จดหมายจากผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม ฉบับสุดท้าย
หัวข้อ: กราบไหว้พระคุณผู้ชี้ทาง ความเป็นจริงคือการจากลา
นี่คือจดหมายฉบับสุดท้ายของฉัน เมื่อเรื่องราวปรากฏมามากขนาดนี้ ฉันแน่ใจแล้วว่า ฉันกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นบุญกุศลมหาศาล จดหมายฉบับนี้ อาจไม่ถึงอกถึงใจเหมือนสองฉบับแรก เพราะนี่เป็นฉบับสุดท้ายแล้ว แต่ก็เป็นไปตามครรลองของโลก เมื่อถึงเวลาต้องลาจากกัน ก็ขอไปอย่างเงียบๆ ไม่ต้องรู้สึกหวือหวาหรูหรามากมายแต่อย่างใด เพราะทุกอย่างเขียนออกมาจากใจของฉันทั้งสิ้น
จดหมายฉบับนี้ อาจมีเนื้อความคล้ายคลึงกับฉบับแรกอยู่มาก แต่เป็นการเสนอในมุมมองที่เพิ่มเติมเข้ามาถึงทางเดินชีวิตของฉันมากขึ้น อย่างไรเสียก็ขอให้อ่านอย่างเป็นกลาง อย่าเพิ่งได้ก่นด่าบริภาษอะไรฉัน ณ ตอนนี้เลย
ฉัน... คนที่ไม่เคยสนใจพระพุทธศาสนาเลย บุญกุศลที่ฉันได้กระทำไว้ ทำให้วันหนึ่งฉันไปอ่านเจอบันทึก(ไม่)ลับจากอุบาสกนิรนาม เข้า ฉันอ่านครั้งแรกฉันก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด พร้อมกับท้อใจไปด้วยว่า เราจะไปหาอุบาสกนิรนามคนนี้ได้อย่างไรหนอ ในเมื่อเขานิรนามขนาดนั้น
วันหนึ่ง คนรู้จักของฉันได้ส่งซีดีคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช มาให้ ฉันลองเปิดฟังดู คิดอยู่ในใจ พระองค์นี้ เทศน์ได้ถูกอกถูกใจเราจริงๆ ฟังแล้ว ธรรมะไม่ใช่ของน่าเบื่อ เขาได้บอกกับฉันว่า อุบาสกนิรนาม ก็คือ หลวงพ่อปราโมทย์นั่นเอง
วันหนึ่ง ฉันได้มีโอกาสเดินทางไปกราบท่านครั้งแรก ท่านก็ได้เมตตาสั่งสอนกรรมฐานดูจิตให้กับฉัน ทำให้ฉันปักใจว่า “ท่านองค์นี้ จะเป็นครูบาอาจารย์ของเราไปจนวันตาย”
ฉันไปเรียนกับท่านไม่กี่ครั้ง จิตฉันก็ “ตื่น” ขึ้นมา พร้อมๆกับเข้าถึง “วิปัสสนาญาณขั้นสูง(มากกว่าอุทยัพภยญาณ)” ภายในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งตอนนั้นฉันไม่ทราบหรอกว่าคืออะไร แต่หลวงพ่อปราโมทย์บอกฉันเช่นนั้น ฉันก็เชื่อตามท่าน หลังจากนั้นอีกไม่นาน จิตของฉันเข้าถึง “วิปัสสนาญาณ” ขั้นนั้น อีกครั้งหลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือน
ชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมเลวทรามต่างๆที่ฉันเคยกระทำไว้ ค่อยๆลดลง การปฏิบัติดูจิตนี้เห็นผลแล้ว ฉันเป็นคนดีขึ้น ชีวิตจิตใจเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ธรรมะของพระพุทธเจ้าง่ายขนาดนี้เชียวหรือ ฉันไปอยู่ที่ไหนมากันทำไมจึงเพิ่งมาเจอครูบาอาจารย์เมื่ออายุอานามมากแล้ว
ในตลอดช่วงระยะเวลาที่ฉันศึกษากรรมฐานที่สวนสันติธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านมักจะเปรยให้ฉันฟังบ่อยๆ ท่านเอ่ยถึงพระเถระรูปหนึ่งเสมอ ว่า เป็นผู้มีพระคุณกับท่านอย่างเหลือล้น เป็นผู้ที่ชักชวนให้ท่านก้าวเข้าสู่เพศบรรพชิต เป็นผู้ดำริให้มีการสร้างสวนสันติธรรม เป็นศิษย์พี่ที่คอยจ้ำจี้จำไชท่านให้เร่งปฏิบัติ ท่านเองยังเคยเดินจงกรมอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะต้องการเดินตามปฏิปทาของพระเถระรูปนี้ ท่านยังเปรยบ่อยๆว่า พระเถระรูปนี้ เหมือนคอยจี้หลังท่านให้เดินไปเร็วๆ พร้อมกับย้ำมาว่า “จบหรือยัง จบหรือยัง” เพื่อที่จะได้มาช่วยกันสอน ท่านยังเคยเปรยอีกว่า พระเถระรูปนี้ ดุมากเลย คอยจี้ท่านตลอด แล้วยังพูดอยู่บ่อยๆว่า ถ้าพระรูปไหนท่านเอาไม่อยู่นะ ส่งมาให้ผม เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ชาวสวนสันติธรรมและชาวลานธรรมคงรู้จักกันดีว่า พระเถระที่หลวงพ่อปราโมทย์เอ่ยถึงในทางสนิทสนมกันอย่างมากนี้ ก็คือ หลวงพ่อมนตรี อาภัสสโร ศิษย์อาวุโสของหลวงปู่ดูลย์
