อกาลิโก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เดี๋ยวมีปัญหาอะไรให้พูดนะ ตอนนี้เรา เราอารัมภบทก่อน เพราะว่ามันมี มันมีข่าวเนาะ ข่าวเข้ามาบอกว่า หลวงตาโทรศัพท์มาบอกว่า พระสงบห้ามพูดวิจารณ์ห้ามพูดถึงผู้คนบุคคลอื่น นี้เราบอกว่า มันไม่มีหรอก มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะเราเข้าใจหลวงตาดี เราเข้าใจหลวงตาดี ถ้าหลวงตาเนี่ยนะ จะบอกคน จะเตือนคนต่อเมื่อคนๆนั้นตาบอดคนตาบอดนี้เราต้องบอก เราต้องชักนำเพราะคนตาบอดมันทำความเสียหาย มันเดินไปไหน มันจะทำเสียหาย แล้วพูดถึงคนตาบอดเห็นมั้ย เดินไปชนสิ่งใด ยังไม่รู้สิ่งนั้น ชนแล้วนะ ชนอะไรก็แล้วแต่ยังไม่รู้นั่นคืออะไรเลยนะเพราะตามันบอด แต่คนตาดีเนี่ยนะ หลวงตาเนี่ยนะ ท่านรู้ว่าเป็นคนตาดี เราเนี่ยเป็นคนตาดี สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ว่าเราเดินไปแล้วจะเป็นภัยเป็นโทษเนี่ย คนๆนั้น คนที่ตาดีจะเข้าไปเหยียบหนามมั้ย ไปเหยียบหนามเหยียบไฟเนี่ย คนตาดีจะหลบจะหลีก แต่คน สิ่งใดถ้าเป็นประโยชน์ คนๆนั้นจะทำ
ฉะนั้นพวกคนตาดีเนี่ย หลวงตาไม่ต้องบอกหรอก ควรทำอย่างใดและไม่ควรทำอย่างใด แต่ถ้าคนตาบอด ต้องบอก ถ้าคนตาบอด ต้องบอกเลย ควรทำอย่างนั้นและไม่ควรทำอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นคนตาดีแล้ว มัน ถ้าไปบอกนะ เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะสิ่งนี้มันเป็น อกาลิโก สิ่งที่นั้นเวลาแสงสว่างขึ้นมานั่นเป็นอกาลิโก ดวงอาทิตย์นี้เป็นอกาลิโก แต่ดวงอาทิตย์นี้มันยังมีวันมอดนะ มันยังมีวันดับเพราะดวงอาทิตย์เนี่ย ทางวิทยาศาสตร์วิจัยแล้วว่า อีกกี่ร้อยล้านปีดวงอาทิตย์นี้จะดับ เนี่ย ธรรมดาของมัน แม้แต่สิ่งนี้ยังดับ แต่ถ้าเป็นธรรม มันมีแสงสว่างขึ้นมาในใจแล้วเนี่ยเห็นมั้ย อกาลิโก ไม่ใช่กาล ไม่ใช่เวลา
นี้คำว่าไม่ใช่กาล ไม่ใช่เวลาเนี่ย ผู้ที่เป็นธรรมน่ะนะ อย่างเช่นหลวงตาท่านเป็นธรรมเนี่ย ท่านรู้ของท่าน อย่างที่นั่น ขนาดที่เราไม่มีคุณธรรมในหัวใจเลย เรายังรู้เลยเราทุกคนเกิดมาต้องตายหมด แล้วถ้าต้องตายหมดเนี่ย เราจะอยู่ค้ำฟ้าเหรอ เราจะอยู่คอยบอกคนโน้นคนนี้ตลอดไปเหรอ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าถ้าใครหูตาสว่างขึ้นมา คนนั้นก็ทำประโยชน์ของเค้า อันนั้นเป็นประโยชน์ของเค้านะ มันเป็นประโยชน์ของเค้า อย่างเช่นเห็นมั้ย ดูเช่น มีเหตุการณ์วิกฤตขึ้นมาเนี่ย มุมมองของคนมันแตกต่างหลากหลาย คนๆหนึ่งบอกสิ่งนี้ควรเข้าไปช่วยเหลือ บางคนเห็นบอกว่ามันเรื่องของเขา นี่เหมือนกัน คนที่หูตาสว่างแล้วเนี่ย จะทำไม่ทำนี้อีกเรื่องหนึ่งนะ หูตาสว่างแล้วเนี่ย จะทำไม่ทำนี้อีกเรื่องหนึ่งเพราะอะไร เพราะมันเป็นเวรเป็นกรรมเป็นวิกฤตเป็นอะไรต่างๆที่เราจะลงไปทำแล้วมันได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ แต่ถ้าเป็นการขวนขวาย เห็นมั้ย ฉะนั้นบอกว่า ให้หลวงตาสั่งว่า ห้ามทำอย่างโน้นห้ามทำอย่างนี้ หลวงตาจะสั่งต่อเมื่อพวกตาบอด พวกหูหนวก แต่ถ้าผู้ที่เป็นธรรม เป็นอกาลิโกเนี่ย ท่านไม่สั่งหรอก ไม่มีทาง ท่านไม่สั่ง ถ้าท่านสั่งท่านต้องสั่งบอกว่าให้เอาแรงๆด้วย ท่านจะสั่งเลยบอกว่า สิ่ง... เพราะอกาลิโก เรานั่งลืมตาอยู่อย่างนี้เรามองมาเนี่ยในอากาศ มองมาเนี่ยเห็นภาพมั้ย เหมือนกันหมดเลย เราจะเถียงกันมั้ย คนจะเถียงกันคือคนตาบอด แต่คนตาดีไม่เถียงกันหรอก เนี่ย มาวัดนี้ด้วยกันเนี่ย หลงก็หลงด้วยกัน ถ้าใครหลง หลงออกหนองตากยา แล้วก็วนกลับมาด้วยกัน ถ้ามารถคันไหนหลง มันก็หลงด้วยกันทั้งคันรถนั้นแหละ มันจะวนไปทั้งคนเลย ไอ้คนที่ไม่หลง ก็ไม่หลงด้วยกัน แล้วมันจะไปเถียงกันมั้ย เพราะเราอยู่ในเหตุการณ์นั้นมาตลอดเราจะเถียงกันมั้ย เราจะไม่เถียงกันหรอก แต่ถ้าคนไม่เคยมาสิมันเถียง
ฉะนั้นครูบาอาจารย์ท่านเคยไปเคยมาอยู่แล้ว ถ้าพูดถึงถูกทางแล้วท่านจะบอกว่า ไอ้คนที่มันหลงน่ะ เล่นมันหนักๆเลย แต่นี้บอกว่า หลวงตาสั่งว่า ห้ามพูดห้ามบอก ถ้าคนพูดอย่างนี้เนี้ยนะ แสดงว่า ตาบอด ตาบอดหมายถึงว่า ตัวเราเนี่ยไม่มีความมั่นใจในตัวเราเองเลย เราไปถึงที่ไหน เราเห็นภาพสิ่งใดแล้วเนี่ย เราจะเอาภาพสิ่งนั้น เอาความเห็นสิ่งนั้น มาบอกชาวโลกเค้าไม่ได้เนี่ย อันนั้นไม่เป็นความจริง แต่ถ้าเราไปที่ไหน เราเห็นสิ่งใดแล้วนั้นเราจะบอก ชาวโลกเค้านั่นน่ะ สิ่งนั้นถ้าครูบาอาจารย์ท่านรู้ท่านเห็นจริงด้วย ท่านสาธุนะ ท่านไม่ได้ว่าจะสั่งว่าไม่ให้พูดหรอก ท่านให้พูดเลย แล้วต้องพูดให้มากด้วย ใช่มั้ย ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นมั้ย เวลาเทศนาว่าการถึงว่าเวลาเทศน์ปัญจวคีย์แล้ว ???เห็นมั้ย ได้ ๖๑ เห็นมั้ย ฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย เธอกับเราเห็นมั้ย พ้นทั้งบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธออย่าไปซ้อนทางกัน ไอ้คำนี้สำคัญมาก อย่าไปซ้อนทางกัน ถ้าไปสองนี้มันเสียผลประโยชน์ ให้ไปต่างคนต่างไป ถ้า ๖๑ องค์ก็ให้เป็น ๖๑ สาย เพราะชาวโลกเค้าเดือดร้อนนัก ชาวโลกเขาต้องการธรรม เค้าเดือดร้อนนัก เธออย่าไปซ้อนทางกันนะ มันเสียประโยชน์
นี่ ถ้าเป็นความจริงนะ อย่าซ้อนทางกัน ให้ไปเผยแผ่ ให้ไปช่วยเหลือเค้าใช่มั้ย ไม่ใช่ว่าอย่าไป ถ้าเป็นอย่างนั้นนะ พระพุทธเจ้าบอกว่า ภิกษุทั้งหลาย เธออย่าจงไปไหน นั่งอยู่กับเรา เพราะชาวโลกเขาร้อนนักก็ทิ้งมันไปซะ ชาวโลกเขาร้อนนักก็เรื่องของโลกเค้าซี่ โลกเขาจะร้อนก็ให้ร้อนกันไป ไอ้ ๖๑ องค์พ้นทั้งบ่วงที่เป็นโลกบ่วงที่เป็นทิพย์นั้นแล้วอยู่เฉยๆ ห้ามบอกใคร สั่งว่าห้ามพูดห้ามบอก มันเป็นไปไม่ได้ แต่จะบอกเห็นมั้ย จะบอกเห็นมั้ย ดูสิ เวลาพระด้วยกัน เวลาไป ก่อนสมัยพุทธกาลนะ บิณฑบาตตอนเช้าเนี่ย มันมีลัทธิต่างๆเห็นมั้ย พระพุทธเจ้าบิณฑบาต เขาก็บิณฑบาต แต่ก่อนจะบิณฑบาตมันยังมีเวลาเหลือ ท่านจะไปโต้ พูดธรรมะกันน่ะ แล้วมันมีพระน่ะไปพูดเห็นมั้ย เวทนามีเท่าไหร่อะไรเนี่ย ผิด ในสุตตันตปิฎกเนี่ยเยอะมาก แล้วกลับมาหาพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าเอ็ดเอานะ โมฆะบุรุษ ถ้าไม่รู้แล้วไม่ควรพูด มันผู้ใดไม่ดี เค้าถือว่าพระใช่มั้ย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้พูดนี่ถูกหมดเลย แล้วเจือจานเค้าได้หมด
แต่ไอ้พวกตาบอดที่ว่า สั่งว่าไม่ให้พูด ไม่ให้พูดเพราะมันพูดไม่ถูกไง มี ในสุตตันตปิฎกมีเยอะมากนะ พระไตรปิฎกเรารื้อมาหมดแล้วล่ะเวลาเค้าถามปัญหา เวทนามีเท่าไหร่ มีเวทนา ๒ เวทนา ๓ เวทนาเท่าไหร่ พูดไม่ถูกมันผิดไง แล้วเวทนาน่ะ ไอ้อย่างนี้นี่นะ มันอยู่ที่ผู้ที่นักประพฤติปฏิบัติด้วยกัน ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติด้วยกันเห็นมั้ย เวลาพูดไป เวทนามีเท่าไหร่ เวทนามี ๒ มี ๓ ใช่มั้ย ทุกขเวทนา สุขเวทนา อุเบกขาเวทนา แล้วอายตนะเห็นมั้ย เวทนาอายตนะ เวทนา ๖ เห็นมั้ย เวทนา ๖ อายตนะภายนอก เวทนานอก เวทนาใน เวทนา ๖ เวทนา ๑๒ เวทนา ๑๘ เนี่ย มันเวลาเราพูดธรรมะกันไปแล้วเนี่ย เราจะแตกแขนงออกไป ถ้ามันแตกแขนงออกไปเราพูดอย่างนั้นไปเนี่ย มันเป็นอีกกรณีหนึ่งใช่มั้ย แต่โดยหลักอริยสัจ เวทนาก็คือเวทนา เวทนาก็มีเวทนา ๓ แล้วถ้าเวทนา ๖ ล่ะ เวทนา ๖ คือ อายตนะ นะ ทุกข์จาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นมั้ย นี่เวทนา ๖ แล้วเวทนานอก เวทนาใน เห็นมั้ย มันก็เป็น ๑๒ นะ แล้วเวทนา ๑๘ ล่ะ นี่ถ้าปฏิบัติเป็นนะ โอ้โห จะถามอะไรมามันเข้าใจได้หมดล่ะ มันอธิบายได้หมดล่ะ แต่นั่นเวลาไปถาม เวลาไปพูดกับเดียรถีย์ เดียรถีย์บอกเวทนามี ๒ มีสุขกับทุกข์ สุขเวทนา ทุกขเวทนา เพราะไอ้เดียรถีย์มันต้อนเราจนไง พอต้อนเราจนก็มารายงานพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอก โมฆะบุรุษ โมฆะบุรุษ พวกนี้พวกบุรษโมฆะ คือพระโมฆะ คือไม่มีความรู้ความเห็น ไม่รู้จริง แล้วไปพูดกับเค้า ไปพูดไปโต้แย้งแล้วมันผิดพลาดเห็นมั้ย โมฆะบุรุษ อย่างนี้ต่างหาก พระพุทธเจ้าไม่ให้สอน แต่เวลา ๖๑ องค์ เธอกับเรา พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกเป็นทิพย์ เธออย่าไปซ้อนทางกัน อย่าซ้อนทางกันเลย ดูสิ พระอัสสชิไปได้พระสารีบุตรเห็นมั้ย พระสารีบุตรไปได้พระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะได้ลูกศิษย์ ๕๐๐ พระ???ได้ลูกศิษย์ ๕๐๐ จะไปเอาสัญชัยมาด้วย ดูสิ พระอัสสชิองค์เดียวไปเอามาได้เป็นพันๆเลย พระอรหันต์น่ะ เนี่ย เธออย่าไปซ้อนทางกัน
ฉะนั้นบอกว่า ห้ามพูดๆเนี่ย ห้ามพูดต่อเมื่อคนตาบอดนะ แต่คนตาดีเนี่ย ไม่มีหรอกที่ว่าห้ามพูด มันเป็นอกาลิโก ธรรมะนี้เป็นอกาลิโก ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเนี่ย ธรรมะมีอยู่ดั้งเดิม ธรรมะมีอยู่แล้ว ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ในปัจจุบันห้าพันปีเนี่ย ศาสนาพุทธเนี่ย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นเจ้าของ เจ้าของเพราะอะไร เพราะเจ้าของเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ตรัสรู้เองโดยชอบก็เหมือนสิ่งที่ไม่มีเลย สิ่งที่ไม่มีเลยคือไม่มีใครเข้าใจเลย พระพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา อย่างพวกเรา ถ้าพระพุทธเจ้าไม่รื้อค้นขึ้นมา สาวก สาวะกะทำกันไม่ได้ ดูสิ ขนาดมีพระไตรปิฎกเห็นมั้ย พระไตรปิฎกเนี่ย คือตำรา คือธรรมและวินัย คือองค์ศาสดาแทน องค์ศาสดาพระไตรปิฎกเนี่ย ในประเทศไทยเนี่ยทุกวัด วัดนึงสามตู้สี่ตู้ พระไตรปิฎกเนี่ย มันยังเถียงกันปากเปียกปากแฉะเลย นี่ขนาดมีพระไตรปิฎกอยู่นะ แล้วถ้าไม่มีมันจะขนาดไหน มีพระไตรปิฎกก็เถียงกันเนี่ย จบที่สุดแล้วก็ต้องมาจบที่พระไตรปิฎก ต่างคนต่างอ้างว่าพุทธพจน์ พระพุทธเจ้าว่าอย่างนี้ พระพุทธเจ้าว่าอย่างนี้ วัดนึงมีพระไตรปิฎกอยู่ สี่-ห้าตู้ แล้วก็เถียงกันไปเถียงกันมานะ ความเห็นก็แตกต่างกัน นี่ขนาดมีตำรานะ มันยังเถียงกัน มันยังเอาหัวชนกัน แล้วถ้าไม่มีมันจะไปไหนล่ะ มันก็เอาหัวจิ้มลงนรกอะเดะ
