อีเมลล์ฉบับที่ ๓
จากคุณไกรศร ผู้นำสารจากหลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร
หมายเหตุ: ทางเว็บ antiwimutti มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับสวนพุทธธรรมป่าละอู
หรือ หลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร แต่อย่างใด เพียงแต่นำอีเมลล์มาเผยแพร่เท่านั้น
ขอคําชี้แจงเรื่องนี้ด้วยครับ
๒.๒ “. . . เมื่อหลวงพ่อปราโมทย์เดินทางไปถึงสวนพุทธธรรม ก็พบว่าหลวงพ่อมนตรีมีบัญชาให้พระหลายรูปมารอต้อนรับที่ลาน จอดรถ แล้วนําขึ้นไปที่ศาลาหินอ่อนบนเขา ซึ่งในขณะนั้นมีญาติโยมนั่งอยู่หลายคน (พร้อมจะเป็นพยานในเรื่องนี้ได้) และเมื่อ หลวงพ่อปราโมทย์กราบถวายสักการะและเรียกท่านว่า “พระอาจารย์” ท่านก็ให้เรียกใหม่ว่า “หลวงพี่” หลวงพ่อปราโมทย์จึง กราบเรียนถามว่า “หลวงพี่จะให้ผมไปอยู่ที่ไหน” ท่านตอบทันทีว่า “ให้ไปอยู่ชลบุรี” หลวงพ่อปราโมทย์ก็รับว่าจะไปอยู่ตามนั้น ท่านก็มอบให้หญิงนั้นเป็นแกนกลางในการก่อสร้าง โดยบอกญาติโยมในที่นั้น และบอกในเวลาต่อมาอีกหลายวาระ ให้ไปช่วยกันก่อสร้าง ซึ่งเรื่องนี้มีพยานบุคคลเป็นจํานวนมาก . . .”
สวัสดีครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเพียงเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องโกหกที่ใจความสําคัญทั้งหมดครับ
- ผมเองอยู่ในเหตุการณ์ทั้งก่อนหน้า ทั้งในวันท่านทั้งสองพบกัน และหลังจากวันนั้น จึงเป็นหนึ่งในพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ครบถ้วนที่สุดคนหนึ่ง
- มีการเตรียมต้อนรับจริง เพราะมีการแจ้งมาก่อน 2-3 วัน และแจ้งกําหนดมาตลอดทางทุกๆ 10-20 นาที
- การต้อนรับลักษณะนี้เป็นธรรมเนียมธรรมดาของพระป่าในการต้อนรับพระอาคันตุกะที่เป็นพระผู้ใหญ่หรือเป็นที่รู้จัก
- -ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า หลวงพ่อปราโมทย์ไม่ทราบธรรมเนียมดี จึงนํามาแสดงในลักษณะเหมือนกับว่า ได้รับการยอมรับเป็นพิเศษจากหลวงพ่อมนตรี
- หลวงพ่อปราโมทย์เองท่านทราบดีอยู่แล้วว่าจะไปสร้างที่ชลบุรี เพราะมีการแจ้งมาก่อน 2-3 วันแล้ว
- เรียกว่ามีการตกลงกันเองภายในแล้ว จึงจะมาจัดฉากยกให้ดูเหมือนหลวงพ่อมนตรีเป็นผู้ดําริ เป็นผู้เลือกสถานที่หรือผู้ก่อสร้างให้
- ผมได้เรียนถามหลวงพ่อมนตรีเพิ่มเติมว่ามีถามเรื่องจะให้ไปอยู่ไหนไหม ท่านบอกไม่มี (เพราะคนที่อยู่ห่างออกไปนิด จะไม่ได้ยิน)
- ไม่มีเหตุผลเลยที่จะถาม ในเมื่อตกลงกันเองแล้ว และแจ้งมาแล้วว่าจะสร้างที่ไปชลบุรีก่อนมา
- ไม่มีเหตุผลเลยที่จะถาม ในเมื่อคุณฐิตินาถเป็นคณะเดียวที่จะพามา คุณฐิตินาถคือผู้ที่จะไปสร้างที่ชลบุรี
