บทสรุปจากทีมงานเว็บ Antiwimutti.net หลังจากได้เข้าร่วมการชี้แจงจาก
หลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2553
สืบเนื่องจากข้อความในกระทู้นี้ ซึ่งอธิบายถึง ความเป็นมาของประกาศสวนพุทธธรรม และ อีเมลล์ทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ การสอน ปฏิปทา ความสนิท และ อื่นๆ ของ สวนสันติธรรม และ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช โดยตรง
หลังจากประกาศนี้ได้ออกไปแล้ว ได้มีกลุ่มบุคคลได้กล่าวหา โจมตีอย่างรุนแรง พร้อมทั้ง ดิสเครดิตคุณแมวแก่ โดยโพสข้อความต่างๆ ทั้งชื่อจริง ที่อยู่ สถานที่ทำงาน และ ข้อมูลส่วนตัว ทั้งยังได้ระบุว่า คุณแมวแก่นั้น มิได้เป็นตัวแทนจากหลวงพ่อมนตรี แต่อย่างใด เป็นเพียงบุคคลที่สวมรอย ปั้นแต่ง ประกาศและอีเมลล์ทั้ง 3 ฉบับขึ้นมาเอง ปราศจากการรับรู้จาก หลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร โดยสิ้นเชิง สร้างความแคลงใจให้กับพุทธศาสนิกชนเป็นวงกว้าง ว่าประกาศและอีเมลล์ทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งชี้แจงประเด็นต่างๆไว้อย่างชัดเจน ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ดั่งในกระทู้นี้ และ อีกหลายๆกระทู้ อีกทั้งยังเป็นตัวละครในบันทึกยุทภพ ของสายลับตงฉั่ง หรือ ประมุขพรรคบัวขาว ในพันธ์ทิพย์
จากที่หนึ่งในทีมงานได้ไปเข้าร่วมฟังคำชี้แจงจากหลวงพ่อมนตรีโดยตรงในวันนั้น ทางทีมงานขอเขียนบรรยาย ดังนี้
หลังจากฝ่าพายุฝนที่ทำให้การเดินทางยากลำบาก เพราะฝนตกหนักมากถึงขนาดทำให้มองเห็นทางที่อยู่ตรงหน้าไม่เกิน 5 เมตร พอถึงทางเลี้ยวเข้าถนนลูกรังเล็กๆ ซึ่งถ้าไม่รู้จักทางก็คงจะหาสวนพุทธธรรมไม่เจอแน่ๆ เพราะไม่มีป้ายหรือชื่อวัดที่มองเห็นได้จากถนนใหญ่ แต่โชคดีที่ก่อนไปได้หาพิกัด GPS จากในเน็ทเลยไปได้อย่างสะดวก (N 12.31.589 E 099.32.302) พอเลี้ยวเข้าถนนลูกรัง เลี้ยวขวาอีกที จะเจอป้ายเล็กๆ เขียนว่าสำนักปฏิบัติธรรม สวนพุทธธรรม ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไป เห็นรถจอดอยู่เรียงรายแล้ว เกือบๆสิบคันได้ ทั้งๆที่เรามาก่อนเวลานัดนิดหน่อย
พอเดินเข้าไปเห็นญาติโยมมารอกันแล้วจำนวนคร่าวๆประมาณ 20 กว่าคนได้ พร้อมทั่้งหลวงพ่อมนตรี และ พระอีก 4-5 รูป แม่ชี 2 ท่าน ดูท่านอารมณ์ดี และ สนทนาธรรมกับพระและญาติโยม ด้วยท่าทีสบายๆ และเป็นกันเองอย่างยิ่ง