ฉะนั้นจึงบอกว่า สิ่งที่ว่ามันเป็นธรรมและวินัย ธรรมวินัยเนี่ย สาวก สาวะกะ สาวก สาวะกะ คือผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ถ้าได้ยินได้ฟังเนี่ย มันอย่างนี้ ว่าธรรมะมีอยู่ดั้งเดิม ดั้งเดิมยังไง ดั้งเดิมเนี่ย ดั้งเดิมแต่กับคนที่มีวุฒิภาวะพอ เช่นพระพุทธเจ้า กับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะมารื้อค้นพระธรรมวินัยนี้ขึ้นมา ดูสิ เวลาหมดน่ะ ห้าพันปีนี้หมด ห้าพันปีนี้หมดใช่มั้ย เนี่ย ธรรมะไม่เคยเสื่อม ธรรมะไม่เคยเสื่อม ใช่ สัจจะอันนั้นไม่เคยเสื่อม แต่หัวใจคนมันเสื่อม ปัจจุบันนี้ยังเถียงกันปากเปียกปากแฉะนะ แล้วต่อไปนะ ธรรมะใครธรรมะมัน จะต้องผูกไว้ โพกหัวไว้เลย ธรรมะของมันน่ะ แต่ธรรมะในใจไม่มี
ฉะนั้น พอหมดห้าพันปีไปเนี่ย จิตใจคนมันเสื่อม ไม่ใช่ธรรมเสื่อม จิตใจคนมันเสื่อม ดูดิเวลาธรรมวินัยเราเข้าไม่ถึงเราเข้าไม่ได้เนี่ย เราก็เสื่อมไป พอเสื่อม เสื่อมไปๆเนี่ย ของมันมีอยู่แต่เราเข้าไม่ถึงน่ะ เราเข้าได้แต่จินตนาการ เราเข้าได้แต่ความคิด แต่เราไม่เข้าใจในเนื้อหาสาระ ถ้าเข้าใจในเนื้อหาสาระนะ คนที่จะเข้าไปได้ถึงเนื้อหาสาระได้เนี่ย มันเข้าไปได้ถึงเนื้อหาสาระเพราะเหตุใด เนี่ย เหตุอันนั้นต่างหากที่เป็นวิธีการเข้าไปสู่เป้าหมาย เป้าหมาย นิพพานๆ นิพพานคือเป้าหมาย แล้วถ้าเป้าหมายเนี่ย วิธีการสู่เป้าหมายมันเข้าไปยังไง ไอ้นี่ นิพพานมีอยู่แล้ว มีอยู่แล้ว มีอยู่แล้วกูก็สะดุดแม่งเอาหัวทิ่มนิพพานเลย เอานิพพาน เอาเหมือนสวมหมวกน่ะ ถือใส่หัวไว้เลย เนี่ยกูได้นิพพานมา มันไม่มีหรอก มันไม่มี มันต้องมีการกระทำ มีความจริงของมันขึ้นมา ถ้ามีความจริงขึ้นมา อันนั้นมันถึงเป็นความจริง ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาเห็นมั้ยสิ่งที่สัจจะความจริงขึ้นมา เนี่ย มันทำขึ้นมา มาได้อย่างนั้น เนี่ย สาวก สาวะกะ ได้ยินได้ฟัง
แล้วต่อไปเนี่ย ต่อไปเห็นมั้ย ที่ว่า ศาสนาเสื่อม ศาสนาเสื่อม เวลาจิตใจคนมันเสื่อมไปๆมันไม่เชื่อธรรมวินัย ธรรมวินัยมีอยู่มั้ย มี ถ้าไม่มีอยู่ พระศรีอาริยเมตไตรจะมาตรัสรู้ได้ยังไง พระศรีอาริยเมตไตรเนี่ย แล้วอนาคตวงศ์อีก ๑๐ องค์นะ พระพุทธเจ้าข้างหน้าเนี่ย ที่ในพระไตรปิฎกบอกไว้แล้วเนี่ย เนี่ย ยี่สิบสามสิบองค์ที่มารอคิวอยู่เนี่ย แล้วพระพุทธเจ้าแต่ละองค์เนี่ย ได้องค์เดียวๆกาลเวลาเป็นเท่าไหร่ มันจะหมุนไปเท่าไหร่ นี่พูดถึงธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม มีเงินมีอยู่แล้ว แต่คนมันเสื่อม มันเข้าไม่ถึงทั้งๆที่ปัจจุบันเนี่ย ครูบาอาจารย์เนี่ย เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ เราพูดมาเปรียบเหมือนเราเนี่ยเป็นสัตว์ แล้วครูบาอาจารย์เนี่ยเป็นควาญช้าง ท่านจะเอาปฏักเนี่ย ช้างเนี่ยนะ ถ้าช้างนี้มันยังฝึกไม่ได้เนี่ย เนี่ย ควาญช้างนี่ต้องเอามันอยู่ให้ได้ ถ้าไม่เอามันอยู่ให้ได้ ควาญช้างเนี่ยบังคับช้างนั้นไป อย่างพวกเราเนี่ย เหมือนสัตว์เลย มันต้องมีควาญประจำตัว ถ้าไม่มีควาญประจำตัวเนี่ย เราก็จะ ควายตู้เนี่ย มันจะดันของมันไปอย่างนี้ แล้วพอดันไปมันเจออะไรมันก็ว่ามันถูกไปอย่างนั้นน่ะ แต่ถ้ามีควาญประจำน่ะนะ ควาญน่ะมันเอามันอยู่ มึงดื้อ ดื้อก็ปฏักลง เป๊าะ เป๊าะ เนี่ย เลือดทั้งนั้นน่ะ พอมันโดนแล้วมันจะอยู่ พวกเราก็เหมือนกัน เนี่ย สาวก สาวะกะ ถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นอย่างนั้น
นี่เขาบอกว่าในธรรมะบอกไว้ เนี่ย อย่าให้เชื่อบุคคล ให้เชื่อธรรมะเถิด อย่า จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่าเชื่อบุคคลเลย ใช่ จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เพราะบุคคลน่ะมันไว้ใจไม่ได้ แต่การว่าไว้ใจไม่ได้เนี่ย แต่เวลาเราแสวงหาเนี่ย เราจะรู้ได้ อย่างเราประพฤติปฏิบัติเนี่ย เราหาครูบาอาจารย์เนี่ยเราจะรู้ได้เลยว่า อาจารย์มีหรือไม่มี ถ้าอาจารย์ไม่มีนะ มันก็ใช้เล่ห์กลน่ะ หลบไป หลีกมา หลีกมา หลบไป ธรรมะไม่พูดหรอก พูดอะไรก็ไม่รู้ วังไปวนมา แต่พูดธรรมะนะ เดี๋ยวจะพูดธรรมะนะ เนี่ย จะพูดธรรมะนะ เดี๋ยวจะพูดธรรมะนะ แล้วก็พูดอารัมภบทไปอีกครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวจะพูดธรรมะนะ แล้วก็อารัมภบทไปอีกชั่วโมง พอจะพูดธรรมะ เอาไว้พรุ่งนี้เถอะ มันไม่กล้าพูดหรอก มันอารัมภบทไปแม่งไปวันๆนึงน่ะ เนี่ย ไอ้พวกนั้นนี่ไง ถ้าเธอจงมีธรรมเป็นพึ่งเถิด ก็นี่ไง ธรรมะไง ก็มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เราเป็นที่พึ่งเขา เขาจะพึ่งเรา จะพึ่งกันอยู่นั่นนะ แล้วไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งน่ะ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง แล้วธรรมอยู่ไหนน่ะ
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เนี่ยเห็นมั้ย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นน่ะ ท่านรื้อค้นของท่านขึ้นมาแล้วท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน พอท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่านนะ ท่านอ่อนน้อมถ่อมตน คนมีคุณธรรมในหัวใจเนี่ย อ่อนน้อมถ่อมตนมาก หลวงปู่มั่นนะ ถ้าไม่มีใครรู้จักหลวงปู่มั่นนะ จะไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นหลวงปู่มั่นเลย ไปถึงก็เหมือนหลวงตาองค์นึงน่ะ ท่านแบกบริขารของท่านไป ไม่มีศักยภาพอะไรเลย มองข้างนอกมองไม่ออกเลย หลวงตาถึงบอกว่า ผ้าขี้ริ้วห่อทอง อยู่ข้างนอกนี้เหมือนผ้าขี้ริ้วน่ะ คนมองนะ ไอ้อย่างเรานี้ โอ้โห ไหมนะเว้ย ห่มไหมเชียวมึง ไปไหนนี้ รถนำหน้านำหลังนะ นี้อาจารย์ใหญ่เลยนะ แต่หลวงปู่มั่นนะเวลาไปไหนไม่มีใครรู้จักน่ะ นี่ของจริงเห็นมั้ย อ่อนน้อมถ่อมตน แต่อย่าให้แสดงธรรมนะ ถ้าแสดงธรรมนะ หลวงตาบอกเลย แสดงธรรมที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลาแสดงไปแล้วเนี่ย มันเหมือนมันดันออกมาจากสัจจะความจริง ดันออกมาจากหัวใจเนี่ย ท่านเทศน์อยู่ที่โบสถ์วัดเจดีย์หลวงน่ะ คนเดินไปเดินมานึกว่าพระทะเลาะกันนะ จนเค้าเดินเข้ามาถาม พระทะเลาะอะไรกัน พระทะเลาะอะไรกัน ไม่ใช่หรอก หลวงปู่มั่นเทศน์ เนี่ย
ถ้าเวลาเทศน์น่ะ แสดงสัจจธรรม ถ้ามันขับออกมาจากใจ อันนั้นเป็นความจริง แต่มาดูรูปลักษณ์ภายนอกนะ เหมือนหลวงตาแก่ๆองค์หนึ่ง ไม่รู้จักน่ะ นี่ นี่ความเป็นจริง เห็นมั้ย เนี่ย สัจจธรรมเนี่ยมันมีความสุขในหัวใจมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันไม่ต้องการสิ่งใดเลย นี่บอก เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด นี่โดยในบาลีนะ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีบุคคลเป็นที่พึ่งเลย เพราะบุคคลนั้นมันพึ่งไม่ได้ บุคคลเนี่ย มันเป็นคนที่โลเล บุคคลเนี่ย ไม่น่า พึ่งไม่ได้หรอก แต่! แต่ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเราเนี่ยมันมีธรรมในหัวใจน่ะ ธรรมมันอยู่ที่ไหน ธรรมมันอยู่ในกระดาษเหรอ ธรรมมันมีภาชนะอะไรที่จะขังธรรมเอาไว้ได้นอกจากพุทธะ หรือความรู้สึกอันนี้ แล้วความรู้สึกอันนี้มันค้นคว้ามันทำลายกิเลสออกไปแล้วจนมันเป็นธรรมทั้งแท่ง พอมันเป็นธรรมทั้งแท่งเนี่ย ธรรมเนี่ยมันไปสถิตในหัวใจของครูบาอาจารย์เรา ในเมื่อธรรมมันไปสถิตในหัวใจของครูบาอาจารย์เราเนี่ย เราจะมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เราก็จะหวังพึ่งธรรมอันนั้นน่ะ แต่โลกมองผิดไง มองว่านั่นคือบุคคลไง อย่างหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นก็เป็นบุคคล เพราะหลวงปู่มั่นก็เป็นมนุษย์ เป็นบุคคลคนหนึ่ง ใช่ หลวงปู่มั่นเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ท่านมีธรรมในหัวใจเห็นมั้ย เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งใดสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย ในเมื่อหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น ท่านมีธรรมเต็มหัวใจของท่าน ท่านมีที่พึ่งเต็มหัวใจเลย ท่านมีธรรมเป็นที่พึ่ง ท่านมีความสุขของท่าน ท่านอยู่แบบทางโลกมองแบบผ้าขี้ริ้วเลย ไม่มีค่าในสิ่งใดเลย แต่ในหัวใจท่าน เทวดาอินทร์พรหมมาเฝ้าทุกคืนเลย มาอุปัฏฐาก มาฟังธรรมหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นทุกคืนเลย เห็นมั้ย คนที่มีหูมีตาเนี่ย ท่านเคารพบูชาของท่าน ท่านมาฟังธรรมของท่าน ไอ้เราพอมองนะ โอ้ สู้พระอาจารย์เราไม่ได้หรอก อาจารย์เรานะ โอ้โห ศักยภาพนะ ลูกศิษย์ลูกหายังมีบารมีกว่านี้อีก โอ้ นี่หลวงตาแก่ๆ เอ๊ รู้จักได้ยังไง เอ๊ คน ... เห็นมั้ย จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เราก็ไม่รู้ว่า ธรรมมันอยู่ที่ไหนน่ะ แต่ทำไมเทวดาอินทร์พรหมเขารู้ว่ามีธรรมล่ะ