- กล่าวคือ ท่านเลือกกันในสวนโพธิ์ฯมาแล้วครับ ว่าจะให้คุณฐิตินาถสร้าง และสร้างที่ไหน จึงไม่เอาคณะอื่นมา
- -ถ้าจะมาให้หลวงพ่อมนตรีเลือกสถานที่หรือคนสร้างให้จริง ก็ควรต้องมากันทุกคณะเพื่อมาฟังการตัดสินครับ หากมาไม่ครบหลวงพ่อมนตรีจะตัดสินให้ได้อย่างไร
- พอขึ้นศาลา ทางคณะก็ถามหลวงพ่อมนตรีว่า ควรเป็นที่ดินแบบใด (เข้าใจว่า ขณะนั้นคุณฐิตินาถยังไม่มีที่ดิน) ท่านก็บอกว่า 50 ไร่.... ไม่ควรสร้างกุฏิมากเพราะดูแลลําบาก ฯลฯ ซึ่งเป็นคําตอบปกติ ซึ่งท่านมักใช้แนะนําพระสงฆ์หลายๆสํานักที่มาปรึกษาท่านเป็นประจํา
- ตรงนี้เองที่มีลูกศิษย์ที่ตามมาวันนั้น ได้ยินเรื่องเพียงช่วงนี้ จึงพยายามนําไปพูดยืนยันว่าได้ยินหลวงพ่อมนตรีพูดเรื่อง 50 ไร่ อาจด้วยเข้าใจผิดว่าหลวงพ่อมนตรีเลือกให้จริงๆ
- หลวงพ่อมนตรีกล่าวจริงครับเรื่อง 50 ไร่ แต่เป็นคําแนะนํากลางๆ เพราะทราบมาก่อนแล้วว่าหลวงพ่อปราโมทย์ เลือกคุณฐิตินาถ และเลือกจะไปที่ชลบุรี เพราะแจ้งมาก่อนหน้าแล้วหลายวัน
- ผมได้พยายามเตือนผู้ที่ทราบเรื่องนี้เพียงส่วนเดียว แล้วพยายามนําไปพูดยืนยันให้คนหลงเข้าใจผิดกันแล้ว แต่เขาไม่เชื่อ ถึงตอนนี้จึงเกรงว่าคงจะเป็นอกุศลกรรมหนักของผู้พูดไป
- มีจุดสําคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อใกล้จะจบการสนทนา หลวงพ่อปราโมทย์ได้พยายามขอถ่ายรูปคู่กับหลวงพ่อมนตรีซ้ำๆ 1-2 ครั้ง โดยให้เหตุผลว่า "เอาไว้กันพระป่ารังแก"
- หลวงพ่อท่านลุกหนีทันที ไม่อนุญาต มาทราบตอนหลังจากท่านว่า ท่านไม่อนุญาตเพราะทราบก่อนแล้วว่า จะถูกนําไปใช้เป็นเครื่องมือนําไปแอบอ้างในภายหน้า
- คําว่า "เอาไว้กันพระป่ารังแก" ในเหตุการณ์นั้นมีพยานรู้เห็นมากมาย และภายหลังยังนํามาพูดด้วยความสงสัยหลายคน
- มีคนเข้าใจว่า ท่านไม่เคยให้ใครถ่ายรูปเลย ความจริงก็คือ ท่านจะให้ในบางโอกาสที่เห็นควรเท่านั้น คนในสวนพุทธธรรมหรือคนนอก มีรูปท่านกันพอสมควรครับ ผมเองและหลายๆคนก็มีรูปถ่ายคู่กับท่าน ครูบาลูกศิษย์ที่อยู่ที่นั่นก็มีรูปถ่ายกับท่านอยู่ทุกปี
- หากหลวงพ่อมนตรีท่านเป็นผู้ดําริ หรือสนับสนุนหลวงพ่อปราโมทย์ขนาดยอมกําหนดที่สร้างวัดให้ ป่านนี้ท่านคงมีรูปถ่ายคู่กันไปแล้วครับ
- จนบัดนี้ ก็จะสังเกตเห็นว่า หลวงพ่อมนตรีท่านไม่เคยยอมถ่ายรูปคู่กับหลวงพ่อปราโมทย์แม้แต่รูปเดียว ทั้งๆที่หลวงพ่อปราโมทย์พยายามอ้างถึงความสัมพันธ์มานานนับสิบๆปีแล้ว
- หลวงพ่อมนตรีท่านไม่ยอมไปเปิดสวนสันติธรรม เพราะด้วยเหตุผลเดียวกับรูปถ่ายครับ คือท่านไม่อยากมีความยุ่งเกี่ยวใดๆ และทราบมานานแล้วว่า หากไป ก็จะตกเป็นเป้าหมายให้ถูกแอบอ้างอีก
- เป็นที่น่าสังเกตว่า หากเป็นดําริท่านจริง หากท่านสนับสนุนจริงแม้แต่นิดเดียวอย่างที่ถูกอ้าง ท่านก็คงสละเวลาไปแล้วครับ...