เมื่อเวลาล่วงเลยไปเกือบๆครึ่งชั่วโมง ก็ยังมีญาติโยมทะยอยกันมาอีกนิดหน่อย และได้เรียนท่านว่าข้างนอกฝนตกหนักมาก และมองทางไม่ค่อยเห็นจึงทำให้มาช้ากว่ากำหนด หลวงพ่อมนตรีท่านรับทราบแล้วบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเรารอกันอีกหน่อย ระหว่างรอท่านก็เปิดโอกาสให้พระและโยมถามปัญหาในการปฏิบัติของตน
เมื่อถึงเวลาอันสมควร หลวงพ่อก็ได้พูดขึ้นว่า ท่ีต้องรบกวนญาติโยมในวันนี้ เพราะต้องการให้ญาติโยมมาฟังจากปากของท่านเอง เรื่องที่เกี่ยวกับประกาศป่าละอู และ อีเมลล์ 3 ฉบับ ที่ทางคุณไกรศร (แมวแก่) ได้นำไปประกาศตามเว็บบอร์ดและอีเมลล์ นั้นมาจากดำริของหลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร เองทั้งสิ้น ก่อนที่จะมีการประกาศออกไป คุณไกรศรได้นำเอกสารต่่างๆ มาให้หลวงพ่อมนตรีท่านตรวจทานแล้ว ท่านกำชับอีกว่าทั้งหมดเป็นดำริของท่านเอง ท่านได้ตรวจดูแล้วทุกตัวอักษร แล้วเป็นดำริของท่าน เชื่อถือได้ 100%
ที่ท่านต้องรบกวนญาติโยม นัดมาในวันนี้ก็เพราะท่านเห็นใจญาติโยมซึ่งท่านทราบว่า ญาติโยมที่อ่านจดหมายและประกาศต่างๆนั้น ล้วนเป็นนักภาวนาทั้งสิ้น เมื่อได้อ่านประกาศแล้ว ได้มีกลุ่มคนที่เข้ามาโจมตีว่า ประกาศนั้นเป็นเท็จ ไม่ใช่ดำริจากหลวงพ่อมนตรี พร้อมทั้งได้ทำการว่ากล่าวคุณไกรศรด้วยถ้อยคำรุนแรง ท่านจึงเห็นเป็นการสมควรที่จะทำให้กระจ่าง เพื่อนักปฏิบัติจะได้กำจัดวิจิกิจฉา ซึ่งเป็นหนึ่งในนิวรณ์ที่ขัดขวางนักภาวนาให้เจริญก้าวหน้่าได้ อีกทั้งความกระจ่างนี้ยังให้ความเป็นธรรมแก่คุณไกรศรอีกด้วย ซึ่งท่านกล่าวว่า ท่านเป็นคนมอบหมายให้คุณไกรศรไปทำ เมื่อคุณไกรศรได้รับการว่ากล่าวมาเช่นนี้ ย่อมไม่ยุติธรรมแก่คุณไกรศร แม้คุณไกรศรเองจะไม่หวั่นไหวต่อการว่ากล่าวใส่ร้ายนั้นก็ตาม
อีกทั้งท่านกล่าวว่าท่านมิได้มีเจตนาต้องการต่อว่าการปฏิบัติของสำนักใด หรือผู้ใด เพียงแต่ท่านเห็นภัย ซึ่งเหมือนไฟป่ากำลังจะมาไหม้กุฏิท่าน ท่านจึงถางต้นไม้ใบหญ้ารอบๆกุฏิท่าน มิให้ไฟไหม้ถึงเท่านั้นเอง
เมื่อท่านกล่าวจบ ท่านได้ถามว่าท่านใดมีอะไรสงสัยก็ขอให้ถามมา
(ทีมงานได้จัดลำดับคำถามที่มีผู้ถามในวันนั้นใหม่ ตามลำดับความสำคัญของเนื้อหา)
๑. โยมได้ถามว่า เรื่องความสนิทกับหลวงพ่อปราโมทย์นั้น ความเป็นจริงเป็นอย่างไร
ท่านได้เมตตาตอบว่า ในประกาศ และ เมลล์ นั้นให้ลองไปอ่านซ้ำดู เพราะท่านคิดว่ามันชัดเจนแล้ว
๒. โยมได้ถามว่าที่ท่านว่าการปฏิบัติของสวนสันติธรรมนั้นเป็นการดูเงาของจิต ไม่มีวันเข้าถึงมรรคผลได้ ขอให้ท่านอธิบายให้ฟัง
(โยมอีกท่านหนึ่งได้ถามด้วยคำถามในช่วงต้นว่า ขอให้ท่านอธิบายความแตกต่างของการปฏิบัติแบบ "ตามดูเงาของจิต" กับการ "ดูจิต")
