พฤติกรรมของ พระปราโมทย์ เมื่อครั้งยังอยู่ที่ สวนโพธิ์
ที่สวนโพธิ์นั้น เป็นที่ดินที่มีโยมคนหนึ่ง มาถวายที่ให้หลวงพ่อสุจินต์ สุจิณโณ ศิษย์อาวุโสรูปหนึ่ง ของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
พระปราโมทย์ เมื่อบวชแล้ว ไม่ได้อยู่ขอนิสัย อบรมศึกษาธรรมจากครูบาอาจารย์ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของพระป่าธรรมยุติ ที่ต้องอยู่กับอาจารย์ ก่อน เป็นเวลา ๕ ปี ก่อนบวชมาสร้างเรือนไว้ที่สวนโพธิ์ ย้ายมาอยู่ตั้งแต่ก่อนบวช ไปทำพิธีที่สุรินทร์เสร็จไม่ได้อยู่กับอุปัชฌาย์เลยก็กลับมากับอดีตภรรยามาอยู่ที่สวนโพธิ์
สาเหตุที่ พระปราโมทย์ ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะเชื่อมั่นว่า ตนเอง บรรลุธรรม เป็น พระสกิทาคามี แล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องศึกษากับครูอาจารย์อีก
ที่สวนโพธิ์ พระปราโมทย์ ได้ไปอยู่ กับ อดีตภรรยาคนที่สอง ที่เพิ่งแต่งงานกันเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๙ หลังจาก หย่ากับภรรยาคนเก่า ได้เรียบร้อย
ที่สวนโพธิ์ เป็นที่ปลูกต้นไม้จนรกทึบคนที่ไปฟังเทศน์ตอนเปิดวัดเฉพาะช่วงเช้ายังมองเข้าไปไม่เห็น ว่าข้างในเป็นอย่างไร เห็นแต่หลังคาว่ากุฏิ ของพระปราโมทย์ และ อดีตภรรยา อยู่ห่างกัน ไม่เกิน ๒๐ เมตร สามารถตะโกนเรียกกันได้ และยังอยู่ในเขตพื้นที่ ที่คนนอกเข้าไม่ได้ และ คุณ สมชาย ซึ่งถือได้ว่า เป็น โยมอุปัฏฐาก อีก ๑ คน ก่อนจะเปลี่ยนสถานะ มาเป็น พระสมชาย กิตติญาโณ หรือ ครูบาอ๊า ในปัจจุบัน เมื่อเดือน เมษายน ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ พร้อมกับ อดีตภรรยา ที่บวชเป็นชี พร้อมกัน
การที่พระบวชใหม่ อยู่ในสถานที่ลับตา เพราะเมื่อคุณสมชายในขณะนั้น ได้เข้าที่พักของตนไปแล้ว จะไม่สามารถมองเห็นได้เลย ว่า พระปราโมทย์ และภรรยา อยู่ที่ใด
การที่ พระปราโมทย์ และภรรยา อยู่ด้วยกันที่สวนโพธิ์ เช่นนี้ จึงเป็นที่ต่อต้านจากชาวบ้านในหมู่บ้านละแวกนั้นเป็นจำนวนมาก จะมีก็แต่คุณป้า คนหนึ่ง ชื่อ ป้าหลวย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในหมู่ศิษย์สมัยสวนโพธิ์ดี ที่ยังคงมาทำบุญเรื่อยๆไม่ขาด (หรือเพราะไม่รู้กันแน่ว่า พระปราโมทย์ อาศัยอยู่กับอดีตภรรยาที่ยังครองเพศฆราวาส) ได้มีการพยายามบอกลูกศิษย์ที่มาหาว่า อยู่ตรงนั้น ลำบาก เพราะชาวบ้านคนอื่นๆในหมู่บ้านรังเกียจหมด เพราะชาวบ้านที่เหลือรู้พฤติกรรมอยู่กับอดีตภรรยา กันหมด
เรื่องนี้ จึงทำให้ หลวงพ่อ สุจินต์ สุจิณโณ ได้ส่ง พระบุญคง เพื่อให้มีพระที่พรรษามากกว่า มาเป็นประจักษ์พยาน เผื่อจะมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมในเพศภูมิสมณะ แต่ในภายหลัง กลับถูก พระปราโมทย์ เชิญออกจากสวนโพธิ์ ด้วยเหตุผลอันใด ไม่อาจทราบได้ แต่คงตอบได้ว่า ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน
ไม่นาน ได้มีพระบวชใหม่อีกรูปหนึ่ง เป็นลูกศิษย์มาตั้งแต่ก่อนพระปราโมทย์บวช แต่ก็บวชแล้วสึก ภายในระยะเวลาไม่นาน เนื่องจากเป็นพระที่มีพรรษาน้อยกว่า และยังอยู่ด้วยในระยะเวลาไม่นาน จึงนับได้ว่า พระปราโมทย์ อาศัย อยู่กับ อดีตภรรยา ในที่ลับตาคน แม้บัดนี้ จะไม่มีหลักฐานอันใดเด่นชัดว่า พระปราโมทย์ กระทำผิดวินัยข้อใดหรือไม่ แต่ก็ไม่มีหลักฐานเด่นชัด มายืนยัน ความบริสุทธิ์ ของพระปราโมทย์เช่นกัน
เรื่องนี้ จึงเป็นประเด็นเรื่อยมา จนกระทั่ง พระปราโมทย์จะตั้งสวนโพธิ์เป็นวัด แต่ชาวบ้านแถว อ. ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ร่วมกันลงชื่อต่อต้านไม่ให้ตั้งเป็นวัด เพราะรู้ดีว่า ตอนเป็นพระ แต่อยู่กับเมียที่เป็นฆราวาส นั้น ไม่เหมาะสมเพียงใด
ในขณะเดียวกัน โยมเจ้าของที่ (คนที่บริจาคที่ให้หลวงพ่อสุจินต์) ได้ถูกใส่ร้ายต่างๆนานา ตอนหลัง โยมคนนี้ ไม่เหยียบเข้าสวนโพธิ์ อีกเลย แต่ทันที ที่ พระปราโมทย์ออกไป เจ้าของที่คนนี้ กลับดูแลพระที่หลวงพ่อสุจินต์ ส่งมาเป็นอย่างดี
แล้วพระปราโมทย์ ก็ได้บอกลูกศิษย์ว่า มีพระป่าที่อยู่แถวราชบุรี ชื่อขึ้นต้นด้วย ส. เสือ ส่งจิตมาไล่รังแกท่าน ลูกศิษย์ที่หลงเชื่อ ก็ไปเรียนหลวงพ่อมนตรีว่า "พระปราโมทย์ถูกพระป่ารังแก" จึงเป็นที่มาของคำว่า "เอาไว้กันพระป่ารังแก" ในจดหมายสามฉบับของคุณไกรศร
เมื่อสังเกตุดูแล้ว พระป่าสายธรรมยุติ ที่อยู่ที่ราชบุรี ท่านได้เริ่มวิจารณ์การดูจิตแบบผิดๆมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ พระรูปนี้ คือ พระอาจารย์ สงบ มนสฺสนฺโต ลูกศิษย์ที่หลวงตามหาบัว ให้การยอมรับชื่นชมนั่นเอง
การที่พระอยู่กับผู้หญิง ๑ คนที่เคยเป็นภรรยา แล้วมี ฆราวาส สมชาย อีกคน จึงไม่เหมาะสม ต้องมีพระอื่น แต่พระปราโมทย์ กลับตอบ หลวงพ่อมนตรี ไปว่า อยากให้มีพระอื่นมาอยู่ แต่กุฏิเต็มหมดแล้ว ทั้งๆที่ยังมีว่างอีกอัน ไว้ใช้รับ พระอาคันตุกะ
เรื่องนี้ จึงเป็นเหมือนกลลวงลวงคนในและคนนอกที่คุณไกรศรกล่าวใน อีเมล์ สามฉบับ ที่หลวงพ่อมนตรีท่านรับรองว่าเป็นอีเมล์ที่ท่านได้สอบทานความถูกต้องแล้ว ที่พระปราโมทย์ทำให้ลูกศิษย์ สงสาร ทำตัวให้น่าสงสาร ให้มีคนมาสร้างวัดให้ ทำให้ครูบาอาจารย์ต้องเตือนว่าการอยู่กันโดยไม่มีพระอื่นๆ เวลาเกิดอะไรขึ้นจะไม่มีพระเป็นพยาน ถ้าไม่มีที่ก็ให้รับ ที่โยม(ที่หลงกล)เขาจะช่วยบริจาคก็รับไว้ แต่อย่าไปทำอะไรใหญ่