เมื่อโอกาสมาถึง ฉันได้เดินทางไปกราบหลวงพ่อมนตรี ที่สวนพุทธธรรม ป่าละอู หัวหิน และได้มีโอกาสไปกราบคุณแม่ชีอุไร ด้วย ท่านทั้งสอง เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่สิ่งที่ฉันไม่คุ้นเคยก็คือ ท่านไม่สอนด้วยการบอกฉันมาตรงๆว่า “ที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ ดีหรือยัง ถูกหรือผิด” แต่ท่านทั้งสอง จะบอกวิธี และให้ฉันไปทำต่อเอาเอง
ฉันได้เดินทางไปกราบหลวงพ่อมนตรีอยู่เนืองๆ และได้เริ่มมีความเข้มงวดในการปฏิบัติในรูปแบบมากขึ้น นั่นทำให้การปฏิบัติของฉัน ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ฉันจะไปกราบหลวงพ่อปราโมทย์กี่ครั้ง ท่านมักจะเอ่ยชมฉันเสมอ แม้จะมีหลายครั้งเช่นกันที่ฉันโดนท่านดุเอาเสียยกใหญ่ แต่นั่นก็ทำให้ฉันมุ่งมั่นในการปฏิบัติมากขึ้น อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาที่ฉันปฏิบัติธรรมแนวดูจิตมา ฉันพบว่า หลายครั้ง ที่เหมือนกับปฏิบัติไม่เป็นเลย แต่ฉันก็นึกถึงข้อธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์เสมอ ว่า จิตเป็นอนัตตา เราควบคุมมันไม่ได้ ให้ดูมันไป
ฉันทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ เพื่อพระพุทธศาสนา งดเว้นสิ่งบันเทิงทุกชนิดที่ต้องใช้เงินซื้อ เงินเดือนฉันมีไม่มากหรอก เป็นแค่มนุษย์เงินเดือนจนๆธรรมดาคนหนึ่ง ฉันหยอดเงินใส่กล่องหลวงพ่อปราโมทย์ไปหลายครั้ง ใส่กล่องพระรูปอื่นๆในสวนสันติธรรมไปหลายครั้ง แต่กล่องที่ฉันใส่บ่อยที่สุดคือ กล่องธรรมทานสำหรับพิมพ์หนังสือ
ฉันได้บริจาคอย่างไม่ได้ดูกำลังทรัพย์ของตนเองในการพิมพ์หนังสือของหลวงพ่อปราโมทย์และหนังสือของนักเขียนชายชื่อดังระดับเบสท์เซลเลอร์ไปหลายเล่ม เพราะเชื่อว่า ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง ศรัทธาที่ฉันได้ทำลงไปนี้ อย่างน้อยคงจะเป็นปัจจัยหนุนให้ฉันได้ตกกระแสนิพพานสักวัน
ส่วนหนังสือของครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ ฉันขอบอกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฉัน ไปอ่านหนังสือของครูบาอาจารย์องค์อื่นๆสายพระป่าไม่ได้เลย แม้จะเป็นครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อปราโมทย์ท่านยกย่องว่าเป็นครูบาอาจารย์ของท่านก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น หนังสือของหลวงปู่เทสก์ ฉันเปิดอ่านไปไม่กี่หน้า เจอคำว่า “เพ่ง” “บังคับ” “กำหนด” ฉันก็ปิดแล้ว พร้อมกับปลอบใจตัวเองว่า เราคงไม่เหมาะกับทางนี้ ฉันก็เลยไม่เคยที่แม้จะบริจาคเงินเพื่อการพิมพ์หนังสือเหล่านั้น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฉันโดนกรอกหูมาตลอดว่า ฉันไม่มีวาสนา ฉันไม่ได้ฝึกฝนสมถะมา แถมยังเป็นคนเมืองคิดมากทั้งวัน ทำสมาธิไป ยังไงก็เอาไม่ลง แม้กระทั่งฉันลองไปทำสมาธิ หลวงพ่อปราโมทย์ก็มักจะบอกกับฉันเสมอว่า ฉันทำสมาธิแล้วติดเพ่ง ติดซึม ติดนิ่ง ฉันจึงไม่เคยถูกสอนให้ทำสมาธิเลย แต่ฉันกลับได้รับคำชมจากท่านว่าภาวนาดีมาตลอด