ท่านได้เมตตาตอบว่า ท่านไม่ได้ต้องการโจมตีการปฏิบัติของใคร หรือ ของสำนักใด เพราะฉะนั้นขอให้เว้นชื่อบุคคลหรือสำนักปฏิบัตินั้นด้วย
ท่านกล่าวว่า เรื่องคำถามการปฏิบัตินี้ เป็นเรื่องที่ท่านลำบากใจตลอดมา เพราะญาติโยมที่ตั้งใจปฏิบัติภาวนา และได้มาเล่าอารมณ์การปฏิบัติ
ด้วยวิธีดังกล่าวบ่อยๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการหลงตามอาการของจิตทั้งสิ้น
ถึงท่านจะเห็นว่าไม่ถูกต้อง แต่ด้วยปฏิปทาที่ท่านยึดตามหลวงปู่ดูลย์ จึงไม่นิยมวิจารณ์ผิดถูก เช่น "คนนั้นสอนไม่ถูก" "อาจารย์นั้นไม่ดี" ฯลฯ
ท่านจึงมักเลี่ยงเสมอมาด้วยการเตือนโยมว่า โยมฟังมาถูกต้องดีไหม ... อาจารย์สอนคงดี แต่โยมทำไม่สืบเนื่องหรือเปล่า ฯลฯ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติใช้ปัญญา
ไปตรวจสอบแนวทางการปฏิบัติเอง
ท่านอุปมาว่า การดูเงาของจิตนั้น เหมือนการที่นายพรานเขาส่องไฟล่อเสือ เสือจะตกใจและมัวแต่ไล่ตะปบไฟซึ่งเปรียบเหมือนอาการของจิต แทนที่จะหันมาตะปบคนส่องไฟซึ่งเปรียบเหมือนตัวจิต เหมือนที่คนปฏิบัติส่วนใหญ่จะไปไล่ตามดูอาการของจิต อารมณ์เป็นอย่างไร คิดแล้วอย่างไร เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาหรือไม่ แทนที่จะย้อนกลับมาดูที่จิต อาการที่ตามดูกันนั้น บางครั้งอาการจะละเอียดยิบ ดูเหมือนจิตละเอียด แต่ความจริงคือการไล่ตาม "เงา" ไม่มีผลที่จะให้ละจากกิเลสเลย
บางท่านมาเล่า ลุ่มลึกละเอียดละออ มีความแยบยลมาก แต่แท้ที่จริงเป็น "อาการ" หรือเป็นแค่ "เงา" ของจิตเท่านั้น
สิ่งที่ท่านเน้นย้ำมากๆ เป็นหัวใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ คือ ถ้าไม่ทำสมถะ เราจะมีกำลังที่ไหนมาดูจิต ที่ว่าให้ดูจิตๆไปเลยนั้น มันก็ได้แค่อาการของจิต เป็นแค่เงาของจิต ไม่ถึงจิต จะถูกจิตลากให้หลงไปเรื่อยๆ มากๆเข้าก็จะกลายเป็นสตินึกคิดเองไปเลย
บางท่านบอกว่า เดินจงกรมมากๆก็ดีแต่มันช้า ให้ไปดูจิตเลยดีกว่า ปัญหาคือ จะเอาอะไรไปดูจิตในเมื่อเรายังไม่มีกำลังสติเพียงพอ
สติที่พวกเรามีประจำธาตุขันธ์นั้น มันอ่อนและบอบบางเกินไป ถ้าไม่ทำกรรมฐานให้มากเสียก่อน เราจะเอากำลังที่ไหนไปล้างกิเลส
ท่านให้ดูว่าที่ท่านนำพระและโยมปฏิบัติ ท่านให้เดินจงกรมกันครึ่งค่อนวัน ถ้ายังมีแรงเดินก็ให้เดิน ทำกำลังก่อน ไม่ใช่มองข้ามสมถะ ทำสมถะแค่นิดๆหน่อยๆ หรือแค่สวดมนต์ แล้วดูจิตไปเลย ซึ่งเป็นคำสอนที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีทางถึงมรรคผลแน่นอน
