวบ้านมักเบือนหน้าหนีมากกว่าหันหน้าฟัง  ช่องว่างระว่างฆราวาสกับพระจึงถ่างกว้างมาตลอด  แล้วฆราวาสที่ไหนจะเอากำลังใจมาเดินจงกรม นั่งสมาธิ  หรือเจริญสติเอามรรคผลนิพพานตามรอยบาทพระศาสดาได้เล่า?  อย่างมากก็อาศัยพุทธศาสนาเป็นบันไดไปสวรรค์กันเท่านั้น

จุดสรุปคือลงเอยว่าฆราวาสส่วนใหญ่มองไม่เห็นว่าแก่นพระศาสนาอยู่ตรงไหน  อย่าคิดว่าเรื่องเล็กนะครับ  ชาวพุทธที่ไม่รู้จักศาสนาของตัวเองยิ่งมีมาก  ก็ยิ่งเหมือนพุทธศาสนามีศักดิ์ศรีเป็นแค่ขอนไม้กันจมไม่ถึงขั้นเรือใหญ่ที่พร้อมพาไปถึงฝั่งแห่งความปลอดภัยตามที่เป็น

ฆราวาสมีความต้องการแค่ให้พระสวดให้ฟังหรือเทศน์เรื่องศีลธรรมง่ายๆให้รู้สึกว่าได้บุญ
พระส่วนใหญ่ก็จัดให้ตามนั้น เน้นท่องสวดเน้นเทศนาเฉพาะศีลธรรมระดับต้นๆ ฟังง่ายๆ
หรือใส่ความเห็นส่วนตัว หยอดมุขให้คนฟังติดใจ  คนเขาถึงชอบพูดกันว่าศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดีแล้วในความจดจำสืบๆมาก็คือทุกศาสนาเหมือนกันหมดคือทำให้เป็นคนดี มีแค่หยิบมือที่เข้าใจว่าพุทธศาสนาบอกทางให้พ้นจากความเป็นคนดีที่สีหน้าเศร้าสร้อยได้ด้วย

เมื่อผลงานของหลวงพ่อปราโมทย์เป็นที่ประจักษ์ว่าชักพาคนอยู่บ้านมาเป็นคนเข้าวัดได้มหาศาล  ผมจึงไม่ลังเลที่จะสนับสนุนท่านขณะเดียวกันก็ไม่ลืมสนับสนุนท่านอื่น  แล้วก็ไม่ได้ประกาศว่าจะเจริญสติได้ต้องมาลงให้หลวงพ่อปราโมทย์เท่านั้น

การเขียนทั้งหมดนี้  ใจไม่ได้เล็งอยู่ที่การช่วยกู้ชื่อเสียงให้หลวงพ่อปราโมทย์แต่ในเมื่อชื่อเสียงของพระศาสนาผูกอยู่กับกรณีของท่าน  เนื่องจากรวมคนเข้าไว้ด้วยกันหลายฝ่าย
ฝ่ายรู้เรื่อง ฝ่ายไม่รู้เรื่อง ฝ่ายสมัครใจเดาโดยไม่รับฟังใดๆ ฯลฯ  ถ้าพอจะช่วยให้ชาวพุทธมีใจเป็นกุศลขึ้น สบายใจขึ้น หนักแน่นขึ้น  หลังจากเกิดกรณีหลวงพ่อปราโมทย์
ผมก็ถือว่าการลงแรงอธิบายครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว

จุดยืนของนิตยสารธรรมะใกล้ตัว  มีคอลัมน์ "ธรรมะจากพระผู้รู้" นำหน้า
ผมได้กราบเรียนท่านโดยตรงแล้วว่าจะให้คงไว้ต่อไปไม่ถอดออกตามคำขอของหลายฝ่าย
มิฉะนั้นเท่ากับเป็นการเสริมให้ผู้คนนึกว่าผมถอนตัวอีกคน  จึงขอประกาศเป็นทางการ
ว่าคอลัมน์ "ธรรมะจากพระผู้รู้" ในนิตยสารธรรมะใกล้ตัวต่อไปนี้จะอยู่ในการตัดสินใจและรับผิดชอบของผมเพียงผู้เดียวว่าจะให้อยู่หรือไม่อยู่ต่อ  ผมจะไม่ยกการตัดสินใจใดๆให้ใครแม้เป็นที่ประชุมทีมงาน  ถ้ามีการข่มขู่กันจะได้ข่มขู่ถูกตัว อย่าไปข่มขู่คนอื่นเลยนะครับ

ดังตฤณ
มกราคม ๕๓