จนมาวันหนึ่ง ฉันได้มีโอกาสถามคำถามนี้ กับท่านอาจารย์หลวงตาพระมหาบัวเข้าด้วยตนเอง โดยกราบเรียนถามท่านผ่านทางผู้กำกับว่า ฉันนั่งบริกรรมพุทโธ แล้วจิตของฉันติดนิ่งติดซึม จะแก้ไขอย่างไร
เสียงของหลวงตาฯเบามาก ถ้าฉันจับใจความไม่ผิด หลวงตาฯท่านตอบมาว่า “ไม่รู้จะว่ายังไง” หลังจากนั้น เสียงของท่านเบามากจนฉันจับใจความไม่ได้ แต่คล้ายๆกับว่า คำถามนี้ไม่สำคัญ เพราะทั้งท่านและผู้อื่นที่แวดล้อมรอบตัวท่าน ต่างก็หัวเราะ และเนื่องจากฉันไม่ได้แจ้งชื่อให้ท่านทราบ ท่านก็พูดมาว่า “ถ้ารู้ชื่อว่าใครถามนะ โลกแตก” แล้วหลังจากนั้น หลวงตาจึงเริ่มเทศน์ตามปกติของแต่ละวัน โดยไม่ได้ตอบคำถามอะไรของฉันอีกเลย (หมายเหตุ ตรงส่วนนี้ ไม่สามารถค้นเจอในส่วนธรรมเทศนาของหลวงตาฯในเว็บได้ แต่สามารถหาได้ในไฟล์เสียงในเว็บของหลวงตาฯ ฮะๆ แต่ฉันไม่บอกหรอกว่าวันไหน)
ในตอนนั้น ฉันก็นึกตัดพ้อท่านอยู่เล็กน้อยว่า ทำไมหลวงตาฯไม่ตอบคำถามของฉัน แต่เมื่อมาคิดๆดูตอนนี้แล้ว ทำให้ฉันคิดได้ว่า ทำไมพระป่าท่านถึงให้บริกรรมพุทโธอย่างเดียว ถ้าหากมันมีอาการติดนิ่งติดซึมออกมาแล้วเป็นปัญหาใหญ่ หลวงตาฯท่านจะแล้งน้ำใจขนาดไม่ตอบให้เชียวงั้นหรือ? นั่นไม่ใช่เพราะว่า การติดนิ่งซึมอะไรนั่น เป็นสิ่งที่ฉันถูกทำให้เชื่อไปเองมาตลอดงั้นหรอกหรือ
ทำไมฉันถึงไม่ฉุกใจตั้งแต่ตอนนั้นกันนะ?!
จนกระทั่งกลางปี 2552 เริ่มมีสงครามปะทุเกิดขึ้นในห้องศาสนา เว็บพันทิพ นำโดยล็อกอินเกิดเป็นคนช่างยากแท้และล็อกอิน Satoranai ซึ่งนำเอาคำสอนของ หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต ลูกศิษย์หลวงตาฯที่ท่านให้คำรับรองไว้มาชี้แจงว่า หลวงพ่อปราโมทย์สอนผิด (โปรดดูคำรับรองได้จากhttp://www.antiwimutti.net/Antiwimutti/rwm_thesna_hlwng_phx_sngb.html)
ในตอนแรก ฉันก็เข้าใจว่า เรื่องนี้มันต้องเกิดจาก คนจำเอาคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์บางส่วน ไปบอกกับหลวงพ่อสงบแน่ๆเลย มันถึงเป็นเรื่อง แถมลักษณะการโพสต์ ดูแล้วเหมือนมาหาเรื่องหลวงพ่อปราโมทย์เสียมากกว่า
เมื่อฉันได้ไปฟังหลวงพ่อสงบ เทศน์เรื่อง จิตส่งออก ในวันที่ 8 ส.ค. 2552 (http://www.sa-ngob.com/media/audio/y52/08/a08-08-52am.mp3) ฉันก็แปลกใจ ลักษณะการเทศน์ขนาดนี้ ไม่ใช่การเข้าใจผิดแน่แล้ว หลวงพ่อสงบ หยิบคำพูดจากหนังสือ แก่นธรรมคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ที่เขียนโดยหลวงพ่อปราโมทย์ มาฉะกันประโยคต่อประโยค ผู้ที่เป็นพระ ไม่น่าจะเทศน์ด่าหลวงพ่อปราโมทย์ขนาดนี้ ถ้าหากว่าท่านไม่รู้จริง ทำให้ฉันเริ่มสงสัยว่า มันจะเป็นไปได้หรือที่ท่านฟังคำพูดหรือจับเอาเพียงบางประโยคแล้วมาจวกเละปานนั้น แต่หลังจากฉันได้รับฟังจากที่ท่านเทศน์ว่า “เราฟังซีดี และอ่านหนังสือทุกเล่มที่ลูกศิษย์เราเค้าเอามาให้” ฉันแน่ใจแล้วว่า ไม่ใช่การฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมาด่าแน่นอน