วิธีการเดินจงกรมที่ท่านสอนคือ เดินไปให้รู้สึกผัสสะที่เท้าสัมผัสอยู่ตลอด ถ้าจิตออกไปคิดเรื่องอื่น ให้ดึงกลับมาที่ผัสสะเหมือนเดิม ให้คงไว้ที่ผัสสะที่เท้าสัมผัส เป็นการสร้างความรู้สึกตัว สร้างสติ
๓. โยมผู้หญิงได้ถามต่อว่า ทำไมคนที่ปฏิบัติในลักษณะ "ตามดูเงาของจิต" จึงบอกว่าได้ผลดี เห็นประจักษ์กับตัวเอง
หลวงพ่อท่านเมตตาอธิบายว่า ตามดูความคิดและอาการของจิต จะเห็นผลเพราะตามดูจนดับไป แต่งานอันนั้นถือได้ว่าเป็นงานที่ไม่จบ เพราะเป็นเพียงการตามดูเงา เมื่อหยุดหรือดับไป ต่อไปก็ต้องทำกันใหม่ ดูกันใหม่ไม่จบสิ้น ล้างกิเลสไม่ได้ ไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ (ท่านใช้คำว่า จะไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้หรือเปล่านั้น ไม่ขอพูดถึง เพราะยังไม่ใช่ตัวจิตจริงๆ) เป็นการตามดูที่ผล ไม่ใช่เหตุ ตามรู้ทันบ้าง ดับไปบ้าง แต่ไม่จบสิ้น
หลวงพ่อท่านกล่าวว่าไม่จำกัดนะว่าใครสอนอย่างไร แต่ผู้ที่ปฏิบัติแบบนี้ ก็พอเป็นการบรรเทาเบาบางความทุกข์ได้ตามลำดับ มีผลให้จิตคลายจากทุกข์ แต่ไม่ได้ทำให้ขาดจากกิเลส
ยิ่งถ้าไม่ทำกรรมฐาน ยิ่งไม่มีกำลังเลย จะกลายเป็นการนั่งคิดเอาเองไม่รู้ตัว จะเอากำลังจากไหนไปล้างกิเลส
๔. โยมถามว่าแล้วถ้าคนที่เขาทำสมถะมาก่อนแล้วมาปฏิบัติตามดูจิตตามสำนักหนึ่ง จะดูถึงตัวจิตหรือไม่
ท่านได้เมตตาตอบว่า ท่านไม่ได้เจาะจงสำนักใด แต่ท่านย้ำว่าถึงทำสมถะมาก่อน แต่ถ้าไปพบกัลยาณมิตรที่สอนไม่ถูกต้อง เค้าก็จะสอนไม่ถูก สอนให้ไปดูเงาของจิตอยู่ดี
กำลังที่มีก็จะกลายเป็นกำลังในการตบเงา ทำให้เงาดับไป และเดี๋ยวก็จะเกิดขึ้นใหม่ ไม่จบสิ้น เพราะเป็นปลายเหตุ ไม่ใช่ต้นเหตุ
ถึงแม้จะมีกำลังสมาธิดีก็ตาม แต่หากขาดกัลยาณมิตรที่ถูกต้อง ก็จะไม่เข้าทางที่ถูกต้อง เพราะบุคคลนั้น จะพ้นทุกข์ก็ด้วยปัญญา ไม่ใช่กำลัง
ท่านได้ยกพุทธพจน์ที่ว่า กัลยาณมิตรเป็นสิ่งประเสริฐ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้กับภิกษุรูปหนึ่งว่า ท่านโชคดีมากที่ได้ตถาคตเป็นกัลยาณมิตร การปฏิบัติของท่านจึงสำเร็จตลอดสาย
หลวงพ่อท่านยังกรุณายกคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ที่ว่า "อย่าส่งจิตออกนอก" ซึ่งท่านบอกว่า คำสอนสั้นๆ 5 คำนี้ เป็นการแย้มประตูนิพพาน แต่ท่านจะไม่ขอแจกแจงหรืออธิบาย ด้วยเกรงว่าจะกลายเป็นสัญญาที่ทำอันตรายต่อผู้ปฏิบัติภาวนาไป
๕. โยมผู้ชายท่านหนึ่งได้กราบเรียนถามว่า บางครั้งมีผัสสะกระทบ และสติจะตัดความคิดไปในเสี้ยววินาทีเลย หากเดินต่อไปอย่างนี้จะเป็นอย่างไร