ลองคิดดูนะ ถ้าเราเป็นศิษย์ที่คิดว่าเขาดีเราก็คงทำให้ได้ทุกอย่าง แม้เขาจะบิดเบือนเอาความคิดที่เราจะสร้างไปเป็นว่า เป็นความคิดของครูบาอาจารย์เราก็คงไม่คัดค้านเพราะมองไม่ออกถึงผลประโยชน์ที่เขาได้มหาศาลจากการบิดเบือน คือได้วัดหรูหราสวยงามทั้งวัด ได้คนมาร่วมบริจาค ได้เครดิตอีกสารพัด ว่าตนสำคัญจนอาจารย์ให้ตั้งวัด แล้วพอครูบาอาจารย์เปิดโปงก็โกหกต่อไปอีกเรื่อยๆ พูดแบบเอาประโยชน์เข้าตัวเองโยนความผิดให้คนอื่น คิดว่าตัวเองมีพวกมาก บิดเบือนข้อมูลไปเรื่อยแบบที่เห็นเขาทำกับเรื่องอื่นๆ
อีกอย่างคือตามที่เขียนในกว่าจะเป็นสวนสันติธรรม ว่าศิษย์ท่านนั้้นบริจาค สองล้านห้าและแม่ของเขาอีกล้าน รวม สามล้านห้าแสนบาท แต่ในเรื่องแต่งเพื่อให้ร้ายเขาค่อยๆลดลงจนเหลือ ล้านกว่า แค่เรื่องที่ตัวเองพูดก็ยังบิดเลย จะมาอ้างว่าก็หักที่จ่ายคืนเขาไปสองล้าน อันนั้นมีหลักฐานว่าเป็นการจ่ายคืนเงินที่เขาจ่ายล่วงหน้าให้ผู้รับเหมาค่าตกแต่งกุฏิตัวเอง และชี และการต่อเติมอื่นๆ แต่แล้วมาเขียน ครึ่งเดียวใน กว่าจะเป็นสวนว่าจ่ายคืนเฉยๆ
(คุณต้องศรัทธาเขาขนาดไหนจึงให้เงินเขา สามล้าน ห้าหรือ ที่จริงสี่ล้านห้าได้)
มีคนจากอาศรมมาตาไปถามว่า ศิษย์ผู้นั้นถวายให้ก่อนมีบัญชีสร้างวัดอีกหนึ่งล้าน ตั้งแต่ตอนอยู่ที่สวนโพธิ์ แต่เขาเอามาเขียนในกว่าจะเป็นสวนสันติธรรมว่า ภรรยาก่อนบวช เป็นคนบริจาค ทั้งที่ทุกคนรู้ดีว่าก่อนบวชเป็นคนยากจนทั้งคู่ไม่มีเงินมาบริจาคเป็นล้าน
เขาตอบศิษย์อาศรมมาตาว่าถวายพระแล้วพระจะเอาไปทำอะไรก็ได้ (เอาไปให้สีกาก็ได้จริงหรือผู้รู้ช่วยตอบหน่อยเพราะเรื่องนี้มีหลักฐานการมอบเงินชัดเจน)และเขาก็ยอมรับกับศิษย์ของอาศรมมาตาว่าเป็นเงินของศิษย์ผู้นั้นจริงแต่ตนมีสิทธิ์ให้สีกา ซึ่งก็ไม่ได้เอาไปช็อปปิ้งแต่เอามาเข้าบัญชีสร้างวัดตามเจตนาผู้บริจาคเดิมเพียงเปลี่ยนชื่อผู้ให้เป็นของสีกาตนเท่านั้น
(สอบถามรายละเอียดการพูดนี้ที่ศิษย์อาศรมมาตา)
คำว่าทาน เป็นไปเพื่อสละความยึดถือสละอย่างหยาบก่อนจึงค่อยๆขยับไปสละสิ่งที่ปราณีตขึ้นบางคนทำบุญจึงไม่ติดชื่อ เป็นผู้บริจาคที่ไม่ประสงค์จะออกนาม แต่คนผู้นี้เขียนบทความกล่าวอ้างการบริจาคที่ไม่ใช่เงินของสีกาตน แต่เป็นเงินที่คนเขายกท่วมหัว บริจาคเพื่อบำรุงพระศาสนา แต่กลับไปยกให้สีกาของตน กลายเป็นผู้ประสงค์จะออกชื่อ แต่ไม่ประสงค์จะออกเงิน
ถ้าแม้เรื่องทาน ยังไม่เข้าใจบิดเบือนจนศีลขาด ทานไม่มี ศีลไม่ครบอย่าหวังว่าจะเข้าใจธรรม
จดหมายฉบับนี้ มีผู้ที่เห็นด้วยกับ Antiwimutti ส่งมาให้
ทางทีมงานได้ตรวจสอบถึงบุคคลหลายคนที่ถูกอ้างถึงในจดหมาย พบว่ามีตัวตนจริง และถูกต้องตามเนื้อความ จึงนำมาลงไว้ ณ ที่นี้
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศิษย์ลานธรรมเก่าๆ เพื่อนรวมงานที่องค์การโทรศัพท์ หรือ กรรมการที่ลาออกไป หรือที่ info@antiwimutti.net