จนกระทั่งประกาศ “ตัดความสัมพันธ์” จากสวนพุทธธรรม ป่าละอู ออกมา ในตอนแรก ฉันก็ไม่ได้เอะใจอะไรหรอก เพราะนักเขียนชายชื่อดังระดับเบสท์เซลเลอร์ ที่รักของฉัน ได้ออกมาชี้แจงว่า เป็นเรื่องของการไปถามคำถามแบบที่ไม่ถูกระเบียบกติกาของทางสวนพุทธธรรม ฉันก็เข้าใจไปตามนั้น มาจนกระทั่งวันหนึ่ง ที่ฉันมีโอกาสได้เข้าร่วมพิธีสำคัญทางพุทธศาสนา ฉันได้ซื้อของใช้มากมายเพื่อไปถวายเป็นสังฆทาน และได้ตั้งจิตอธิษฐานในพิธีนั้นว่า
“ขอให้กุศลผลบุญที่ฉันได้กระทำในอดีตและในวันนี้ จงเป็นปัจจัยทำให้ฉันไม่ย่อท้อต่อการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะต้องเกิดตายอีกสักกี่รอบก็ตาม”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบาปหรือบุญ วันรุ่งขึ้น ฉันเดินเข้าไปในร้านเซเว่นฯ หยิบหนังสือเข็มทิศชีวิตเล่ม 3 ขึ้นมาดู เพราะอยากรู้ว่า ด้านหลังมีแนะนำหนังสือหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ไหนบ้าง ฉันก็พบว่า มีการแนะนำเว็บไซต์ http://www.watpa.com ไว้ด้วย
เว็บไซต์นี้ ฉันเคยเข้าไปอ่านมาแล้ว เว็บไซต์ที่โจมตีหลวงพ่อปราโมทย์อย่างหนัก ด้วยการใช้คำพูดแดกดัน จนไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นการกระทำของชาวพุทธ ฉันคิดออกทันทีเลยว่า ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ต้องอยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายหลวงพ่อปราโมทย์แน่นอน ฉันจึงต่อโทรศัพท์ถึงคนรู้จักของฉัน คนที่ส่งซีดีหลวงพ่อปราโมทย์มาให้ ฉันโทรหาเขาตอนต้นเดือนธันวาคม เขาได้ยั้งๆฉันไว้ พร้อมกับบอกว่า มันอาจไม่เป็นอย่างที่ฉันคิด
ฉันก็แปลกใจ มันเห็นๆกันอยู่ คนเขียนหนังสือเล่มนี้ตั้งใจทำลายหลวงพ่อปราโมทย์ชัดๆ กระทั่งข้อเขียนบางเรื่อง เช่น เจ้าพ่อขายตรง หน้า 65 ในเล่มที่สามนี้ ก็เป็นการเอ่ยถึงท่านเช่นเดียวกัน ทำไมเพื่อนฉันถึงยั้งๆฉันไว้
เพื่อนของฉันได้บอกว่า เขาเกิดความเอะใจขึ้นมา เพราะว่า คำชี้แจงของนักเขียนชายชื่อดังระดับเบสท์เซลเลอร์นั้น ดูแล้ว ไม่สอดคล้อง ไม่สมเหตุสมผล ที่สวนพุทธธรรม จะต้องออกประกาศมาถึงขนาดนั้น จึงได้ไปสอบถามเรื่องนี้โดยตรงจากหลวงพ่อมนตรี พระเถระผู้ที่ฉันเชื่อว่า เป็นศิษย์พี่ผู้สนิทสนมกับหลวงพ่อปราโมทย์มาโดยตลอด ความจริงที่ออกมาจากปากของหลวงพ่อมนตรีเอง แต่ผ่านทางปากคนรู้จัก ทำให้ฉันยังไม่แน่ใจนัก ฉันยังคิดเข้าข้างหลวงพ่อปราโมทย์ด้วยซ้ำไปว่า “หรือว่า หลวงพ่อมนตรี เห็นเรายึดติดกับหลวงพ่อปราโมทย์มากเกินไป ท่านเลยปล่อยมุข เล่นงานเข้าให้ จะได้รู้ว่า จิตส่งออก เป็นยังไง เพราะไปยึดถือยึดมั่นในครูบาอาจารย์มากเกินไปใช่หรือไม่”
แต่ความจริงที่ฉันได้ยินมา ฉันถึงกับช็อก ฉันจึงได้สอบถามกับบุคคลคนหนึ่งที่สวนพุทธธรรมด้วยตัวฉันเอง เพื่อที่จะได้แน่ใจว่า ไม่ใช่การสื่อความผิด ความจริงที่ฉันได้รับมา ก็คือ สิ่งเดียวกัน กับที่คนรู้จักของฉันบอกมานั่นเอง
ที่สำคัญ มีการบอกฉันว่า หลวงพ่อมนตรี รับรองความถูกต้องในกระทู้ที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อปราโมทย์ในเว็บไซต์วัดป่า.คอมถึง 97%
และ (กระทู้ http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=2600)
ฉันเกิดความสับสน เคว้งคว้าง ที่เราปฏิบัติกันมาตลอด มันเป็นแค่เรื่องอุปโลกน์ขึ้นมาเท่านั้นเองหรือ?