ฉะนั้น ถ้ามีใจเป็นธรรมทั้งแท่ง เราก็หวังพึ่งธรรมอันนั้น ถ้าหวังพึ่งธรรมอันนั้นเวลาเราไปหาท่านเห็นมั้ย ท่านเป็นผู้นำเรานะ ผิดถูกนะ หลวงตาท่านเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่มั่นน่ะ เก็บหอมรอมริบ เป็นพระอรหันต์นะ คำว่าพระอรหันต์นะ เป็นสติวินัย สติวินัยเนี่ย พระอรหันต์เนี่ยไม่มีอาบัติ เป็นอนาบัติ เป็น อะไรนะ อนาบัติ เป็น ... นึกไม่ทัน เป็นไอ้ที่ว่าน่ะ ที่เค้าเถียงกันน่ะ เป็นอะไร ถ้าสติวินัยแล้ว ไม่มีอาบัติ คำว่าไม่มีอาบัติเพราะอะไร เพราะธรรมวินัยเนี่ย เป็นสมมติ เป็นสมมติ คำว่าสมมติเนี่ย กฎหมายนี้เป็นสมมติ แต่จิตนั้นมันพ้นไปแล้วน่ะ เพราะมันไม่มีเจตนา ไม่มีการกระทำ ไม่มีอะไร เป็นกิริยาเฉยๆ ไม่มีอาบัติ พระอรหันต์ไม่มีอาบัตินะ ไม่มีอาบัติอยู่ในใจของพระอรหันต์เพราะใจเป็นธรรมแล้ว แต่ถ้ามาทางโลก มันมีอยู่ มีอยู่หมายถึงว่า มันเป็นเรื่องโลกวัชชะ(เรื่องที่โลกติเตียน) เห็นมั้ย เพราะพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ถ้าตัวเองสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วเนี่ย เอ๊ เราต้องลงอุโบสถมั้ย เราต้องปลงอาบัติมั้ย พระพุทธเจ้ามาโดยฤทธิ์เลย ถ้าเธอไม่ทำ แล้วสังคมสงฆ์จะอยู่กันยังไง สังคมสงฆ์น่ะ ผู้ที่เป็นปุถุชน ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเนี่ย เขาต้องมีแบบอย่าง เขาต้องมีผู้นำ แล้วเวลาผู้นำเห็นมั้ย เนี่ยดูสิ เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรมขึ้นมาเห็นมั้ย เนี่ย บรรลุธรรมขึ้นมา เอ๊ มันจะสอนกันได้ยังไง มันจะสอน คำว่าจะสอนได้ยังไง เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะว่ามันละเอียดอ่อนมาก คำว่าละเอียดอ่อนน่ะ ตั้งแต่เป็นโสดาบันเป็นยังไง เป็นสกิทาคาเป็นยังไง เป็นอนาคาเป็นยังไง ถ้าสิ้นกิเลสนี้สิ้นยังไง แล้วกิเลสเนี่ย ปัญญา โสดาปัตติมรรค สกิทาคามีมรรค อนาคามีมรรค อรหัตตมรรคเนี่ย มันแตกต่างกันยังไง แม้แต่ความคิดเราเนี่ย ปัญญา ๆ เนี่ย ไร้สาระ ไอ้นี่เป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาสามัญสำนึก เอ็งไม่ต้องใช้ปัญญาอะไรเลย มันก็ผุดขึ้นมาความคิดมึงน่ะ ไอ้ปัญญาอย่างนี้ ไอ้ปัญญาขี้หมาเนี่ย มันขึ้นมาเอง แต่โสดาปัตติมรรค ปัญญาเดียวกับโสดาบันนั้นเป็นยังไง โสดา ปัญญาในสกิทาคามีมรรคนั้นเป็นยังไง ปัญญาในอนาคามีมรรคนั้นเป็นยังไง ปัญญาในอรหัตตมรรคนั้นเป็นยังไง แล้วผู้ที่สิ้นกิเลสไปเนี่ย มันต้องผ่านวิกฤตอย่างนี้ โอ้โห มันลึกซึ้งมากน่ะ แล้วจะสอนได้ยังไง หลวงตาท่านรำพึงตลอด ที่ดอยธรรมเจดีย์ไง
สุดท้ายแล้วก็ อ้าว แล้วถ้าถึงไม่ได้ แล้วเราถึงได้ยังไง เนี่ย เห็นมั้ย นี่ ปัญญาของคน เราถึงเนี่ย เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าไม่ได้เนี่ยแล้วเรามาได้ยังไง เรามาด้วยวิธีการที่ท่านบอก บากบั่นมา วิธีการที่บากบั่นมาเนี่ย มันบากบั่นมายังไง บากบั่นมาจากข้อวัตรอย่างที่หลวงปู่มั่นท่านสอน ท่านคอยบอกเห็นมั้ย ความบากบั่นมาอย่างนั้นน่ะ เห็นมั้ย ความบากบั่นนี่คือข้อวัตรปฏิบัตินี่นะ อ๋อ มาได้ด้วย ข้อวัตรปฏิบัติ มาได้ข้อวัตรที่ครูบาอาจารย์เรารักษาอยู่นี้นี่ไง แต่ทางโลกเขาบอกว่า อัตตกิลมถานุโยค (การทรมานตนให้ลำบาก) นะมึง การทำตนให้ลำบากเปล่านะมึง แต่ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านมาได้ ท่านมาได้ เพราะมาด้วยข้อวัตรปฏิบัติ มาด้วยความบากบั่นอันนี้ไง นี่พอบอกว่าจะสอนได้ยังไง เวลามันคิดอย่างนี้เนี่ย ใจเป็นธรรม พอใจเป็นธรรมมันคิดเองน่ะ เนี่ย เวลาเราจะมาสอนคนเห็นมั้ย เวลาเราจะสอน เพราะจิตใจเวลาที่มันผ่านมาอย่างนี้ เนี่ย เป็นอกาลิโก อกาล ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ถ้าใครบรรลุถึงแล้วนะ มันเป็นอย่างนั้น แล้วไม่ต้องมีใครบอกว่าควรไม่ควร เพราะในเมื่อหูตาสว่างแล้วน่ะ มันเป็นความจริงทั้งนั้นน่ะ จะบอกต่อเมื่อคนตาบอดน่ะ เอ็งอย่าไปบอกเค้านะ ถ้าเอ็งบอกเค้านะ เอ็งจะไปชี้นรกให้เค้า เพราะมึงก็นรกกินหัวอยู่แล้ว มึงชี้ทางเค้า ก็ชี้ทางเค้าลงนรกน่ะ เพราะฉะนั้นมึงอย่าพูด ถ้าหลวงตาจะบอกว่าอย่าพูดอย่าสอนก็ไอ้คนที่สอนนั่นมันตาบอด เพราะตาบอดมันชี้ทางไปไหน ชี้ทางลงนรกทั้งนั้นน่ะ ถ้าชี้ทางลงนรกแล้วมึงจะได้อะไรล่ะ ถึงว่า ห้ามพูด
แต่ถ้าเป็นจริงนะ เป็นจริงเห็นมั้ย เป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ เป็นจริงมันพิสูจน์ได้ เป็นจริงโดยที่หูตาเรา เรามีหูมีตาเนี่ย จับวัตถุสิ่งใดแล้วตั้งอยู่เนี่ยทุกคนเห็นด้วยกันหมดน่ะ มันเห็นด้วยกันหมด นี่ ตามความเป็นจริง นี่ อกาลิโก โอ้ ... มันเป็นอกาล มันไม่มีกาล ไม่มีเวลา แล้วถ้าคำว่าไม่มีกาล ไม่มีเวลาเนี่ย แล้วแต่เวลาของเราเนี่ยนะ หนึ่งร้อยปีมันสั้นนัก ฉะนั้นถ้าวางหลักเกณฑ์ได้เนี่ย ถ้ามีคนรู้ต่อไปเนี่ย มันจะได้สืบต่อกันไป ไม่ใช่ว่า ท่านไม่ให้ใครพูด ไม่ให้ใครพูด ใครจะมีอำนาจ ใครจะบงการกาลเวลา บงการชีวิตคน มันเป็นเวรเป็นกรรมของแต่ละบุคคล เป็นกรรมของแต่ละสัตว์ แต่ละตัวที่เกิดในวัฏฏะ ฉะนั้นเกิดในวัฏฏะ ยิ่งมีผู้รู้จริงสืบต่อไป ยิ่งเป็นความอบอุ่น ยิ่งเป็นความพอใจของครูบาอาจารย์ ไม่งั้น ถ้างั้นจะบากบั่นตรากตรำอยู่นี้เพราะเหตุใด คำว่าบากบั่นตรากตรำอยู่นี้ก็เพื่อจะให้คนมันหูตาสว่าง แล้วถ้าคนหูตาสว่างเนี่ย เราบอกเลย เอ็งพอมีร่องมีรอยเอ็งควรจะบอกเค้าได้ เอ็งอย่าบอกๆเนี่ย มันตัดรอนเนี่ย มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นี้พอมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เวลาพูดเห็นมั้ย เวลาบอก หลวงตา จริงๆแล้วนะ ถ้าพวกเราเคารพธรรมจริงเนี่ย สิ่งที่เป็นจริงเห็นมั้ย เราจะสื่อสารกันได้ เนี่ย เนี่ย มันเป็นมงคลเห็นมั้ย เนี่ย อเสวนา จพาลานัง เห็นมั้ย ที่ว่าอะไรนะ เนี่ย เป็นการสนทนาธรรมกันนั่นน่ะ มันเป็นมงคลอย่างยิ่ง นี้การสนทนาธรรมเห็นมั้ย ถ้าการสนทนาธรรมเราต้องมีคุณธรรมแล้วสนทนาธรรมอันธรรมนั้นเป็นจริง อย่างเช่นถ้าเรามีสมบัติเท่าไหร่ เรามีเท่านั้นน่ะ
แต่นี่เราพูด ไม่พูดถึงสนทนาธรรมเลย เราไปพูดถึงหลวงตาห้ามอย่างนั้น หลวงตาห้ามอย่างนี้ อ้างศักยภาพของครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เชื่อถือของสังคม ไปกดถ่วงให้สังคมนั้นโดนบีบ กดถ่วงโดยศักยภาพของครูบาอาจารย์เรา นี่เวลาจะใช้ประโยชน์กับตัวเราเองนะ แล้วถ้าเวลาจะอ้างอิงก็ หลวงตาเห็นด้วย หลวงตาเห็นด้วย แต่ตัวเองไม่เคยบอกว่า เราเห็นอะไรเลยน่ะ ถ้าความจริงนะ ถ้าหูตาสว่างนะ เอ้า โยมมาที่นี่ โยมก็บอกสิว่า ศาลาเป็นยังไง เอ้อ มาที่นี่นะ ศาลานี่ หลวงตาว่ายังงั้น ศาลานี้ หลวงตาว่ายังงั้น หลวงตาอยู่ที่อุดรนะ ไอ้เราเห็นของเราเองนะ มาที่ศาลานี้เราก็เห็นศาลาด้วยหัวใจด้วยสายตาของเรา ก็บอกออกมาสิ แม้แต่ศาลาที่เข้ามาเห็นยังไม่กล้าพูดอีกเหรอ ทำไมต้องบอกให้หลวงตาบอกว่านี่มีเสาข้างละ ๖ ต้น ต้องให้หลวงตาบอกใช่มั้ย หลวงตาบอกว่าอย่างนั้น หลวงตาบอกว่าอย่างนี้ เนี่ย เราจะย้อนกลับไง ถ้ายังอ้างคนโน้นอ้างคนนี้อยู่เนี่ย แล้วคนที่อ้างน่ะ มีคุณภาพอย่างใด คนที่อ้างคนโน้นอ้างคนนี้อ้างเห็นมั้ย อ้างเล่ห์ไม่ได้ ธรรมะนี้ไม่อ้างเล่ห์ ธรรมะนี้จะออกมาจากใจ ถ้าธรรมะที่ออกมาจากใจ เหตุและผลที่ออกมานั้นจึงจะเป็นความจริง
ฉะนั้นเวลาพูดกันน่ะ พูดกันด้วยเหตุและผล เหตุและผลที่ออกมาจากใจนั้น แล้วถ้ามันธรรมะสากัจฉา ในเมื่อสนทนาธรรมกันแล้วน่ะ มันแตกต่างหลากหลาย มันแตกต่างอย่างใด คำว่าแตกต่าง แตกต่างจากวิธีการนี้แตกต่างได้ แต่ผลนี้มันเหมือนกัน มาถึงที่นี่เนี่ย ดูดิ คนมาแต่ละจังหวัดก็มาคนละทาง แต่ก็มาถึงที่นี่เหมือนกันเห็นมั้ย มาถึงที่นี่ ปฏิบัติธรรมเนี่ย ไม่มีทางหรอกว่า มันจะแตกต่างกันยังโง้น แตกต่างกันยังงี้ แตกต่าง แต่ผลมันอันเดียวกัน ถ้าผลมันอันเดียวกันเนี่ย เวลาพูดออกมามันจะรู้จริง ถ้าแตกต่างนะ ทีนี้ คำว่าแตกต่าง อาจแตกต่างโดยวิธีการ มัน ฟ้ากับเหว เลย ถ้าแตกต่างโดยวิธีการ ฟ้ากับเหวเลย แล้วผลล่ะ ผลมันอันเดียวกัน แล้วมันอันเดียวกันยังไง ฉะนั้นถ้ามันอันเดียวกันนี้มันผิด อันเดียวกันมันผิดเห็นมั้ย วิธีการน่ะ ดูดิ คนจะมาที่นี่นะ แล้วก็ไปออกเส้นพหลโยธินนะ ออกไปเรื่อย มันจะเข้าเพชรเกษมได้มั้ย มันเป็นไปไม่ได้หรอก เส้นที่มาที่นี่เพชรเกษมนะ แต่ถ้าไปโผล่พหลโยธินล่ะมันไปไหนน่ะ มันก็ไปอีสานน่ะสิ นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติน่ะ จะเป็นยังงั้น
เนี่ย คำพูดเนี่ยที่เราค้านอยู่มันค้านตรงนี้ไง ค้านว่า ทำสมาธิยังไง ถ้าจิตไม่สงบ มันจะเกิดปัญญายังไง ถ้าจิตมันสงบขึ้นมาปัญญาที่มันเกิดขึ้นน่ะ มันเป็นยังไง โยมกินข้าวจบเมื่อกี้เนี่ย โยมไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไงเลยเนี่ย เราต้องจับโยมทั้งหมดไปหาหมอ สงสัยพวกนี้ผิดปกติ ถ้านี่วิธีปฏิบัติก็เหมือนกัน เอ้า เอ็งจะเป็นยังไงก็แล้วแต่เอ็งก็บอกมาดิเป็นยังไง บอกมาสิ บอกมาว่าเป็นยังไง บอกมาว่าทำยังไง เราไม่เคยพูดเรื่องอื่นเลย เราพูดแต่ตรงนี้ เราพูดแต่ แต่ข้อเท็จจริงนี้ เรื่องตัวบุคคลนี้เราไม่สนใจใครเลย เพราะพระอย่างนี้ มันมีมาในสมัยพุทธกาลแล้ว สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าบัญญัติ บัญญัติวินัยข้อไหนแล้วแต่ ชาภัคคีเนี่ย ทำให้วุ่นวายไปหมดเลย ชาภัคคีเนี่ย เป็นพระดื้อมาบวชในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าบัญญัติอะไรก็แล้วแต่ ชาภัคคีจะออกนอกลู่นอกทางไปหมด เนี่ย มันมีอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แล้วมันจะมีต่อไป