- ท่านยังเคยสละเวลาไปอีกมากมายหลายที่ในเวลานั้น เช่น เยี่ยมศิษย์ที่เขาสวนหลวง เยี่ยมกลุ่มศิษย์ฆราวาสที่ลพบุรี เยี่ยมพระอาจารย์ท่านอื่นที่ปราณบุรี เยี่ยมสหธรรมิกที่จังหวัดไกลๆ ไปนมัสการหลวงปู่ก้าน ฯลฯ ไม่ได้เก็บตัวอยู่แต่เฉพาะในสวนพุทธธรรมอย่างที่เข้าใจกัน
- เป็นที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า หลวงพ่อมนตรีท่านไม่เคยยอมเดินทางไปที่สวนโพธิญาณ หรือสวนสันติธรรมเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนถึงปัจจุบัน
สรุปอย่างตรงไปตรงมา และไม่เกรงใจก็คือ ....
- ประเด็นเรื่องการสร้างสวนสันติธรรม ซึ่งมีใจความสําคัญคือ หลวงพ่อมนตรีท่านดําริ สนับสนุน หรือกําหนดสถานที่ให้นั้น เป็นเรื่อง โกหกและแอบอ้างเท็จทั้งหมด
- เรื่องนี้เหมือนกับเรื่องแอบอ้างอื่นๆอีกหลายๆเรื่องครับ กรณีนี้มีการตกลงกันมา 2 ขั้นตอน
- เมื่ออยากจะไปสร้างที่ใหม่ ก็มีการแจ้งมาว่าจะไปสร้างนะ พอหลวงพ่อมนตรีท่านรับทราบ ก็ไปเขียนและอ้างกับทุกคนว่า ท่านเป็นต้นคิดและเร่งเร้า
- พอตกลงกันได้ว่าจะให้ใครสร้าง จะสร้างที่ไหน ก็แจ้งหลวงพ่อมนตรีท่านก่อน แล้วจัดพิธีมาหาท่าน พอท่านรับทราบ ก็ไปอ้างว่า ท่านเลือกที่ให้
- เหตุผลที่จะไปสร้างใหม่ตอนนั้น หลวงพ่อปราโมทย์แจ้งมาว่า เป็นเพราะได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากวัดข้างๆแกล้ง มีการเปิดเพลงเสียงดังจนแก้วตก ฯลฯ
- เหตุผลที่ท่านแอบอ้างหลวงพ่อมนตรี ผมไม่อาจทราบได้ อาจเพื่อเป็นคําอธิบายที่ดีให้ญาติโยมทางท่านฟังว่า ทําไมต้องย้ายที่ใหม่ ทั้งๆที่มีที่เก่าอยู่แล้ว จะได้เต็มใจมาช่วยกันสร้าง หรือ ฯลฯ
- พอประกาศสวนพุทธธรรมออกมา ก็มีการลบ "กว่าจะเป็นสวนสันติธรรม" ออกไปทันที แล้วตอนหลังเพิ่มการเขียนออกมาในประกาศ เปิดทางไว้อ้างว่าคุณฐิตินาถอาจลวงท่านเรื่องดําริเริ่มสร้าง
- ตรงนี้ค้านกับ "กว่าจะเป็นสวนสันติธรรม" ที่ระบุว่าหลวงพ่อมนตรีท่านดําริ จึงเป็นการหาเหตุบิดพริ้วหาทางออกจากเรื่องโกหกเรื่องนี้ในยามจวนตัวไปได้ครึ่งหนึ่ง โดยอ้างว่าเข้าใจผิด
- ความไม่แนบเนียนอยู่ที่ ใครกัน จะเข้าใจผิดขนาดย้ายวัดทั้งวัด ผ่านคําอ้างของผู้หญิงคนเดียว โดยไม่สอบถามให้แน่ใจจากต้นทางโดยตรงเลย
- หากเป็นเราอยู่บ้านดีๆ แล้วมีน้องมารบเร้าบอกว่า คุณลุงฝากให้ย้ายไปสร้างบ้านใหม่ เราจะเริ่มเตรียมการย้ายกันเลย และปรึกษาหาคณะมาสร้างกันเป็นเดือนๆ โดยไม่โทรศัพท์ถามเหตุผลจากคุณลุงสักครั้งไหมครับ?