เรื่องราวหลังจากตรงนี้ ฉันได้เขียนไว้อย่างละเอียดในจดหมายฉบับที่หนึ่งแล้ว ผู้สนใจก็ไปหาอ่านเอาเองด้วยเถิด
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ ฉันได้ทราบความจริงทุกอย่างแล้ว ฉันได้ลงมือพิสูจน์คำสอนของครูบาอาจารย์พระป่าด้วยตัวฉันเองด้วยการบริกรรมพุทโธทั้งวัน เพียงแค่ไม่ถึงเดือน จิตฉันก็เริ่มรวมเล็กน้อยเป็นครั้งแรก วูบเหมือนคนตกจากที่สูงแล้วก็เกิดความสว่างประภัสสรต่อหน้าต่อตา แม้ตรงนี้จะเป็นเพียงอาการของสมถะ แต่แค่นี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันประจักษ์แล้ว ตามที่หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านให้กำลังใจไว้ว่า “ทุกคนทำได้ ถ้าทำจริง” นั่นแสดงให้เห็นว่า คำกล่าวที่ว่า คนเมือง ทำสมาธิไม่ได้ ไม่เป็นความจริง
ความจริงที่ฉันได้รับรู้มา ทำให้ฉันลังเลใจอยู่พักหนึ่ง ที่จะเขียนจดหมายฉบับแรกๆออกมา เพราะจะเป็นการ “อกตัญญู” ต่อหลวงพ่อปราโมทย์ ผู้ชี้ทางธรรม ให้กับฉัน
แต่เมื่อครูบาอาจารย์ท่านได้เมตตาบอกฉันมาว่า เราไม่ได้เขียนเพื่อทำลาย แต่เราเขียนเพื่อชี้แจงความจริงจากใจของเรา หลังจากนั้น คนเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร ก็เป็นกรรมของเขา ทำให้ฉันตัดสินใจเขียนจดหมายออกมา เพื่อที่จะเตือนสติชาวพุทธอีกหลายๆคนที่ยังไม่ทราบความจริงตรงนี้
ถ้าหากว่า สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ฉันก็คงจะไม่ออกมาชี้แจงความจริง แต่หลายสิ่งหลายอย่าง มาจนกระทั่งการออกประกาศที่เป็นเท็จหลายข้อ ทำให้ฉันแน่ใจว่า ฉันไม่ผิดที่จะทำ
ไม่ว่าจะเป็นการเอ่ยอ้างว่า หลวงพ่อปราโมทย์พบหลวงพ่อมนตรีเดินจงกรมอยู่ใต้ต้นไม้ แต่สิ่งที่ฉันได้ยินจากคำบอกเล่าของคนๆหนึ่งทางสวนพุทธธรรมที่หลวงพ่อมนตรีมอบหมายให้เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟัง กลับบอกว่า เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะเห็นหลวงพ่อมนตรี เพราะว่า หลวงพ่อมนตรีท่านมีสถานที่เดินจงกรมเฉพาะของท่าน
ไม่ว่าจะเป็นการเอ่ยอ้างว่า หลวงพ่อปราโมทย์บรรลุอริยมรรคมาโดยตลอด ทั้งๆที่เรื่องนี้ ทราบกันอยู่แก่ใจของชาวสวนสันติธรรมดี แต่ประกาศกลับบอกมาว่า หลวงพ่อปราโมทย์ไม่เคยทำเช่นนั้น เรื่องนี้ ฉันได้รวบรวมหลักฐานมากเพียงพอแล้ว ตัวท่านเองย่อมรู้อยู่แก่ใจในข้อเขียนและซีดีต่างๆที่ได้ออกไปเป็นจำนวนมากแล้ว หลายคนรวมถึงฉันด้วยต่างก็มีหลักฐานเหล่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นการเพียรพยายามบอกความสัมพันธ์อันดีกับหลวงพ่อมนตรี แต่หลวงพ่อมนตรีกลับบอกว่า “ฝากไปบอกท่านปราโมทย์ด้วยนะ ว่า อาตมาไม่ได้สนิทสนมอะไรกับท่านอย่างนั้น” มาโดยตลอดตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2545
ไม่ว่าจะเป็นการที่หลวงพ่อปราโมทย์เคยบอกกับคนอื่นๆว่า หลวงพ่อมนตรี เข้ากับใครไม่ได้ จึงต้องไปอยู่วัดป่าสาละวัน (ฉันได้ยินประโยคนี้จากปากของหลวงพ่อมนตรีโดยตรง) แต่สิ่งที่หลวงพ่อมนตรีเคยชี้แจงไว้ในหนังสือ คิดถึงปู่ กลับเป็นตรงกันข้าม กล่าวคือ หลวงปู่ดูลย์ ไม่ต้องการให้หลวงพ่อมนตรียึดติดในตัวท่าน จนถึงขนาดหลวงพ่อมนตรีต้องออก “ทัวร์อาราม” ถึงร่วมสี่สิบวัด กว่าจะเจอวัดที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่าเหมาะสม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้ร้ายสตรีท่านหนึ่ง