ฉะนั้น เราไม่เอาตัวบุคคลมาเป็นตัวตั้ง แต่เราเอาข้อเท็จจริงเป็นตัวตั้ง ถ้าเอาข้อเท็จจริงเป็นตัวตั้ง เพราะข้อเท็จจริงนี้ บุคคลที่ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติตามข้อเท็จจริงนั้น ฉะนั้น ข้อเท็จจริงนี้มันจะกรองบุคคล กรองบุคคลแล้วบุคคลปฏิบัติถูกหรือผิด ถ้ากรองบุคคลปฏิบัติถูกหรือผิด บุคคลคนนั้นจะได้ประโยชน์ไง ที่พูดอยู่นี่ก็พูดเพื่อบุคคลที่เข้ามาประพฤติปฏิบัติ เค้าต้องกรองตัวเค้า เค้ากรองตัวเค้าด้วยสัจจธรรม ถ้าเค้ากรองตัวเค้าด้วยสัจจธรรมเหมือนกับเราทำความสะอาดสิ่งที่สกปรก สิ่งที่พวกเราได้ทำความสะอาดแล้ว สิ่งที่มันสกปรกมันจะสะอาดด้วยวิธีการที่ทำความสะอาด นี่คือข้อเท็จจริง ฉะนั้น พูดถึงข้อเท็จจริง ไม่ต้องอ้างหลวงตา ไม่ต้องอ้างใครเลย มัน เราไม่เคยอ้างเลยนะ ใครบอกว่าลูกศิษย์ใคร ลูกศิษย์ใคร เอ้า ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าไง แล้วเนี่ยคำว่าถ้าหลวงตาท่านรับนั้น มันเป็นความพอใจ ความที่หลวงตาท่านพอใจท่านประทับใจ แล้วไอ้นั่นมันเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ เราไม่มีสิทธิน่ะ เราไม่มีสิทธิน่ะ แต่เราพูดข้อเท็จจริงเนี่ย คำว่า ข้อเท็จจริงเนี่ย ต้องพูดว่าข้อเท็จจริง
โอ้... ถ้าจะอ้างหลวงตานะ เราจะไปเอาคำที่หลวงตาชมๆเราไว้นี่นะ แล้วกูจะขึ้นป้ายหน้าวัดกูเลยนะ เยอะแยะไป ขึ้นหน้าป้ายหน้าวัดกูเลยเนี่ย หลวงตาชมไว้ว่ายังไงเนี่ย สังเกตได้ เราไม่เคยเอาเรื่องนี้มาพูดเลย แล้วก็ไม่เอาเรื่องอย่างนี้ออกมาพูด แล้วไม่เอามาใช้ประโยชน์เลย หลวงตาชมไว้ถ้าเป็นคนอื่นนะ มันต้องขึ้นสักไว้บนหัวกูเลยน่ะ หลวงตาชมอย่างนั้นๆ มันจะสักไว้หน้าผากเลย เราไม่เคยเอามาใช้เลยนะ ท่านพูดเยอะ แล้วพูดชมเนี่ย เยอะ แล้วพูดชมไม่ใช่ธรรมดา เวลาพูดชมคำไหนเนี่ย คำนั้นมัน “ต่อไปมึงจะเป็นหลักที่นั่น ต่อไปจะเป็นคนดีที่นั่น ต่อไปจะเป็น” ท่านพูดอันนี้เพราะอะไรล่ะ เรามีลูกนะ ลูกเราไปออกทำมาหากิน สิ้นเดือนมันก็มาแบมือขอพ่อแม่ เงินไม่พอใช้ สิ้นเดือนมันก็มาแบมือขอพ่อแม่ไม่พอใช้ พ่อแม่คนนั้น ลูกคนนั้นเอาตัวรอดมั้ย ลูกคนไหนไม่ออกไป ... ออกไปทำงาน ถึงเวลาสิ้นเดือน มันเอาเงินมาให้พ่อแม่มัน หนูเหลือเฟือ หนูใช้ไม่หมด พ่อแม่คนนั้นจะมั่นใจกับลูกคนนั้นมั้ย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าลูกศิษย์ของเราออกไปประพฤติปฏิบัติแล้วมันทำขึ้นมาแล้วเนี่ย มัน ประเทศไทยน่ะ มันแคบนิดเดียว ทำอะไรนั่นมันมีหูมีตาทะลุหมดน่ะ ประเทศไทยน่ะ ทั่วโลก เดี๋ยวนี้โลกยังแคบเลยอย่าว่าแต่ประเทศไทย เอ็งจะไปมุดอยู่ถ้ำไหนก็แล้วแต่เค้ารู้กันทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น กรณีอย่างนี้ ยิ่งอ้างยิ่งไม่มีประโยชน์หรอก มันไม่มีประโยชน์หรอก ทีนี้ ของกรณีอย่างนี้มันเป็น มันอ้างหลวงตา นี่เค้าพูดมาว่าอ้างหลวงตาว่า ว่าไม่ให้เราพูด ไม่ให้เราพูด เพราะคำว่าอ้างหลวงตานี่มันก็ลอยตัวไง แต่ข้อเท็จจริงนี่มันไม่พูดล่ะ อย่างอื่นไม่มี อย่างอื่นไม่มี แต่ข้อเท็จจริงเนี่ยมันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติกันมาน่ะ คว้าน้ำเหลว คือไม่มีสิ่งใดตกผลึกในหัวใจเลย ถ้ามีสิ่งใดตกผลึกเพราะอะไร เพราะไอ้ที่บอก ปฏิบัติแล้วสบาย สบายเนี่ย มันเป็นกระแส ถ้าเราเข้าไปในสิ่งที่ว่าสบายๆเนี่ย อย่างเช่นที่เงียบ ถ้าเขาไม่กินเนื้อสัตว์ ทุกคนก็บอกว่า เนื้อสัตว์ไม่ดีเลยนะ กินผักอร้อย อร่อย แต่ที่นี่กินเนื้อสัตว์นะ ก็บอกว่า โอ๊ย ผักไม่ดีเลย กินเนื้อสัตว์ อร้อย อร่อย นี่ก็เหมือนกัน พอบอกว่า สบายๆ กูก็สบายๆไปด้วย
ถามจริงๆเถอะ มึงสบายจริงหรือเปล่า มึงสบายจริงมั้ย ถามจริงๆเถอะมึงสบายจริงหรือเปล่า ในเมื่อกิเลสอะนะ มันบีบบี้สีไฟในใจของแต่ละบุคคล คนที่เกิดมาเนี่ย ทุกข์หมดเลย ทุกข์หมดเลย ให้ร่ำรวยขนาดไหน ให้มีคนใช้ ๑๐๐ คน ให้มีคนอุ้มดูแลตลอดเลยนะ มันก็ไม่พอใจมัน ใจเนี่ย ไม่เคยเต็ม ตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่ง ไม่มีวันพอ ไม่มี คนเกิดมาเนี่ย ทุกข์ทั้งนั้น แล้วพอมาปฏิบัตินะ ลูบๆคลำๆแล้ว สบาย โอ๋ ดี๊ดี โอ๋ย ว่างหมดเลย อู๋ย ซะบ๊าย สบาย โอ้โห พูดแต่ปาก! เราไม่เชื่อหรอก เพราะทุกคนที่มาปฏิบัติ คนทุกคนที่เกิดมามีกิเลสหมด แล้วกิเลสตัวไหนนะ มันแค่เอากำหนด ดูมันเฉยๆนะ แล้วมันจะหมอบนอนให้เราตรวจสอบมันน่ะ มึงบอกกูทีว่าที่ไหนมี บอกกูทีกูจะไปปฏิบัติด้วย มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ที่เนี่ย เวลาไม่มีใครพูดใช่มั้ย เพราะอะไร เพราะมันพูดกันไปก็บอกหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ เห็นมั้ย พระเราไม่ควรติเตียนกัน ทุกอย่างไม่ควรติเตียนกัน เราบอกว่า เราไม่ได้พูดถึงตัวบุคคลเลย เราเอาข้อเท็จจริงเนี่ย เอาข้อเท็จจริงเนี่ย ความเป็นจริงมันเป็นไปได้มั้ย ความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ ก็พูดถึงข้อเท็จจริงนั้น เราก็เอาข้อเท็จจริงนี้มาพูดกันสิ เอาข้อเท็จจริงมาพูด มันเป็นไปได้เพราะเหตุใด บอกที บอกที บอกทีดิ๊ว่าดูเฉยๆแล้ว สะดุดนิพพานหัวทิ่มไปเลยเนี่ย บอกที จะทำบ้างว่ะ อยากทำ อยากทำ ดูเฉยๆเนี่ย แล้วสะดุดนิพพานน่ะ หกคะเมนไปเลยเนี่ย บอกทีสิ อยากจะหา มันเป็นไปไม่ได้หรอก หาจนตาย มันก็ไม่เจอ
น้ำใสแล้วจะเห็นตัวปลา คนทำจิตสงบขนาดไหน ใสขนาดไหนนะ ก็ไม่เห็นกิเลส ไม่เห็นหรอก ให้จิตสงบขนาดไหนก็ไม่เห็นกิเลสเพราะสมาธินี้ไม่เกิดปัญญา สมาธิฆ่ากิเลสไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสมาธิ น้ำขุ่นๆ น้ำขุ่นๆเนี่ยมันเป็นน้ำกับตะกอนน่ะ มันเป็นเนื้อเดียวกัน ความคิดโลกๆ ความคิดโดยสามัญสำนึก ความคิดโดยตัณหาความทะยานอยาก ความคิดโดยสัจจะ โดยสัจจะนะ โดยสามัญสำนึกเนี่ย มันอยู่กับเรามาตลอด น้ำใสๆคือตัวจิตแท้ๆเนี่ย มันต้องมีพลังงานของมัน ไอ้ตะกอนนั้น มันก็อยู่ในน้ำนั้นมาตลอด แล้วเวลาเกิดปัญญา ก็เกิดปัญญาโดยตะกอนขุ่นๆอย่างเงี้ย แล้วถ้าใช้ปัญญามากน้อยขนาดไหนแล้วแต่ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิเนี่ย มันก็เกิดจะตกผลึก ตะกอนนี้จะนอนก้น พอมันนอนก้น เป็นน้ำใส น้ำใสขนาดไหนก็คือน้ำ ตะกอนก็คือตะกอน น้ำก็คือน้ำ มันจะอยู่กันอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีวันชำระกันได้ ไม่มีหรอก แต่ถ้าน้ำนั่นใสแล้วเห็นมั้ย พอเรา เราใช้พุทโธๆเนี่ย เป็นปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญาแล้วแต่ ตะกอนมันจะนอนก้น มันจะมีน้ำใส น้ำใสกับน้ำขุ่นแตกต่างกันมั้ย น้ำขุ่นๆ ติดความสามัญสำนึกเนี่ย เราก็อมทุกข์ อมสุขกันอยู่เนี่ย มีสุข มีทุกข์ กึ่งๆดิบๆสุกๆกันอยู่อย่างนี้ มันก็มีมาตลอดใช่มั้ย แล้วเวลาใช้ตรรกะเห็นมั้ย ดูไปดูมาเนี่ย มันสบายใจก็เอ้อ สบาย แต่เดี๋ยวมันก็ไม่สบาย สบายขนาดไหน มันก็ชั่วคราวแป๊ปเดียว ไม่มี มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่บอก สบาย สบาย แล้วจะไม่สบายอีกเลย เป็นไปไม่ได้ มันสบายชั่วคราว แล้วก็ไม่สบาย แล้วก็สบาย แล้วก็ไม่สบาย จะอยู่อย่างงั้นตลอดไป เป็นไปไม่ได้ แต่พอมันน่ะ พอน้ำนั่นใสขึ้นมาเห็นมั้ย น้ำใสจะเห็นตัวปลา ไม่มีทางเห็น เพราะสมาธิฆ่าปัญญาไม่ได้ แต่น้ำใสนี้เป็นประโยชน์มาก เพราะน้ำใส เวลาปลาเนี่ย เราจะเห็นได้ง่ายใช่มั้ย น้ำขุ่นๆ ปลามันอยู่ในน้ำนั่น มันก็จะไหลไปตามน้ำขุ่นนั้น กิเลสตัณหาความทะยานอยากนั้นอยู่ในเราตลอดไป แต่พอน้ำใสขึ้นมาเนี่ยเห็นมั้ย พอน้ำมันใส ปลามันออกมา เราเห็นปลาได้มั้ย ปลามันออกมา มันว่ายมาเนี่ย ปลามันต้องออกมา ปลามันจะอยู่โดยนิ่งๆ อยู่โดยที่มันไม่หายใจ อยู่โดยที่ไม่หาอาหาร เป็นไปไม่ได้
กิเลสของคนน่ะ มันอยู่กับเราเนี่ย มันมีตัณหาความทะยานอยากมันมีความเดือดร้อนของมัน มันต้องโผล่ออกมาแน่นอน กิเลสในใจเราเนี่ย มันมีความอยากของมัน มันต้องแสดงออกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การแสดงออกทางใดก็ทางหนึ่งน่ะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ น้ำใสๆเนี่ย แล้วเราสังเกตดู เพราะหลวงตา ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติเป็นท่านบอกว่า ต้องขุดคุ้ยหากิเลส คนทำสมาธิ ถ้าน้ำใสๆเห็นตัวปลานะ ฤาษีชีไพรสมัยพุทธกาลนะ มันเป็นพระอรหันต์หมดเลย เพราะมันเหาะเหินเดินฟ้าได้จิตมันสงบ น้ำมันใสตลอด แต่เขาไม่ขุดคุ้ยหากิเลสเพราะเขาพอใจในความใสนั้น เขาพอใจในสถานภาพของจิตนั้น เขาพอใจในการที่ว่าจิตนี้มันมีอภิญญาเนี่ย มันเหาะเหินเดินฟ้าได้ มันทายใจได้ เค้าพอใจของเค้า แต่เค้าไม่เห็นปลา เขาไม่เห็นกิเลสไง การขุดคุ้ยหากิเลสเนี่ย มันจะขุดคุ้ยยังไง มันถึงเห็นกิเลส การขุดคุ้ยนะ เนี่ย พิจารณาไป จิต จนเห็นอาการของจิต เพราะความคิดมันไม่ใช่จิต ความคิดเป็นเรามั้ย ความคิดเป็นเรามั้ย ถ้าความคิดเป็นเรานะ เราเนี่ยตายหมดแล้ว เพราะความคิดมันคิดมาแล้วมันหายไป ถ้าความคิดมันหายไป เรามันหายไปแล้วเราก็ต้องตายสิ เนี่ย ความคิดมันเดี๋ยวก็มี เดี๋ยวก็ไป เดี๋ยวความคิดมันก็หายไป ความคิดไม่ใช่จิต เห็นมั้ย เนี่ย พอความคิดมันเกิดขึ้น ความคิดมันเกิดขึ้น เพราะกิเลสน่ะ นะ พอจิตมันใสๆเนี่ย พอจิตมันใส พอน้ำมันใสเนี่ย มันก็ความคิดมันหยุดไป มันมาคิดเองมั้ย ไม่ได้ ถ้าคิดออกมาเนี่ย มันเสวยอารมณ์ ความคิดเนี่ย พอจิตมันเสวยอารมณ์ นี้ ความที่มันเกิดขึ้นมาเนี่ย ความคิดไม่ใช่จิต จิตมันใสๆอยู่พอความคิดน่ะ มันก็จะเขย่าให้ตะกอนนั้นแวบขึ้นมา ถ้าจิตมันทัน มับ จับได้ นี่ไง การขุดคุ้ยหากิเลสนี้เป็นงานอันหนึ่งนะ