หลวงพ่อท่านได้กล่าวว่า หากเป็นอย่างนี้ และไม่ได้เกิดจากการเพ่ง จ้อง หรือบังคับ จะถือว่า ดีมาก ให้สังเกตว่า การตัดด้วยสติจะนุ่มนวลกว่าการบังคับ
ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ต้องไปเก็บรายละเอียดรูปนาม เพราะการใช้รูปนามก็ยังเป็นการใช้อามิส เป็นการใช้ความคิดอยู่ และยังต้องมีขบวนการอย่างอื่นที่ต้องปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้ามากกว่านี้ มิใช่เพียงแค่สติตัดแล้วจะจบกระบวนการของการวิปัสสนา
ซึ่งท่านไม่ได้พูดถึงว่าต้องทำอย่างไรต่อ (ทางผู้เขียนจึงขอสรุปด้วยความเข้าใจของผู้เขียน เพราะท่านได้ตอบมาก่อนหน้่านี้ว่า “ท่านจะไม่ขอแจกแจงหรืออธิบาย ด้วยเกรงว่าจะกลายเป็นสัญญาที่ทำอันตรายต่อผู้ปฏิบัติภาวนาไป” จึงน่าจะเป็นเหตุผลดังกล่าว ทางผู้เขียนจึงคิดว่า กระบวนการต่อไปท่านขอสงวนไว้ จะบอกเมื่อนักปฏิบัติท่านใด ภาวนาถึงจุดที่จะเดินต่อไปแล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้น นักปฏิบัติทั่วไปจะไปสร้างสภาวะอย่างนั้นๆขึ้นมา แล้วคิดว่าตนเองภาวนาได้ดี ทั้งๆที่ความเป็นจริงเป็นเพียงกิเลสบังเงาเท่านั้น ซึ่งเป็นอันตรายมากๆแก่นักปฏิบัติ)
ท่านได้ยกตัวอย่าง โยมนักภาวนาผู้หญิงท่านหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะปฏิบัติมาตามวิธีของหลวงพ่อเทียน จนกระทั่งเจริญดีมาก ปฏิบัติจนหมดความคิด และเริ่มเกิดความสงสัยว่า ไม่ทราบจะเดินภาวนาอย่างไรต่อไป
ต่อมาก็มีผู้แนะนำไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีอาจารย์แนะนำว่า ไม่ควรอยู่อย่างนั้น ให้ย้อนมาเจริญปัญญา ดูรูปนามให้เห็นไตรลักษณ์ จึงจะถือได้ว่าเป็นวิปัสสนา โยมผู้นั้นจึงพยายามทำตาม แต่ก็เกิดปัญหาฟุ้งซ่านและจิตไม่ยอมลงให้กับการเจริญภาวนาดังกล่าวเลย รังแต่จะกลับไปหาสภาพไร้ความคิดเช่นเดิม จนกระทั่งหมดอาลัยกับการปฏิบัติอยู่พักใหญ่
จนภายหลังมีผู้แนะนำให้มาปรึกษาหลวงพ่อมนตรี ท่านจึงอธิบายให้ฟังว่า แต่เดิมนั้น
จิตของโยมผู้นี้ ได้ปฏิบัติจนเจริญพ้นถึงขั้นที่หมดความคิดแล้ว หากเจริญสติจากจุดนั้นมากๆเข้า ความที่รู้ว่างนั้นก็จะชัดเจนขึ้นละเอียดขึ้นตามลำดับ ผู้ภาวนาที่เจริญถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องกลับไปกำหนดดูรูปนามให้เห็นไตรลักษณ์ใหม่ ซึ่งเป็นเพียงกระบวนการหนึ่ง ยังเป็นการใช้อามิส เหมาะกับผู้ภาวนาซึ่งจิตยังดื้อ ต้องการราวเกาะอยู่ในช่วงแรกเท่านั้น ไม่ใช่หนทางเข้าถึงมรรคผลนิพพานโดยตรงอย่างที่สอนกัน