ซึ่งท่านพูดทั้งออกไมค์อย่างชัดเจน จะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนั้นฉันเชื่อสนิทเพราะเชื่อว่าพระสุปฏิปันโนไม่โกหก แต่พระก็ไม่น่าจะนำเรื่องไม่ดีของคนอื่นมาพูด เพราะจะเป็นการนินทากัน แต่ฉันก็คิดว่า ถ้าท่านพูดความจริง คงไม่เป็นไร พระอรหันต์ ทำอะไรก็ไม่ผิด ? (หลักฐานเรื่องนี้ฉันมีพร้อม ท่านไม่ได้พูดแค่วันเดียว แต่พูดติดๆกันหลายวัน) แต่ถ้าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงล่ะ
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเรื่องคุณไสยขึ้นมา จากที่จดหมายฉบับก่อนๆของฉันพูดเอาไว้แล้ว หลักฐานต่างๆมีมากพอที่จะยืนยันได้ว่า มีการลือกันเรื่องคุณไสยจริงๆ
และเรื่องที่ร้ายแรงที่สุดที่ฉันเห็นก็คือ การที่หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านปล่อยให้มีข่าวเสียหายเรื่องคุณไสยเกิดขึ้นกับทางสวนพุทธธรรม เปรียบเสมือนเคยใช้ชื่อหลวงพ่อมนตรีเป็นเขื่อนกำบังตนเองจากพระป่ารูปอื่นๆมาตลอด แต่เมื่อถึงวันที่ท่านคิดว่า ตัวท่านเองมีความมั่นคงแล้ว ท่านกลับทำลายเขื่อนนั้นทิ้งเสีย
คำพูดให้ร้ายที่ทำให้ฉันเกลียดผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยไต่ถามความจริงจากเขา คณะกรรมการที่ลาออกและสาธุชนที่ไปสวนพุทธธรรม ต่างถูกให้ร้ายว่าถูกคุณไสย หากไปคุยด้วยแล้วจะติดคุณไสยไม่ว่าจะเจอกันต่อหน้า คุยกันทางโทรศัพท์ คุยกันทาง MSN สนทนาทางเว็บบอร์ด รวมถึงการเตือนว่าอย่าไปสวนพุทธธรรม อย่าไปสำนักพิมพ์ DMG อย่าไปบ้านอารีย์ (ดูคำเตือนได้จากhttp://www.antiwimutti.net/Antiwimutti/forward_mail_bxng.html )ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ฉันอธิบายไว้แล้วในจดหมายฉบับที่สองว่า เป็นการหลอกคนอื่น เพื่อปิดหูปิดตาเหล่าลูกศิษย์จากผู้คนที่ทราบความจริง ด้วยคุณไสยในใจของพวกลูกศิษย์เหล่านั้นนั่นเอง ที่พร้อมจะ “หลับหูหลับตา”ยอมเชื่อทุกอย่างจากคำพูดของผู้เป็นครูบาอาจารย์
พูดถึงทางด้านลูกศิษย์ท่านกันบ้าง แม้ทุกคนจะมีสติสัมปชัญญะกันอยู่ แต่ก็เป็นที่น่าสลดใจ ว่า ทุกคนพร้อมที่จะเชื่อคำพูดของหลวงพ่อปราโมทย์และนักเขียนชายชื่อดังระดับเบสท์เซลเลอร์กันหมด เรื่องนี้ ฉันได้เขียนตรรกะที่หักล้างความเชื่อตรงนี้ไว้แล้วในจดหมายฉบับที่สองของฉัน ทำให้คนอ่านหลายๆคนเข้าใจทันทีว่า พฤติกรรมเหล่านี้ เป็นพฤติกรรมของผู้เป็นอริยะบุคคลหรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณไสย ถึงขนาดห้ามอ่านเว็บที่มีการทะเลาะเบาะแว้ง หรือมีชื่อ “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” ติดอยู่ เพราะว่าคุณไสยสามารถกระจายต่อกันได้ผ่านอินเตอร์เน็ตเหมือนไวรัสคอมพิวเตอร์
ถึงขนาดสอนให้ทำน้ำมนต์กินกัน หรือถึงขนาดหวาดระแวงกันว่าคุยกับคนโน้นคนนี้ไม่ได้เพราะจะติดคุณไสย มีการปล่อยพลังศาสตร์มืด กระจายให้กับคนหลายร้อยคนพร้อมๆกัน หรือแม้กระทั่ง องค์หลวงพ่อมนตรี ก็ยังถูกคุณไสยปิดบังความจริงได้ เพราะธาตุขันธ์ของท่านยังเหมือนมนุษย์ธรรมดาอยู่
โอ้ ... ผู้ที่มีพลังสามารถปล่อยคุณไสยได้ขนาดนี้ ต้องมีพลังจิตขั้นสุดยอดเลยทีเดียว ถึงสามารถปล่อยคุณไสยใส่พระเถระผู้ที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชหลวงพ่อปราโมทย์ได้ แถมยังปล่อยพลังกระจายให้คนได้เป็นร้อยๆ