อย่าว่าฆ่ากิเลสเลย เอ็งหากิเลสยังหาไม่เจอเลย เอ็งยังไม่รู้กิเลสเป็นยังไงเลย แล้วเอ็งบอกว่า ดู ดูแล้วแม่งสะดุดนิพพานเลย โอ้หัว หัวทิ่มเลย มันมีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหน ถ้าไปหามันเป็นอัตตกิลมถานุโยค แต่ถ้าเดินไปสะดุดมันเลยเนี่ย ของจริง ไม่มีทาง ไม่มีทางเพราะอะไร เพราะจิตนี้เป็นภวาสวะ จิตนี้เป็นภพ จิตนี้มันเป็นสถานที่ของมัน มันไม่มีอะไรไปสะดุดมันหรอก มันไม่มีทางจะเอาอะไรไปสะดุดมัน เพราะมันสิ่งที่ สิ่งที่ออกไปคือ อนุสัย คือสิ่งที่เกิดจากจิต เกิดจากภพ แล้วจะไปสะดุดที่ไหน ในเมื่อเกิดจากมันน่ะ เหมือนกับ เหมือนกับขึ้นไฟฟ้าเนี่ย ออกไปจากพลังงานแล้วเนี่ย มันจะย้อนกลับมั้ย มันก็ขึ้นไฟฟ้ามันก็ออกไปเรื่อยๆ จะกระจายหายไป นี่ก็เหมือนกัน ความคิดเกิดจากจิต เนี่ย แล้วมัน ความคิดออกไปแล้วเนี่ย มันจะกลับมาสะดุดตัวมันมั้ย มันจะกลับมาสะดุดตัวมันมั้ย ไม่มีทางน่ะ มันเป็นไปไม่ได้น่ะ
เนี่ย ข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนี้ นี่ พูดนี่เพราะบอกว่า เขาบอกว่า หลวงตาบอกว่าห้ามพระสงบพูดไง พระสงบไม่ได้พูดนะ ไม่ได้พูด แต่นี่พูด พูดถึงข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงว่าถ้าห้ามกันอย่างนี้นะ มันแบบว่าภาษาเราเนี่ย เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อว่าหลวงตาจะพูดด้วย เราไม่เชื่ออะไรเลย เราว่านี้เป็นการข่าวโคมลอย เห็นมั้ย หลวงตาบอกเนี่ย หมา ใบไม้ไหวก็ ใบไม้ไหวก็เห่าแล้ว นี่เหมือนกัน พอข่าวมาเนี่ยก็เห่าแล้ว เห่าใหญ่เลย เพราะข่าวมันมาว่า ไอ้ เราไม่เชื่อว่าตั้งแต่ว่าหลวงตาพูดแล้ว เราไม่เชื่อ แต่ที่พูดนี้ พูดด้วยเห็นถึงหัวใจของคน หัวใจของคนที่ถ้าเป็นจริงเนี่ย เค้าจะสุภาพบุรุษ เค้าชอบข้อเท็จจริง เค้าพูดกันด้วยเรื่องข้อเท็จจริง แต่ถ้าเป็นเจ้าเล่ห์แสนกลเนี่ย ตัวเองน่ะป้องกันตัวเอง หลบตัวเองเป็นตัวตุ่นน่ะ ขุดดิน ขุดไปในรูเลยนะ แล้วก็กระจายข่าว ให้เป่าลมให้ใบไม้มันไหวข้างบนไง แล้วให้กระต่ายมันตื่นตูมกันไป แต่ตัวเองขุด ตัวตุ่นน่ะ มันขุดลงไปในดินนั่นน่ะ มันไม่กล้าพูดเรื่องตัวเอง ไม่กล้าพูดเรื่องจริง แต่สำหรับเราเห็นมั้ย เราพูดงี้มาตลอด เราพูดมาตลอด เราพูดแล้วบอกว่าข้อเท็จจริง ก็เราต้องการข้อเท็จจริง คือเราต้องการให้สังคมปฏิบัติเนี่ยมันได้ผลจริงๆ ใครปฏิบัตินะ ตามแต่จริตของตัว ตามแต่อำนาจวาสนาของตัว ปฏิบัติเอาบุญกุศลกัน ถ้าปฏิบัติไม่ได้ผล มันก็ปฏิบัติบูชา การปฏิบัติบูชาคือบูชาพระพุทธเจ้าเอาตัวเราเนี่ยบูชาพระพุทธเจ้าเนี่ย มันก็ได้บุญกุศลส่วนหนึ่ง ถ้าได้ข้อเท็จจริงก็ต้องตามข้อเท็จจริงนั้น ถ้าไม่ได้ตามข้อเท็จจริงก็ปฏิบัติบูชาเพื่อบุญกุศล เออ ก็เท่านั้นน่ะ
แต่พอปฏิบัติไปเนี่ย มันจะสะดุดนิพพาน คนนั้นสะดุดกันทีนึง สะดุดสองทีสามทีก็ได้นิพพานเลยเนี่ย อื้อหือ มหายานมันก็เป็นอย่างนึง เซ็นก็เป็นอย่างนึง ก็เข้าใจ เข้าใจกันทั้งนั้นน่ะ เพราะวิธีการสอนของแต่ลัทธิ เพราะไปดูธิเบตสิ มหายานน่ะ เวลาเค้านุ่งห่มเห็นมั้ย ทำไมต้องใช้ผ้าหนาๆ เพราะเค้าอยู่ในที่สูงอากาศมันเย็น อาหารของเค้าเนี่ย ผักเขียวนี้ไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะอุณหภูมิมันเกิดไม่ได้ อุณหภูมิความเป็นอยู่ของเค้า เค้าอยู่อย่างนั้น ในเมื่ออุณหภูมิ ในเมื่ออุณหภูมิของเค้า ความสำคัญของชีวิตของเค้าเป็นอย่างนั้น คำสอนของเค้านะก็เพื่อเข้ากับอุณหภูมิ เข้ากับสังคมอย่างนั้น
ไอ้ของเราเนี่ยนะ พุทธศาสนาในประเทศไทยเนี่ย มันเหมือนในอินเดียเลย มันชมพูทวีป เพราะมีสามฤดู มีมะขามป้อม มีสมอ แหล่งน้ำต่างๆ ในฤดูกาลเนี่ย มันแบบว่าชมพูทวีปกับเมืองไทยเนี่ย อุณหภูมิหรือว่าสังคมมันใกล้เคียงกัน พอใกล้เคียงกันเนี่ย คำสอนอย่างเงี้ยมันสอนโดยเนื้อหาสาระข้อเท็จจริง มันชัดเจนกว่า มันชัดเจนกว่ามันเข้าถึงได้มากกว่า แล้วก็อย่างว่ากันไปหลายๆเรื่องนะ ถ้าพูดไปมันก็มากเรื่อง ฉะนั้นจึงบอกว่า มันเป็นอกาลิโก สิ่งนี้ มันเป็นสัจจธรรม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ครูบาอาจารย์ สาธุ ท่านเป็นศากยบุตร พุทธชิโนรส เป็นโอรสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศากยบุตร เป็นผู้เผยแผ่ธรรมะ เป็นผู้เป็นครูบาอาจารย์ของพวกเรา เป็นผู้สั่งสอนพวกเรา เราเกิดมาพบท่านเห็นมั้ย เกิดมาพบที่สมณะเห็นมั้ย สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นมงคลชีวิต เราเกิดมาพบท่าน ท่านเป็นมงคลชีวิตของเรา เรานับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรา เราเคารพท่านด้วยหัวใจ เราไม่เอาตัวท่านเอาชื่อเสียงศักยภาพของท่านมาหาผลประโยชน์หรอก
ฉะนั้น เราไม่ใช่พูดว่า พอบอกหลวงตามา โทรศัพท์มาสั่งมาเสียเราต่างๆเนี่ย เราไม่คิดตรงนั้น เราสาธุ เราสาธุ เราเคารพครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ของเรา แต่สิ่งที่เราเอามาพูดน่ะ เราเอามาพูดในทำนองที่ว่า เค้าเอาสิ่งที่เราเชื่อถือศรัทธา เอามาเป็นผลประโยชน์ของการขยายความ เพื่อประโยชน์ของเขา เค้าาเอาสิ่งนี้มาเป็นเพื่อประโยชน์ของเขา แต่ของเรา เราเคารพครูบาอาจารย์ของเราไว้เศียรเกล้า ไว้เคารพบูชา ไว้ประพฤติปฏิบัติเพื่อเรา นี่ ที่พูด พูดเพื่อเหตุนี้ ไม่ใช่พูดเพราะว่าเห็นเขาพูดแล้วอยากจะพูด อยากจะดัง อยากจะพูด พูดเพื่อเอาชนะคะคานกัน ไม่ใช่ เราสังเวช สังเวชที่ครูบาอาจารย์ของเราเนี่ย เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของสังคมไทย ก็จะเอาศักยภาพของครูบาอาจารย์ที่เขาเชื่อถือศรัทธากันเนี่ย มาบอกว่าสั่งพระสงบอย่างนั้นๆ ทั้งๆที่มันไม่เป็นความจริง เป็นความจริงไปไม่ได้ เพราะ เพราะหลวงตาท่านไม่เคยจับโทรศัพท์! หลวงตาไม่เคยโทรศัพท์ไปหาใครหรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะว่าเราเคยอยู่กับท่าน เรารู้นิสัยท่าน เราอยู่กับข้างๆท่าน แล้วเอ็งเป็นใคร เอ็งมาจากไหน เอ็งเป็นคนนอก แล้วเอ็งเอาเรื่องของท่านน่ะ มาพูดมากระจายข่าวกันน่ะ มันเป็นเรื่องหาผลประโยชน์กันจากชื่อเสียงศักยภาพของท่าน มันเป็น มันเป็น เราพูดออกมาเนี่ย เราพูดไม่ใช่พูดเพราะตื่นข่าวนะ ไม่ใช่พูดเพราะ โอ๋ เค้าพูดแล้วแหมจะตื่นเต้นไปนะ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่นิสัยหรือศักยภาพของหลวงตาท่านจะทำอย่างนั้น แล้วถ้าเป็นจริงน่ะ ดูสิท่านพูดประจำนะ พูดถึง หลวงปู่ลี น่ะ เพราะหลวงปู่ลีน่ะ ต้องช่วย ออกมาช่วยสิ หลวงปู่ลีต้องช่วยกันหน่อย ต้องออกมาช่วย คือคนมีศักยภาพ ออกมาช่วยเพื่อมาช่วยสังคม เพื่อมาเป็นคอยชี้นำสังคม ให้สังคมมันถามมา เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง ท่านยังออกมาช่วยเลย แล้วท่านพูดกันเป็นภายใน ไม่ใช่ว่าท่านทำสำเร็จแล้วท่านมีที่พึ่งจริงแล้ว ท่านจะเก็บตัวอยู่อย่างนี้ไม่ได้ นี่หลวงตาท่านพูดน่ะ ท่านทำของท่านได้จริงแล้วท่านต้องออกมาเพื่อสังคมด้วย นี่ เวลาท่านพูดนะ อย่าไปพูดกันส่วนตัว ไม่มาพูดอย่างนี้หรอก
แต่นี้เค้าเอามาพูด เพื่อจะ เพื่อเป็นศักยภาพของเขา เพื่อให้เห็นว่า เพราะพวกเราเนี่ย เราก็เชื่อถือศรัทธาครูบาอาจารย์เราแล้ว ถ้าฟังอย่างนั้น เท่ากับว่า อืม ใช่ แล้วเราก็เลยแบนแต๊ดแต๋เลย เราก็โดนบี้เลย ไอ้นี่พูดถึงสังคม นี่พูดถึงสังคม คำว่ามันเป็นกระแสสังคมนะ แต่ใจเรา เราไม่เชื่อหนึ่ง แล้วไม่หวั่นไหวหนึ่ง แต่พูดนี้ พูดจะบอกว่าเค้าจะพูดอะไรออกมาก็แล้วแต่เพื่อประโยชน์ของเขา แต่เราเนี่ยมีข้อมูลของเรา แล้วเราเนี่ย เราก็ไม่เชื่อสิ่งที่เค้าพูด เราถึงบอกว่า เค้าเป็นตุ่น เป็นตุ่น เป็นแตนที่หลบเลี่ยงเอาตัวรอดอยู่ในใต้ดินแล้วปล่อยกระแสออกมาเพื่อให้สังคมปั่นป่วน ที่พูดนี้ เราพูดเพื่อสังคม พูดเพื่อความเข้าใจ ไม่ใช่ให้ใครเจ็บ ใครก็แล้วแต่จะมาจุดกระแสยังไงก็ได้ ไม่ใช่ เว้นไว้แต่สังคม เช่น ครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปแล้ว แล้วจะพวกเราที่อยู่ในแวดวงของท่าน เคยเห็นจริตนิสัยของท่าน ไม่อยู่แล้วเนี่ยเค้าจะพูดยังไงก็อีกเรื่องหนึ่ง เช่น เราจะพูดสมัยพุทธกาลสองพันกว่าปีเนี่ยใครจะพูดอะไรก็ได้ เพราะไม่มีใครยืนยันน่ะ นี่เหมือนกัน ถ้าพวกเราหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว เค้าจะพูดมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่ใช่
ตอนนี้หลวงตาก็ยังอยู่ ลูกศิษย์ลูกหาของท่านก็ยังอยู่ แล้วพูดพล่อยๆอย่างเงี้ย
มีศีลหรือเปล่า?