๖. โยมขอลูกประคำ
ท่านเมตตาบอกอย่างอารมณ์ดีว่า ไม่กลัวคุณไสยเหรอ เห็นว่าเค้าเอาไปรดน้ำมนต์ หรือไม่ก็ไปเผาทำลายกัน ท่านเล่าว่าลูกประคำนี้ท่านได้มาจากหลวงปู่ฟัก ซึ่งท่านเป็นพระสุปฏิปันโนองค์หนึ่ง จุดประสงค์ของท่านที่ทำลูกประคำนี้ไม่ใช่เอาไว้เป็นเครื่องลางของขลังอะไรหรอก ท่านให้มาเพื่อเจริญสติ
ทางสวนพุธธรรมก็พยายามบอกกล่าวว่า ถ้าใครไม่อยากได้แล้วอย่าเอาไปเผาทำลาย เพราะเป็นเจตนาอันบริสุทธิ์ของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่บริสุทธิ์แล้ว จะไม่เป็นผลดีต่อผู้ทำลายหรือผู้สั่งให้ทำลาย ควรส่งคืน เพื่อที่จะให้ญาติโยมที่ต้องการจริงๆนำไปภาวนา ถ้าใครไม่กลัวคุณไสยก็เอาไปท่านมีอยู่ตรงนี้เส้นนึง
๗. พระอาคันตุกะรูปหนึ่งท่านได้กล่าวขึ้นว่า เห็นตอนนี้ หลวงพ่อทุย และ หลวงพ่อแบน ก็เริ่มออกมาบอกกล่าวญาติโยมถึงการปฏิบัติที่ถูกต้องแล้ว
ท่านเมตตาบอกว่า ท่านมิได้ต้องการโจมตี สำนักใด หรือการปฏิบัติของใคร ท่านแค่ต้องการคลายความสงสัย และชี้แนะการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ญาติโยมเท่านั้น
๘. พระอาคันตุกะรูปหนึ่งท่านได้เอ่ยขึ้นว่า หลวงพ่อเป็นศิษย์องค์หนึ่งที่สนิทกับหลวงปู่ดูลย์มาก อยากให้หลวงพ่อเล่าว่าเป็นยังไงบ้าง
ท่านรีบกล่าวเลยว่าท่านพูดอย่างนั้นไม่ถูก เพราะการเอ่ยว่าท่านเป็นศิษย์ที่สนิทกับหลวงปู่ดูลย์นั้น ท่านมิอาจเอื้อม เป็นเพียงแต่ท่านได้รับความเมตตาจากหลวงปู่บ้างเท่านั้นเอง และท่านก็ได้เล่าประวัติเล็กๆน้อย สมัยที่ท่านยังศึกษาธรรมกับหลวงปู่ดูลย์ ตอนท่านยังเป็นฆราวาส และ ตอนที่ท่านได้อยู่ในเพศบรรพชิต ว่าได้มีโอกาสได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ดูลย์ โดยที่หลวงปู่ดูลย์ได้รับนิมนต์ท่านไปร่วมงาน ณ วัดป่าสาลวัน สมัยหลวงพ่อพุธยังอยู่ ซึ่งหลวงปู่ดูลย์ท่านไม่เคยรับนิมนต์ใครเลยมาเป็นสิบๆปี ท่านก็ได้ให้ความเมตตากับหลวงพ่อมนตรีเป็นอันมาก และเมื่อถึงวัดป่าสาลวัน ซึ่งปกติพระผู้ใหญ่นั้นจะเข้าจำวัดที่กุฏิใหญ่ แต่หลวงปู่ดูลย์ท่านเลือกที่จะพำนักในกุฏิของหลวงพ่อมนตรีถึง 7 วัน ซึ่งท่านก็อุปัฏฐากหลวงปู่สุดความสามารถ
ท่านยังเมมตาเล่าถึงวิธีการสอนของหลวงปู่ดูลย์ ว่าท่านจะสอนสั้นๆ แล้วให้เราไปฝึกกันด้วยตนเอง เพื่อจะได้พึ่งตนเองได้ ซึ่งตามที่ผู้เขียนสังเกต หลวงพ่อมนตรีท่านก็ดำเนินตามแนวทางของหลวงปู่ดูลย์ โดยท่านเน้นย้ำว่า ถ้าท่านบอกสภาวะใดๆ ที่ยังไม่เกิดกับโยม มันจะเป็นสัญญาไปปรุงแต่งให้เป็นอย่างนั้นๆได้ ซึ่งเป็นอันตรายแก่การปฏิบัติ