น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ดูท่า นักเขียนชายชื่อดังระดับเบสท์เซลเลอร์ของฉัน จะมีบารมีสูงส่งมากกว่าหลวงพ่อมนตรีหรือเปล่านะ ถึงไม่โดนคุณไสย ท่าทางจะเป็นบารมีจากอดีตชาติหรือเปล่า จึงไม่กลัวคุณไสย แถมยังช่วยแก้คุณไสยให้กับคนอื่นๆได้ทันท่วงทีอีก นาย Realize Now เลยมีโอกาสออกมาพูดได้
นี้ยังไม่รวมถึงลักษณะการบรรลุอริยมรรคของเหล่าคนที่คุ้นเคยกันดี ที่แต่ละคนบรรลุกันได้ง่ายๆ แต่สิ่งที่ฉันได้ยินมาคือ พระโสดาบันล่าสุดของสวนสันติธรรม เตรียมปลดนักเขียนชายชื่อดังระดับเบสท์เซลเลอร์ของฉันจาการเป็นโสดาบัน เพราะหลวงพ่อปราโมทย์บอกว่า เมื่อก่อนท่านไม่ได้เห็นนักเขียนคนนี้บ่อยๆ แต่ตอนนี้ ได้เห็นบ่อยๆ จึงบอกได้ว่าไม่ใช่โสดาบัน แม้แต่คุณแม่ชีเองก็ยังยืนยัน แถมยังมีการใส่ความนักเขียนของฉันเรื่องการผิดศีลข้อ ๓ อีก เรื่องนี้ ฉันไม่อยากเชื่อ จะผิดจริงหรือไม่นั้น ฉันไม่ขอสรุปเพราะไม่มีข้อมูล และมักเห็นว่า ระยะหลังนี้ สวนสันติธรรมจะเป็นแหล่งข่าวลือที่ไม่มีมูลนาๆชนิด แล้วก็ไม่เห็นใครจะออกจากสวนสันติธรรมได้อย่างดีๆ มักมีอันเป็นต้องถูก discredit กันทั้งนั้น
นี่ถ้าหากไม่มีประกาศสวนพุทธธรรมออกมาเสียก่อน นักเขียนของฉันอาจถูกลดขั้นเป็นปุถุชนหรือเปล่า ก็ยังไม่ทราบได้ เดี๋ยวเป็นอริยะ เดี๋ยวไม่เป็นอริยะ โสดาบันในนิยามของสวนสันติธรรมนี้เป็นอย่างไร เคยรับรองกันมาเป็นสิบๆปี ทั้งๆที่ตอนนั้นก็หลวงพ่อปราโมทย์กับนักเขียนก็เห็นกันบ่อยๆ แล้วจะมาใส่ความว่าโสดาบันมีปัญหาเรื่องผู้หญิง? ปล่อยให้มีการเผาประคำวัตถุมงคลของหลวงปู่ฟักโดยไม่มีการทัดทาน อภิญญาแบบไหนกันแน่ที่ท่านมี เรื่องจริงมันอย่างไรกันแน่ ฉันก็อยากทราบเหมือนกัน
ส่วนเรื่องที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับเหล่าสานุศิษย์ท่านก็คือ หลายคนพร้อมใจที่จะ โกหก และบิดเบือนความจริง เพื่อปกป้อง อาจารย์ของพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ท่านตั้งแต่สมัยยังไม่บวช มาแต่งเรื่องบันทึกยุทธภพ ที่เต็มไปด้วยการส่อเสียดนินทา นั่งเทียนเขียนเอาทั้งๆที่ไม่รู้จริงว่า ความจริงคืออะไร แต่ฟังต่อมาจากผู้ที่เขาเชื่อว่า เป็นพระอรหันต์ ฉันทราบดีว่าเป็นใคร และฉันมีหลักฐานเพียงพอด้วย
ไม่ว่าจะเป็นหลายๆคนที่ออกมาปกป้องท่านว่า หลวงพ่อปราโมทย์ไม่เคยบอกเลยว่าตนเป็นพระอริยะ ทั้งๆที่ความเป็นจริงในใจของตนเอง มันฟ้องอยู่ในใจ ว่า ชาวสวนสันติธรรมและชาวลานธรรม เค้ารู้กันไปทั่วว่า หลวงพ่อปราโมทย์แสดงออกทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งบทความและคำพูดว่า ท่านเป็นพระอรหันต์
พวกเขายอมผิดศีลข้อ ๔ ยอมทรยศต่อ พระธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อปกป้องอาจารย์ของเขาได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ เรื่องเล่าต่างๆที่สร้างศรัทธาให้กับเหล่าศิษย์ทั้งหลายนั้น ปิดหูปิดตามโนธรรมในใจของท่านได้ขนาดนี้เชียวหรือ การปฏิบัติที่เห็นผล แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันจะได้เป็นโสดาบันกับเค้าบ้าง แล้วต้องไปให้หลวงพ่อปราโมทย์ท่านคอยชี้ว่า ตอนนี้ สภาพจิตเป็นอย่างไร แม้กระทั่งพระโสดาบันอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็ยังต้องหาโอกาสไปกราบท่านเรื่อยๆเพื่อคอยตรวจเช็คสภาพจิต
เช่นนี้ เป็นลักษณะของปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนงั้นหรือ?