มีศีลจริงเหรอ?
เป็นพระจริงเหรอ? เอวัง
จะมีอะไรมั้ย เดี๋ยวจะหาว่าเวลาให้พูดแล้วไม่กล้าพูด
โยม: ขออนุญาตกราบถามคราวที่แล้วที่ท่านพูดถึงว่าไม้ผุเป็นอนัตตามั้ยเจ้าค่ะ ตอนนั้นไม่เข้าใจ ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ
หลวงพ่อ: ว่าไป
โยม: คือท่านชี้ว่าไม้ผุเนี่ยเป็นอนัตตามั้ยเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ: ใช่
โยม: แล้วตรงนี้ไม่เข้าใจเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ: เราอธิบายเอง เราอธิบายตรงนี้แหละ เราอธิบายว่า เค้าบอกว่า สรรพสิ่งก็เป็นอนัตตา เห็นมั้ย มันเป็นอนัตตาอยู่แล้ว ทุกสิ่งเป็นอนัตตาอยู่แล้วแต่เราไม่รู้ไม่เห็นเอง จริงมั้ย เนี่ยคำสอนเค้าน่ะแหละ อะไรก็เป็นอนัตตา มันเป็นอนัตตาอยู่แล้ว แค่รู้เท่ามันก็จบ เราก็เลยถามเค้า ไม้ผุๆนี้เป็นอนัตตามั้ย อุณหภูมิความร้อนเนี่ยเป็นอนัตตามั้ย อะ เราถามโยมต่างหาก ทีนี้พอถามโยมแล้วเนี่ย โยมกลับมาถามเราว่า ไม้ผุเป็นอนัตตามั้ย ไม้ผุๆเนี่ย ไม้มันผุเนี่ย มันย่อยสลาย คำว่าอนัตตาน่ะ คือว่ามันถ้าเป็นไตรลักษณ์ใช่มั้ย มันมีอนิจจัง ความที่เป็นอนิจจังเนี่ย มันจะเป็นทุกข์ ความทุกข์เนี่ยจะเป็นอนัตตา ไตรลักษณะ ถ้าจิตมันเห็นไตรลักษณะแล้วเนี่ย มันจะปล่อยวางเพราะการเห็นไตรลักษณะ ฉะนั้นจิตมันเห็นไตรลักษณะอย่างเช่นที่เราทำความสงบของใจกันอยู่เนี่ย มันเป็นอนิจจังมั้ย มันเป็นอนิจจัง เค้าบอกว่าสมาธิเนี่ย เค้าสอนกันเองนะ ว่า สมาธิเนี่ย ก็เป็น ก็เป็นอนัตตา สติก็เป็นอนัตตา สมาธิก็เป็นอนัตตา ทุกอย่างก็เป็นอนัตตาอยู่แล้วไม่ต้องทำมาเพิ่มเพราะเป็นอนัตตาอยู่แล้ว
พ่อมึงน่ะ!
สมาธิก็เป็นอนัตตาเหรอ สมาธิเป็นอนิจจัง! เพราะมันไม่คงที่ใช่มั้ย สติเป็นอะไรสติอะ ตัวสติเป็นอนัตตาเหรอ ตัวสตินะ เราจะบอกว่า เราจะพูดว่าสติกับสมาธิน่ะเราพูดเหมือนธาตุเลย ธาตุคือวัตถุ วัตถุเนี่ยมันไม่มีชีวิต สมาธิเนี่ย มันไม่มี สำหรับถ้าใครไม่ทำขึ้นมา ในตำรา สมาธิก็เป็นตัวหนังสือ ส.เสือ ม.ม้า สระ อา ธ.ธง สระอิ สมาธินั่นมันชื่อ ไม่มีตัว ไม่มีข้อเท็จจริง นี่พอข้อเท็จจริงเกิดจากการกระทำของเรา สมาธิเนี่ยเกิดจากการกระทำของเรา ถ้าจิตเราสงบ จิตเราปล่อยวางเนี่ยเป็นสมาธิขึ้นมั้ย แล้วตัวมันเราบอกว่า สมาธินี้เป็นวัตถุอันหนึ่ง เพราะตัวสมาธินี้เป็นวัตถุอันหนึ่ง มันเป็นอนัตตามั้ย ไม่เป็น เป็นมั้ย สติเป็นอนัตตามั้ย ฉะนั้น เราถึงย้อนกลับมาไงเพราะเค้า คำสอนเค้าน่ะ เค้าจะบอกว่า มันเป็นอนัตตา สติก็เป็นอนัตตา สมาธิ สติก็เป็นอนัตตา สมาธิก็เป็นอนัตตาแสดงว่าไม่ต้องทำใช่มั้ย เพราะว่ามันเป็นอนัตตาแล้วน่ะ ถ้าไม่ต้องทำนะก็ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มี อย่างเช่นบอกว่า เงินเนี่ย เป็นอนัตตา แบงค์นี้เป็นอนัตตาใช่มั้ย มันไม่มีตัวมันเองใช่มั้ย เราก็นั่งอยู่นี่ เราไม่ทำงาน เพราะมันเราไม่ต้องหาตังค์ไง เพราะมันเป็นอนัตตามันไม่มี ทำไมเราทำงานล่ะ เราหาเงินน่ะ เป็นอนัตตามั้ย
ฉะนั้นเราบอกว่า สติ สมาธิ ไม่ใช่อนัตตา ปัญญา ก็ไม่ใช่อนัตตา ฉะนั้นเราถึงย้อนกลับมาไง เรายกให้เห็นชัดๆว่าไม้ผุๆเนี่ยเป็นอนัตตาหรือเปล่า เราจะปฏิเสธคำว่าอนัตตาของเค้าไง เค้าคำหนึ่งก็อนัตตา สองคำก็อนัตตา แล้วอะไรเป็นอนัตตาวะ! คนจะเห็นอนัตตาโดยความสมบูรณ์แบบของมันคือพระโสดาบันนะเว้ย! ขบวนการของอนัตตามันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ขบวนการของอนัตตามันจะเกิดขึ้นมันต้องมีจิต มีจิต พอจิตมันรู้มันเห็นของมัน ถ้าไม่มีจิตนะ มันก็เหมือนกับสสารแปรสภาพใช่มั้ย แล้วมีใครไม่รู้ นึกไปดูในป่าสิ ไม้ล้มอยู่เนี่ย มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเนี่ย มันเป็นอนัตตามั้ย มันเป็นอนัตตาหรือเปล่า มันเป็นธรรมชาติ มันเป็น มันเป็นธรรมชาติเป็นสภาวะแวดล้อมที่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นี่ไง เพราะมีประเด็นอย่างงี้ไงถึงบอกธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาตินะ ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาตินะ โยมเนี่ยเป็นพระอรหันต์หมดเลย เพราะโยมเกิดมาจากธรรมชาติ การเกิดการตายเป็นธรรมชาติมั้ย การเกิดการตายเป็นธรรมชาติอันหนึ่งมั้ย เป็นธรรมะมั้ย แล้วโยมก็ได้มันมาแล้วอะ เป็นพระอรหันต์กันหรือยัง เป็นพระอรหันต์กันหรือยังล่ะ ก็ธรรมะเป็นธรรมชาติไง เอ้าก็เกิดมาธรรมชาติน่ะ ก็เกิดมาแล้วก็ได้ธรรมชาติมาแล้วน่ะ ทำไมไม่เป็นพระอรหันต์ล่ะ?
เค้าบอกธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติสรรพสิ่งเป็นธรรมชาติธรรมดาต่อเมื่อจิตนั้นเป็นพระอรหันต์แล้วพูด แต่พวกเราเนี่ย ปุถุชนน่ะ พูดอย่างงั้นไม่ได้ เหมือนกับเราเนี่ยไม่มีตังค์เลย ตังค์ไม่ดี ก็กูไม่มีน่ะ แต่ถ้าเรามีเงินนะ มหาศาลเลย ตังค์นี้ไม่ดีมันเป็นโทษนะ แล้วเรามาแจกคนอื่น โอ้โห สุดยอดเลย แต่เรานี่ไม่มีตังค์เลย ตังค์ไม่ดี อสรพิษ ไม่หา ไม่เอา ตังค์ไม่ดี แต่กับเราเนี่ย เงินทองเค้ามหาศาลเลย ตังค์เก็บไว้เป็นภาระแจก แตกต่างกันมั้ย ฉะนั้นเราบอกว่าเขาบอกธรรมะเป็นธรรมชาติ เราถึงบอกว่า ชิงสุกก่อนห่าม รู้ก่อนขาย มันก็เลยเป็นโทษอย่างงี้ไง ฉะนั้นเราถึงบอกว่า คำว่าเป็นอนัตตา อนัตตา ??? เนี่ย ไม้ผุเป็นอนัตตามั้ย เพราะไม้เนี่ย มันผุ มันมีสารอินทรีย์ย่อยสลายตัวมันเอง มันเป็นอนัตตามั้ย เราเอาไม้ผุเนี่ยเพราะมันเห็นชัดๆไง เห็นชัดๆว่าไม้เนี่ย มันผุ มันย่อยสลายตัวมันเอง แล้วบอกเนี่ยเป็นอนัตตา มันเป็นสภาวะ มันเป็นอะไรนะ เป็นการย่อยสลายโดยธรรมชาตินะ แต่มันเป็น ไม่เป็น คำว่าอนัตตาเนี่ยนะ เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า คือมีสิ่งมีชีวิต คือจิตรับรู้ จิตเห็นสภาวะการเปลี่ยนแปลง จิตเห็นโทษของมัน จิตนี้มีปลงธรรมสังเวช จิตนี้มันมีความกระเทือนใจ จิตนี้มันมีความสำรอก จิตนี้มีการกระเทือน นี้ สภาวะอนัตตามันสำรอกตัวมันเองเพราะมันรู้มันเห็นสภาวะ นี่ธรรมที่เป็นสัจจธรรม มันเป็นผล มรรคผลในใจไง มันถึงได้เป็นอนัตตา อนัตตาเพราะอะไร อนัตตาเพราะผู้รู้ผู้เห็นน่ะมันรู้ อนัตตาเพราะมันมีผู้รู้ผู้เห็นมีเจ้าของมีการกระทำมีมรรคมีผล มีผู้ได้เหตุได้ผลนั้นไง พระพุทธเจ้าต้อง พระพุทธเจ้าปรารถนาตรงนี้นะ ปรารถนาตรงที่จิตรู้จิตเห็นจิตต่างๆน่ะ เค้าก็บอกว่า อ้าว ก็รู้เห็น ก็ดูอยู่ ก็เห็นไง เห็นโดยการสร้างภาพ
ที่เขารู้เขาเห็นน่ะ เขาเห็นโดยการสร้างภาพเพราะจิตมันไม่เป็นไป จิตมันไม่เป็นไปเพราะจิตมันไม่เป็นเอกภาพ จิตมันไม่หด ไม่เข้ามาในตัวของมันเองไง จิตมันเหมือน จิตมัน น้ำขุ่นน่ะ น้ำมีตะกอนน่ะ จิตไม่เป็นเอกภาพ ตะกอนนั้นคือกิเลส แต่มันมีความรู้สึก กิเลสกับจิตมันอยู่ด้วยกัน พอกิเลสกับจิตอยู่ด้วยกันมันออกรู้ออกเห็น พอมันออกรู้ออกเห็นมันก็รู้เห็นโดยธรรมะพระพุทธเจ้าเพราะมันจำได้ พอมันจำได้ มันก็สร้างภาพอย่างนั้น พอสร้างอย่างนั้น อ้อ ใช่ เนี่ย เนี่ย สติมันเป็นอนัตตา โอย สมาธิเป็นอนัตตา ปวดหัว กูปวดหัว
เพราะกูปฏิบัติมาไม่เป็นอย่างนี้โว้ย!