เมื่อท่านเล่าจบก็นำความอิ่มเอิบใจมาสู่ญาติโยมที่นั่งฟังอยู่เป็นอันมาก
๙. โยมถามว่าหลวงพ่อรู้เรื่องเว็บ antiwimutti หรือไม่
ท่านเมตตาตอบว่า ท่านไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเว็บนั้นเลย ซึ่งก็ตรงกับคำประกาศของทางเว็บนั้นที่ท่านได้รับทราบมา ว่าทางเว็บได้ลงไว้ว่า ทีมงานเป็นเพียงผู้ที่เคยปฏิบัติอยู่ในสำนักนั้ัน และไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับ สวนพุทธธรรม, พระรูปไหน หรือ กรรมการที่ลาออกไป ซึ่งการที่เขาเขียนอย่างนี้ก็นับว่ามีความเป็นลูกผู้ชายอยู่
เท่าที่หนึ่งในทีมงานได้เข้ารวมการฟังครั้งนี้ จึงขอสรุปให้ทุกๆท่านได้ อ่านและได้พิจารณากันเอง
หมายเหตุ
๑. ทำไมทางเว็บถึงไม่เอาไฟล์เสียงหรือแกะคำพูดคำต่อคำของหลวงพ่อมนตรี
ตอบ. หลวงพ่อมนตรีท่านขอไว้ว่าอย่าได้นำไปแกะเทปเลย (มีโยมท่านหนึ่งได้เอ่ยขออนุญาติท่าน) ท่านให้เหตุผลว่ามันไม่งาม เพราะครูบาอาจารย์ยังอยู่
ซึ่งก็เป็นเหตุผลเดียวกับ หลวงพ่อท่านนึงทางชัยภูมิที่หลวงตายังกล่าวชม เมื่อมีคนถามว่าทำไมหลวงพ่อท่านถึงไม่เทศน์ ท่านให้เหตุผลว่าครูบาอาจารย์ยังอยู่ ซึ่งอันนี้ทางผู้เขียนคิดว่า อยู่ที่ปฏิปทาของท่านนั้นๆ ว่าเห็นสมควรอย่างไร
๒. ทางผู้เขียนได้เคยเข้าไปกราบหลวงพ่อทางชัยภูมิท่านนั้น ถามถึงการปฏิบัติว่า ควรทำอย่างไร ตอนแรกท่านบอกว่า ก็ “พุทโธ”สิ พอทางผู้เขียนได้ถามต่อว่า ดูจิตได้ไหมครับ ท่านได้เมตตาตอบว่า “ได้” “แต่อย่าเผลอแล้วกัน” “ให้ย้อนกลับมาดูที่ตัวจิต ย้อนมาที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้า” ท่านกล่าวพลางชี้มาที่กลางหน้าอก ซึ่งก็เหมือนกับหลวงพ่อมนตรี ท่านกล่าว
๓. หลวงพ่อมนตรีเป็นครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์สำคัญอีกองค์หนึ่งที่กรุณาชี้แจงในหลักการปฏิบัติอันถูกต้อง นอกเหนือจากหลวงพ่อสงบ และครูบาอาจารย์พระป่าอีกหลายๆรูป
๔. ทางทีมงานอยากกล่าวเตือนว่า บางคำสอนนั้นหากเราฟังเผินๆ หรือ ฟังบางจุด โดยไม่ได้นำพามาปฏิบัติ จริงๆจังๆนั้น อาจจะดูเหมือนกัน ต่อเมื่อได้นำพามาปฏิบัติ โดยมีกัลยาณมิตรที่รู้จริงนั้น จะเห็นได้ชัดว่ามีความแตกต่างอย่างมหาศาล ขอให้ท่านทั้งหลายจงพิจารณา เพื่อนำพาไปปฏิบัติ ตามสมควรเถิด
๕. ประกาศ และ อีเมลล์ทั้ง 3 ฉบับขอได้ที่ kraisorn9945@hotmail.com
๖. ฟังการแอบอ้าง ของ พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช ได้ที่
และอีกหลายๆไฟล์ได้ที่