ฉันไม่คิดว่า กรรมฐานดูจิตที่พวกเขาเหล่านั้นกระทำอยู่ จะเป็นประโยชน์อีกแล้ว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเหล่านั้น ยึดติดตัวบุคคล ยอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งผิดศีลข้อ ๔ เพื่อครูบาอาจารย์ เพื่อรักษาการปฏิบัติแนวดูจิต เพราะคิดว่า กรรมฐานแนวนี้เท่านั้น ที่จะนำพาพวกเขาให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏได้ ถ้าหากความจริงเปิดเผย พวกเขา จะเป็นอย่างไร เขายอมอยู่กับโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาดีกว่าที่จะมารับรู้ความเป็นจริง
ฉันได้เดินทางไปกราบหลวงพ่อมนตรีด้วยตัวของฉันเอง และทราบเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ และฉันก็ไม่เห็นว่า จะมีมนต์ดำคุณไสยอะไรแต่อย่างใด เพราะว่าจิตของฉัน อยู่กับพุทโธ ตอนนี้ ฉันมีพุทโธเป็นที่พึ่ง คุณไสยใดๆ ทำอันตรายฉันไม่ได้ทั้งนั้น เรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ เคยพูดไว้
สวนพุทธธรรม ที่หอมไปด้วยกลิ่นไอของนิพพาน ก็ยังคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่เหมือนเดิม ทุกคนที่ไปที่นี่ ไปด้วยความสงบ แตกต่างจากที่สวนสันติธรรมในตอนนี้(จดหมายนี้ เขียนเมื่อ ต้นเดือน ก.พ. เหตุการณ์หลังจากนี้ อาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น) ที่ต้องมีการนำตำรวจมาคอยดูแล การตรวจดูคนแปลกหน้า การต้องคอยระวังการกินอาหารเพราะกลัวจะมีคนใส่ของ “มืด” ลงไปในอาหาร
อย่างไรก็ตาม บุญคุณที่หลวงพ่อปราโมทย์ชี้ทางให้ฉันก้าวเข้าสู่เส้นทางธรรม ฉันขอยกไว้เหนือเศียร และฉันก็ขอกราบขอบพระคุณท่านอีกครั้ง ที่ตัวท่านเองเปิดเผยความจริงมาขนาดนี้ ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น ก็คงจะไม่มีประกาศสวนพุทธธรรม และฉันเอง ก็คงจะยังไม่สามารถเปิดใจรับธรรมะของครูบาอาจารย์รุ่นเก่าได้อยู่ดี ความผิดหวังจากการยึดติดครูบาอาจารย์ ทำให้ในวันนี้ ทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้น ฉันจะมีพระธรรมเป็นที่พึ่งเท่านั้น และปฏิบัติกรรมฐานตามแนวที่หลวงปู่มั่นได้วางรากฐานไว้อย่างดีแล้ว
สาเหตุที่ฉันเขียนจดหมายทั้งหลายออกมา สาเหตุสำคัญยิ่งกว่าอื่นใด ก็คือ เพื่อชดใช้ กรรมที่ฉันได้เคยทำลงไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่ได้แจกจ่ายหนังสือและซีดีของหลวงพ่อปราโมทย์ออกไปเป็นจำนวนมาก ฉันก็หวังว่า ข้อเขียนของฉันที่กระตุ้นให้ผู้คนรู้สึกตัวมา “ตื่น”อยู่ในโลกแห่งความจริง จะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้ฉันไม่หลุดกรอบออกนอกเส้นทางแห่งพุทธะตลอดไปตราบจนถึงที่สุดแห่งทุกข์
วันนี้ ฉันได้ค้นพบ ธรรมแท้ แล้ว ธรรมแท้ของครูบาอาจารย์เพชรน้ำหนึ่งในวงกรรมฐาน สิ่งที่ฉันต้องการจะประกาศความจริงให้ทุกคนทราบจากใจของฉัน ก็หมดลงแต่เพียงเท่านี้ และจะไม่มีจดหมายจากผู้ไม่ประสงค์จะออกนามออกมาอีกแล้ว เพราะทั้งสามฉบับนี้ ได้ทำหน้าที่ของมัน เพื่อเปิดเผยความจริงออกมาเรียบร้อยแล้ว
ด้วยกุศลผลบุญที่ฉันได้กระทำมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ขอให้ชาวสวนสันติธรรม ชาวลานธรรม และชาวพุทธทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ ได้ลืมตา ตื่นจากมนต์คุณไสยที่ถูกครอบใส่กรอบทางความคิดไว้ นี้ ได้ทบทวนความเป็นจริงที่อยู่ในหัวใจตัวเองดู เกิดสติปัญญา รู้แจ้งแทงตลอด เห็นโลกตามความจริงที่เป็นอยู่ด้วยใจที่เป็นกลางด้วยเถิด