สมาธิมันจะเป็นอนัตตาได้ยังไงเพราะกูสร้างสมาธิแล้วกูทำสมาธิเกือบเป็นเกือบตายกูไม่รู้อัตตาเป็นยังไงน่ะ มันจะรู้ เสื่อม เสื่อมแล้วก็เจริญ อยู่กับตัวเนี่ย มันเจริญแล้วก็เสื่อม เสื่อมแล้วก็เจริญอยู่อย่างอย่างงี้ ไม่รู้อนัตตาเป็นยังไง แต่พอมัน มันมีหลักมีเกณฑ์ของมันนะ พอมันจับจิตจับอาการของจิตได้จับขันธ์ได้ วิปัสสนาของมันได้นะ เนี่ย วิปัสสนาไป เนี่ย เนี่ย มันเริ่มเป็นอนัตตา มันเริ่ม เริ่มย่อยสลายเห็นมั้ย มันปล่อย ปล่อยเป็นตทังคปหาน ปล่อยๆ พอมันขาด พับ! อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้นี่หว่า มันเป็นอย่างนี่หว่า อ๋อยังไงล่ะ อ๋อยังไง เดี๋ยวมึงก็อ๋อ กูก็อ๋อกันอยู่นี่น่ะมึง เพลงใหม่ออกแล้ว อ๋อๆๆเลยล่ะมึง จะมีเพลงใหม่นะ เพลงที่แล้ว เปิดไปแล้ว สบายๆ ไอ้เบิร์ดมันร้องใช่มั้ย เพลงต่อไปกูจะแต่งเอง อ๋อ อ๋อ อ๋อ เลยล่ะ คนไม่เป็นมันก็ไม่เป็นอยู่วันยังค่ำน่ะ
ทีนี้คำว่าเราบอกว่าที่มันไม่ มันเป็นอนัตตามั้ยเนี่ย เราจะบอกให้โยมเห็นโทษของมันว่า ถ้าสิ่งใดยังไม่รู้แจ้งไม่รู้จริงเนี่ย อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าเราบอกว่าเป็นอนัตตา เราก็เข้าใจตามอนัตตาแล้วเนี่ย มันก็สิ้นกระบวนการของพระพุทธเจ้าสอนแล้วไง แล้วจะทำอะไรต่อไปล่ะ ก็อนัตตากูก็รู้แล้วน่ะ อะไรกูก็รู้แล้วน่ะ แล้วกูได้อะไรล่ะ ก็ได้โง่ไง ได้โง่ ดับเบิ้ลโง่ น่ะ มีอะไรอีก มีอีกมั้ย เอามาสิ เออ เวลาให้พูดล่ะไม่พูด เอาเลย
โยม: หลวงพ่อ อยากถามว่า จิตกับใจมันเหมือนกับมั้ยคะ
หลวงพ่อ: ภาษาเรานะ ถ้าภาษากรรมฐานเราเนี่ย เหมือนกัน แต่ในปริยัติเค้าว่าไม่เหมือนกัน จิตมันเป็นสภาพจิต ใจมันออกรู้ไงเนี่ย เค้าบอกว่ามันมีความรับรู้ เราดูตำราอยู่ ตำราว่าจิตมีสภาพแบบนี้ ใจมีสภาพแบบนี้ ถ้ามันจิตเฉยๆเค้าว่ามันเป็นจิตยังงี้ ใจสภาพออกรู้แล้วมันมีส่วนผสมอย่างที่พูดเมื่อกี้เนี่ย นี่ เค้าพูดเป็นไอ้นั่น เป็นกรณีอย่างนี้มันจะเข้าสู่อภิธรรม ถ้าอภิธรรมเนี่ยเค้าจะบอกเลย จิตสภาพแบบนี้ เนี่ย นี่เรียกใจนะ ใจออกรู้ว่าเป็นใจ ถ้าจิตดูไปธรรมดามันจะเรียกจิต แต่ถ้าเป็นกรรมฐานเราเนี่ยเพื่อความชัดเจนเนี่ย จิตกับใจน่ะ ใช้แทนกันได้ ใจก็ใจเรา ใจของเรา จิตของเรา มันก็อยู่กับเราเนี่ย มันแทนกันได้ไง เพื่อไม่ให้การฟั่นเฝือ แล้วพอเราภาวนาเข้าไปเราจะรู้เลย จิตกับใจเป็นยังไง เพราะว่าอย่างใจ เจตสิกเห็นมั้ย เจตสิกคือมันมีรับ เนี่ย เวลาเราพูดเนี่ย เสียงมากระทบเค้าเรียกเจตสิก คือรับรู้เข้ามา เจตนา เจตนามันส่งออกเห็นมั้ย เจตนาเราต้องคิดใช่มั้ย เราถึงมีเจตนาอยากจะทำอะไร ใช่มั้ย เราตั้งใจทำอะไรนี้คือเจตนาใช่มั้ย เห็นมั้ย เจตสิก เจตสิกคือการรับเข้า การรับเข้าสู่จิต เจตนาคือส่งออกมาจากมัน เนี่ย เวลาปฏิบัติไปเนี่ย พอๆนี่เราพูดเรื่องอาการก่อนนะ พออาการอย่างนี้ปั๊ป ทางอภิธรรมเค้าบอกเลย จิต ๑๐๘ ดวง ถ้าเจตสิกนี้เป็นดวงหนึ่ง เจตนานี้เป็นดวงหนึ่ง ตัวใจเป็นดวงหนึ่ง รวม ๑๐๘ ดวง
แต่ถ้าเป็นกรรมฐานเรานะ หนึ่งเดียว ขณะที่รับรู้เจตสิกก็หนึ่งเดียว รับรู้เข้ามา แล้วมันก็รับรู้ไปถึงใจใช่มั้ย แล้วถ้ามันเจตนาออกไปมันก็ออกไปหนึ่งเดียวเหมือนกัน มันได้หนึ่งตลอดไง หนึ่งคือรับรู้อารมณ์ได้หนึ่งตลอด ถ้าภาวนานะ ถ้าภาวนากรรมฐานเราจะรู้ว่า หนึ่ง ๆๆๆๆ แต่ถ้าเป็นในอภิธรรมนะ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ มันวนไง แล้วเค้าบอกว่า ๑๐๘ ดวง ๑๐๘ ดวงกูก็ยอมรับ ๑๐๘ ดวง แต่ถ้าเป็นสมาธิ หนึ่งเดียวโว้ย! ถ้าเป็นสมาธิ จิตมันเป็นหนึ่ง พอจิตเป็นหนึ่ง จิตออกทำงาน ทำงานยังไง มันต้องมีสติพร้อมไปเห็นมั้ย เนี่ย ถ้าปฏิบัติไปเนี่ย เค้าจะบอกว่า ๑๐๘ ดวงใช่มั้ย เค้าอธิบาย ใช่ กูก็ว่าใช่ แต่มันเป็นกิริยาที่สืบต่อกัน มันเป็นการสืบต่อกัน เราก็รู้เราก็เห็นได้ เอ้า ของที่มันสืบต่อมาเนี่ย แล้วเราเป็นหนึ่งมาตลอด เราก็เห็นตลอดเนี่ย เราไม่เห็นว่ามันสืบต่อกันมาเหรอ เราก็เห็น แต่ถ้าเห็นอย่างนี้ เค้าเรียก อดีต อนาคต เห็นมั้ย ที่ว่ามันไม่เป็นปัจจุบันที่แก้กิเลสไม่ได้ กูก็รู้ มึงน่ะ ต่างหาก ไม่รู้ มึงจะ ๑๐๘ ดวง มึงก็ต้องเรียงกัน ๑๐๘ เข้า ๑๐๘ ออก อยู่นั่นน่ะ ไอ้กูแม่งไม่เอา หนึ่งๆๆๆๆ มันจะอยู่ตรง ๑๐๘ มันก็เป็นหนึ่ง มันอยู่ตรงที่ ๙๙ ก็เป็นหนึ่ง เพราะมันหนึ่งที่ ๙๙ เพราะเป็นหนึ่งที่ตรง ๑๐ ก็เป็นหนึ่ง เห็นมั้ย แต่ถ้าเป็น ๑๐ ต้องเป็น๑๐ ถ้า ๙๙ มันก็ เห็นมั้ย ย้อนไปย้อนมา มัน ยังไม่ปฏิบัติเอ็งยังไม่รู้หรอกว่าจิตมันเร็วแค่ไหน พอจิตมันเร็วแค่ไหนแล้วความรู้สึกความคิดมันเร็วแค่ไหน แล้วก็ นี่ก็ปัจจุบัน ปัจจุบันทำไมจะไม่ใช่ปัจจุบันน่ะ ก็กูคิดเมื่อวานนี้ กูก็ทำเดี๋ยวนี้ ก็ปัจจุบันเว้ย กูคิดมันตั้งแต่เมื่อวานใช่มั้ย จะไปใส่บาตร
เช้าขึ้นมาก็ทำอาหารมาเลย พอไปใส่บาตร นี่ก็ปัจจุบันไง คิดมาตั้งแต่เมื่อวาน มันยังเป็นปัจจุบันของมันอยู่เลย
เนี่ย เวลาเค้า จิตของคน วุฒิภาวะมันอ่อนนะ เค้าว่าเค้าคิดดีคิดถูกมาหมดล่ะ แต่พอภาวนาเข้าไปนะ โอ้โห เนี่ย บุคคล ๘ จำพวกไง จิตนี้ หนึ่งเดียว แต่มันพัฒนาเป็น โสดาบัน เห็นมั้ย โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล อนาคามรรค อนาคาผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันก็หนึ่งเดียวน่ะแหละ แต่เป็น ๘ ระดับ ทีนี้ ๘ ระดับเนี่ย แสดงว่า บุคคล ๘ จำพวก หมายถึงจิตอยู่ในระดับไหน ก็คนเดียวนั่นแหละ นี่พระพุทธเจ้าพูดไว้นะ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ ตรงนี้งงตาย แต่ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ไม่เห็นเป็นพระพุทธเจ้าอีกเพราะอะไร เพราะถ้าจิตหนึ่งเดียวก็ปุถุชน แต่เวลามันเปลี่ยนไปเป็นโสดาปัตติมรรคก็รู้นี่ เพราะระดับของจิตมันยกขึ้น ระดับของจิตยกขึ้นนะ ถ้าไม่ยกขึ้น โสดาปัตติมรรค กับ ปัญญาอบรมสมาธิ แตกต่างกันยังไง ปัญญาอบรมสมาธิคือปัญญาปุถุชนเราเนี่ย อย่างนั้นพอเราคิดเรื่องมรรคเราก็เป็นโสดาปัตติมรรคหมดสิ เอ้า โยมคิดเรื่องมรรคเลย งานชอบ เพียรชอบ ความคิดชอบ ชอบหมดเลย เป็นโสดาปัตติมรรคมั้ย มันไม่ใช่โสดาปัตติมรรคเพราะอะไรรู้มั้ย มันไม่ได้โสดาปัตติมรรคเหมือนนักโทษเนี่ย เราไม่ได้จำเลยขึ้นมาเนี่ย เราจะฟ้องใคร เราไม่ได้ผู้ทำความเสียหายมาเนี่ย เราจะไปฟ้องใคร ผมฟ้องนาย ก. มันโกงผมไปห้าล้าน มันอยู่ไหน มันยังหนีอยู่ ผมฟ้อง แล้วฟ้องนาย ก. แล้วนาย ก. อยู่ไหน มันยังหนีอยู่ แล้วนาย ก. เข้าคุกได้มั้ย นี่ความคิดปุถุชนไง
แต่ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรคเนี่ย ผมฟ้อง นาย ก. นาย ก. อยู่ในมือนี่ไง เนี่ย ไอ้เนี่ย ไอ้ ก. เนี่ย มันอยู่นี่ เนี่ยๆๆๆ เนี่ย โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล นาย ก. มันทำผิด เอานาย ก. เข้าคุก ศาลตัดสิน โชะ โดยอริยสัจ โดยความจริง ตัดสินเลย ไอ้ ก. มันผิด เข้าคุก โสดาปัตติผล เปลี่ยนไปเป็นมรรคเป็นผลไปเลย มันมีของมัน ฉะนั้นที่ว่า กี่ดวงๆน่ะ โอ๊ย ไอ้ตรงนี้เค้าถากถางเราเยอะ ไอ้กี่ดวงๆเนี่ย ถากถางเยอะมาก แต่ถากถางยังไงก็ให้ถากไปเถอะ เพราะมึงถากไม่โดนกูหรอก กูนั่งอยู่เนี่ย เหอะๆๆๆ เอ็งถากอยู่โน่นไกลกูชิบหายเลย ร้อยกิโล ถากไปเลย ถากไปเถอะ ไม่โดนกูหรอก เฮอะๆๆ อ้าว จิต ฉะนั้น จิตกับใจ มันใช้แทนกันได้ ใช้แทนกันหมายถึงว่า ในเมื่อเราไม่ได้ฟั่นเฝือน แล้วเราจากการกระทำเราจับต้องอย่างงี้ แต่พอเราเข้าไปรู้ไปเห็นเข้านะ ถ้าบอกว่ามันเป็นบาลีเนี่ย มันละเอียดกว่านี้ ฉะนั้นบางอย่างเนี่ย อย่างที่ว่าเราพูดน่ะมันความรู้มันรู้สึก แต่มันพูดออกมาไม่ทัน คือมันเวลาพูดมันน่ะ ต้องสมมติไง เราจะบอกว่านี่สีแดงเนี่ย เรานึกเรื่องสีได้นะ แต่สีแดงมันเป็นยังไงว้า โห กว่าจะคิดได้นะ ห้าปี อย่างเงี้ย พูดไม่ทัน มันรับรู้อยู่แล้วไง คำว่าสีแดงเนี่ย เพราะสีแดงเนี่ย ทุกคนรู้ว่าสีแดงมันคืออะไรใช่มั้ย ถ้าเราพูดสีผิดน่ะ ความหมายจะเพี้ยนไปเลย ฉะนั้นมันมีความรู้สึกอย่างนี้เพื่อต้องการจะพูดให้โยมเข้าใจ เราจะบอก แล้วสีแดง บางทีมันนึกสีแดงไม่ออกอะ มันรู้ว่าสีแดงแล้วนะ นึกใหญ่เลยนะ เพราะสีมันก็หลายระดับใช่มั้ย หลายสีใช่มั้ย เราจะระบุยังไง นี่เราจะพูดถึงจิตหรือใจเนี่ย ที่เราระบุเนี่ย ถ้าให้มันชัดๆอย่างเงี้ย ถ้าชัดๆอย่างนี้เดี๋ยวต้องคีย์เข้าคอมพิวเตอร์ก่อน แล้วเราไปพูดไว้ในคอมพิวเตอร์ ต่างคนต่างกดเพื่อไม่ให้พลาดไง ถ้าพูดอย่างนี้พลาด พลาดเดี๋ยวมันเอากุญแจมือมาใส่ แหะๆๆๆ เดี๋ยวมันจับใส่กุญแจมือเพราะพูดผิด ต้องให้กูไปคีย์เข้าคอมพิวเตอร์ก่อน แล้วมาคุยกันในคอมพิวเตอร์ กูจะไม่ให้ผิดเลย เฮอะๆๆๆ เอ้า มีอะไรอีกมั้ย จบเนาะ เอ้า มีมั้ย มาๆ ว่ามา โอ้ย พวกนี้เค้าคุยทุกวัน เค้าคุยกันจนหมดพุงแล้ว จบ
โยม: สงสารอาจารย์จะเหนื่อย
หลวงพ่อ: อ้า ตัวเองจะพูดล่ะไม่ว่า พูดมา เอ้า พูดมาเลย
โยม: เอ่อ เคยได้ยินคำว่า อรหันต์จ้อยฮ่ะ ท่านอาจารย์
หลวงพ่อ: อะไรนะ
โยม: อรหันต์จ้อย อรหันต์จ้อย
หลวงพ่อ: อรหันต์จ้อย?
โยม: ฮ่ะ คือมีอาจารย์องค์นะฮะ สอนว่า เวลาทำน่ะ ให้เราไม่ต้องคิดว่าเรา ไม่ต้องคิดว่าเราไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอนาคต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีแม้กระทั่งตัวเราเอง นะฮะ ดิฉันก็ถามท่านไปว่า อ้าว ในเมื่อเราไม่มี แล้วจะเอาไปไว้ฐาน ฐานอยู่ตรงไหน เวลาจะทำ ท่านก็บอก ก็ไม่ต้องมีฐาน ยังไงก็ไม่เข้าใจ กะมากราบเรียนถามอาจารย์ อย่างนี้มีหรือเปล่าคะ ปฏิบัติแบบนี้
หลวงพ่อ: ไอ้นั่นอะไรนะ
โยม: เค้าอ้างหลวงปู่มั่นด้วยนะคะอันนี้
หลวงพ่อ: ไม่มีหรอก เราจะบอกไม่มี มันไม่มีได้ มันไม่มี มันไม่มี ไม่มีเพราะว่าอะไรนะ ไอ้เมื่อกี้เนี่ยนะ ไอ้ มงคล ๓๘ ประการ มงคล ๓๘ ประการนะ สนทนาธรรมน่ะ มันมีอย่างนี้ ถ้าพูดถึงอย่างนี้นะ เราไม่ต้องฟังเลย ถ้าพูดอย่างนี้เราวางไว้เลย วางไว้แล้วไม่ฟังแล้ว เพราะมันไม่ฟังเนี่ย ไม่ต้องมีอะไรเลย ไม่ต้องมีอะไรเลย มันมีนะ คนเราหลงตัวเอง เราเคยเจออยู่ พระเล่าให้ฟัง เราไม่เคยเจอพระองค์นี้จริงๆ เค้าถามว่าพระองค์นี้เกิดมาจากไหน บอกเกิดมาจากธาตุ ๔ ครูบาอาจารย์เรานะเฉยเลยนะ ท่านพูดกับเราทีหลังนะ แม้แต่ชื่อพ่อแม่มันยังจำไม่ได้เลย แต่จะอวดตัวเองว่าเกิดจากธาตุ ๔ เพราะคนมันคือธาตุ ๔ ใช่มั้ย จะอวดว่าเราเนี่ยนะ พ้นจากสมมติไง ถ้าชื่อแม่ก็คือสมมติใช่มั้ย แม่เราชื่อนางนั้น พ่อเราชื่อนายนี้ มันเป็นสมมติใช่มั้ย จะอ้างว่าตัวเองเนี่ย เราเกิดจากธาตุ ๔ เพราะถ้าพ่อแม่ก็ประกอบไปด้วยดินน้ำลมไฟทั้งสองคน แต่ดินน้ำลมไฟนั่นน่ะ ใช่ ถ้ามันเป็นปรมัตถ์ใช่มั้ย แต่ในเมื่อเราเกิดโดยสมมติ เรามีพ่อมีแม่ไง เราก็ต้องบอกว่า เราเกิดจากพ่อแม่นั้น แต่เค้าบอกว่าเราเกิดจากธาตุ๔ เลยย้อนกลับมานี่ไง
บอกว่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย ทำไมพระพุทธเจ้าสอน พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง สติกับพุทโธ สติกับธัมโม ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ คนเราไม่เริ่มต้นจะเริ่มจากไหน นี่ไง เวลา เวลาครูบาอาจารย์ เวลาจะปฏิบัติอย่างเช่นหลวงปู่มั่นเห็นมั้ย หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์นะ แต่ทำไมท่านเจ็บไข้ได้ป่วยน่ะ เนี่ย หลวงตาจะเอาอันนี้ไปให้ท่านฉัน ท่านบอก ไม่ได้ๆๆ ท่านบอกไม่ได้เพราะอะไร ไม่ได้เพราะตาดำๆ คือ พระในวัดมองอยู่
พระในวัดน่ะเป็นเด็กๆ พระในวัดคือเข้ามาปฏิบัติใหม่ คนที่เข้ามาปฏิบัติใหม่ก็หวังพึ่งครูบาอาจารย์ หวังความพึ่ง จากความ หวังความมั่นใจว่า ครูบาอาจารย์น่ะเป็นครูบาอาจารย์เราจริง ทีนี้ครูบาอาจารย์เราจริงถ้าเราเห็นว่าครูบาอาจารย์ทำถูกต้อง เราก็จะเคารพบูชา แล้วถ้าทุกคนก็ศึกษาธรรมวินัยแล้วใช่มั้ย แล้วอะไรที่ฉันได้ฉันไม่ได้เนี่ย แล้วตอนนั้น หลวงตาจะพูดเอง ท่านเป็นวัณโรค แล้วตอนเช้าๆท่านจะฉันอาหารไม่ได้เพราะคนอายุ ๘๐ แล้วเป็นวัณโรค พอสุดท้ายแล้วยังไม่ถึงเพลใช่มั้ย หลวงตาเนี่ย ระดับเนี้ย ท่านก็พยายามเอาน้ำมะพร้าว น้ำนะ น้ำมะพร้าวเนี่ย ไปให้ท่านดื่ม เพราะท่านป่วย ท่านบอกว่า ดื่มไม่ได้ ดื่มไม่ได้ หลวงตาบอกดื่มไม่ได้เพราะอะไร ท่านบอกไอ้ตาดำๆมันมองอยู่ หลวงตาพยายามอ้อนวอนนะ บอกว่า หลวงปู่มั่นน่ะ ท่านน่ะชราภาพแล้ว แล้วท่านผู้เฒ่าเนี่ย ขอให้ดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อให้ร่างกายเนี่ยมันได้มีสารอาหารบ้าง ท่านบอก ไม่ได้ ไม่ได้ เนี่ย ทำไมท่านเก็บหอมรอมริบล่ะ นี่ ทั้งๆที่ท่านไม่ ขนาดลูกศิษย์ลูกหาทุกคนปรารถนาทั้งนั้นเลยน่ะแต่ท่านไม่ทำ นี่ไง ขนาดที่ว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้วเห็นมั้ย ท่านยังทำเป็นแบบอย่าง แล้วบอกไม่มีอะไรเลยเหรอ มีเว้ย! มีร่างกาย ก็หลวงปู่มั่นนี่ไง พอหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว ร่างกายนั้นก็ไปเผาทิ้งไง แต่มันยังมีร่างกายนี้อยู่ มันยังมีสมมติอยู่ มันยังมีชีวิตอยู่ไง พระพุทธเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ไง ขนาดพระอรหันต์ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังต้องฉันข้าวอยู่ ท่านยังชีวิตประวันของท่านอยู่ แล้วนี่บอกไม่มีอะไรเลยเนี่ย มึงจะเริ่มต้นกันที่ไหน นี่ เห็นมั้ย แล้วอ้างหลวงปู่มั่นน่ะ หลวงปู่มั่นน่ะ ใครก็อ้างได้ หลวงปู่มั่นน่ะ เหมือนพระพุทธเจ้าล่ะ เป็นบุคคลสาธารณะ โยมศรัทธาพระองค์ไหน โยมก็เป็นลูกศิษย์องค์นั้นได้มั้ย โยมก็ว่าได้ จริงมั้ย นี่ก็เหมือนกัน เค้าปฏิบัติมา หลวงปู่มั่นมีชื่อเสียงเค้าเป็นลูกศิษย์ได้มั้ย ก็ได้ ก็พอเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเขาคิดเองไง หลวงปู่มั่นบอกเลย ลูกศิษย์หรือเปล่าไม่รู้ ถามมันดู ฉะนั้น ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นและไม่หลวงปู่มั่นไม่สำคัญ สำคัญว่าพูดข้อเท็จจริงมาเนี่ย เป็นเหตุเป็นผลเป็นประโยชน์หรือเปล่า
มีโยมคนหนึ่ง ไปหาหลวงตาตอนที่ศรัทธามากๆแล้วก็ไปกราบหลวงตาใหญ่เลย อู้หูย อิชั้นนี่ศรัทธาสายหลวงปู่มั่นมาก ดิชั้นศรัทธามากๆ หลวงตาท่านพูดเองนะ เรามั่นใจว่า ในลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมีทั้งดีและชั่ว ดีก็มี ชั่วก็มี เราก็ฟังอยู่นะ สะอึกเลย เราถึงเคารพน้ำใจหลวงตามาก แล้วเรามาวิเคราะห์ของเราเอง เพราะหลวงตาท่านพูดคำนี้มาเพราะอะไร เพราะคนๆนี้เค้าศรัทธามาก ในสายหลวงปู่มั่น แล้วไปหาพระในสายหลวงปู่มั่น ทุกองค์ก็ว่าเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น แล้วถ้าเจอ ไปเจอพระที่ทำตัวผิดๆ ถ้าเค้าจับได้ เค้าจะเสียศรัทธาเค้ามั้ย แต่ท่านพูดไว้ก่อนเลยว่า ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนี้เยอะมาก แล้วเราก็ไม่รู้จัก ท่านพูดอย่างนี้นะ เรามั่นใจมาก ในพระสายหลวงปู่มั่นน่ะ มีทั้งดีและชั่ว นี่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นจริงๆนะ แล้วไม่ใช่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นไม่เคยอยู่กับหลวงปู่มั่นเลยอ้างว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นก็เยอะ อย่างเช่นเราเนี่ย เราเกิดไม่ทันน่ะ หลวงปู่มั่นท่านเสีย ๙๒ เรายังไม่เกิดเลย เราเนี่ยไม่เคยเห็นหลวงปู่มั่นเลยเพราะเราเกิดไม่ทัน อย่างเช่นเราเนี่ย ไม่เคยอยู่กับหลวงปู่มั่นเลย แต่ก็อ้างว่าลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนะ แล้วมันเชื่อได้ยังไงล่ะ เราเนี่ยยังเกิดไม่ทันเลย ไอ้เนี่ย ใครก็พูดได้
แต่พูดแล้วอย่างที่พูดเมื่อกี้เนี่ยเห็นมั้ย อย่ามีบุคคลเป็นที่พึ่งเถิดจงมีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีบุคคลเป็นที่พึ่งเถิด จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง แต่ธรรมอยู่ในหัวใจของใคร ถ้าธรรมอยู่ในหัวใจของใครเค้าจะไม่พูดปดพูดโกหก ถ้าเราเนี่ยพูดโกหกเนี่ย โยมๆ รับ รับศีลๆ โยมๆ รับศีลๆ เราจะหาศีลอะไรไปให้โยม ก็กูยังโกหกอยู่เลย ศีล ๕ มุสา ไม่ให้มุสา แล้วเราจะให้ศีลโยมเนี่ย เราจะเอาอะไรไปให้ในเมื่อยังโกหกอยู่เนี่ย ฉะนั้น คำพูดอย่างนั้นน่ะ ถ้าลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นถ้าลูกศิษย์หลวงปู่มั่นจริงๆก็เยอะมาก แต่บอกว่าไม่ให้ไม่ต้องมีอะไรเลยเนี่ย มันหลักลอย หลวงตาน่ะ ฟังหลวงตาสิ พุทโธนะ สตินะ ตลอดเลย เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะเริ่มต้นพื้นฐานเด็กๆน่ะต้องให้มันยืนให้เป็นก่อน การฝึกสอนภาวนาเนี่ย มันต้องให้เด็กเนี่ยนะทำมาหากินเป็น เด็กยืนอยู่โดยตัวเองได้ แล้วเด็กคนนั้นมันจะเจริญมา ไม่ใช่สอน สอนคนอายุ ๘๐ คนอายุเจ็ดแปดสิบเนี่ยเค้าอยู่กับโลกมาทั้งชีวิตเค้าเบื่อหน่ายแล้ว ไอ้นั้นก็กรณีหนึ่งนะ เจ็ดแปดสิบน่ะถ้ายังสอนน่ะ ถ้ายังทำสมาธิไม่เป็นมันก็เหมือนเฒ่าทารก เฒ่าทารก เหมือนอ่อนๆ เหมือนเด็กๆนั่นน่ะ จิตของคนถ้ายังยืนไม่ได้ สอนอะไรไปไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าจิตของคนยังยืนไม่ได้ เราเอาเงินเนี่ย ล้านสองล้านเนี่ยแล้วไปให้เด็กๆมันใช้สิ ดูซิเด็กคนไหนมีเงินล้านสองล้านแล้วมันจะเอาตัวมันรอดได้ เด็กทารกเนี่ย เอาเงินให้มันสิ แม้แต่ทองบาทสองบาทไปแขวนคอมันยังอันตรายเลย อย่าว่าแต่เงินเป็นล้านๆแล้วให้มันเอาไป
นี่ก็เหมือนกัน นี่เราจะบอกสติปัญญาที่การทำสมาธิที่ว่าไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ มึงกลับไปคิดใหม่ พูดผิด พูดใหม่ได้ มึงกลับไปคิดใหม่ นี่พูดถึงว่า อรหันต์จ้อยเนี่ยเพราะว่า มันไม่มีหรอก คนภาวนาขนาดไหน พ่อแม่ถ้ารักลูก พ่อแม่ต้องให้มีลูกมีการศึกษา พ่อแม่ต้องให้ลูกมีอาชีพ พ่อแม่ต้องให้ลูกยืนในสังคมได้ ไม่มีพ่อแม่คนไหนบอกเอ็งเกิดมาแล้วไม่ต้องเรียนหนังสือพ่อแม่จะเลี้ยงเอ็งตลอดชีวิต เอ็งไม่ทำอะไรเลย สบายๆไปวันๆเนี่ย กูให้มึงกินทั้งชาติเลย พ่อแม่คนไหนสอนอย่างนั้นบ้าง ไม่มีหรอก แล้วธรรมะเนีย ละเอียดอ่อนกว่าเรื่องวิชาชีพมากนัก มากนักตรงไหน มากนักตรงวิชาชีพเนี่ย เรามีอาชีพ เราก็ทำอาชีพได้แล้ว แต่ใจเนี่ย มึง ใครรักษามันได้ ใจเนี่ย ใครรักษามันได้
เราถึงที่เราออกมา ออกมาพูดอย่างนั้นเพราะเราสังเวชตรงนี้ไง สังเวชที่ว่าสังคมไทยเนี่ย มันจะเหลวแหลกเรื่องการปฏิบัติเนี่ย เอาหัวเดินต่างเท้ากัน สบายๆอยู่นั่นน่ะ จนกูรำคาญ เค้าเอาตีนเดิน เอาเท้าเดิน ไม่เอาหัวเดินหรอก ไม่มีใครเอาหัวเดินต่างเท้า แต่ปัจจุบันนี้กำลังจะเดินเอาหัวเดินต่างเท้ากัน เราถึงออกมาพูดไง ที่ออกมาพูดเนี่ย ต้องการให้สังคมเอาเท้ามาเดินอย่างเก่า ให้เอาเท้ามาเดินอย่างเดิม ไม่ใช่เอาหัวเดิน มันจะขึ้นน่ะ เดี๋ยวศาลาแตก เนาะ จบมั้ย เอวัง