- ที่ไม่มีการถาม เพราะหลวงพ่อปราโมทย์ท่านทราบอยู่ตั้งแต่ต้นว่า ผู้ที่ดําริอยากจะย้ายวัดไปสร้างใหม่นั้น คือตัวท่านเอง
- เรื่องนี้คนทั่วๆไปฟังเผินๆ ก็อาจถูกลวงเอาได้ ถ้าลืมนึกถึงหลักความจริงว่า เรื่องใหญ่ขนาดย้ายวัด หากท่านได้พบหน้ากัน สนทนาเพียงไม่กี่คํา ความก็คงแตกแล้ว เช่น "ได้ทราบว่าหลวงพี่จะให้ผมย้ายวัด..."
- อีกข้อที่น่าสนใจมากก็คือ หากจะอ้างว่าคุณฐิตินาถเป็นคนลวงท่านว่าหลวงพ่อมนตรีดําริเรื่องให้สร้างวัดใหม่นั้น .... หลวงพ่อปราโมทย์ท่านมาทราบเมื่อไรครับว่าถูกลวง ?
- ท่านคงไม่ได้เพิ่งมาทราบตอนมีประกาศสวนพุทธธรรมในเดือนพฤศจิกายนแน่ คนเรานั้น ความสัมพันธ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ท่านย่อมทราบดีอยู่แก่ใจมาตลอด คงไม่ต้องรอให้มีประกาศสวนพุทธธรรมมาเตือนว่าความจริงไม่รู้จักกัน ไม่เคยคุ้นเคยกันขนาดจะมาบัญชาให้ย้ายวัดแทนกันได้
- ถ้าท่านทราบก่อนหน้านั้น หรือทราบอยู่แก่ใจตั้งแต่ตอนเขียน ทําไมจึงเพิ่งมาถอดเรื่อง "กว่าจะเป็นสวนสันติธรรม" ออกจากเว็บวิมุตติในเดือนพฤศจิกายน 2552 จงใจปล่อยให้เอกสารเท็จแสดงต่อสาธารณะชนอยู่นานเป็นปี
- เพราะเมื่อมีประกาศสวนพุทธธรรมออกมา การแอบอ้างจึงทําต่อไปไม่ได้ ท่านจึงจําเป็นต้องสร้างเรื่องใหม่ขึ้นมาว่า โดนคุณฐิตินาถและน้องสาวลวงเอา
- ประกาศที่เขียนว่า ถอดเอกสารออกจากเว็บวิมุตติเพราะเคารพหลวงพ่อมนตรีนั้น จึงเป็นเรื่องโกหกอีก เพราะจะกล่าวอย่างนี้ได้ ต้องหมายความว่า ข้อมูลในนั้นต้องถูกต้องทุกอย่าง แต่ที่ยอมถอดก็เพราะด้วยความเคารพ
- แต่กรณีนี้ จําเป็นต้องถอดเพราะมหาชนกําลังจะทราบความจริงที่จะแดงออกมา เมื่อมาประกาศใหม่ จึงเปลี่ยนจากเดิม "เป็นดําริของหลวงพ่อมนตรี" โดยเขียนเสียใหม่ว่า "ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นคํากล่าวของหลวงพ่อมนตรีหรือไม่"
- ท่านมาพลาดที่ยังเหลือเรื่องชลบุรีเอาไว้ โดยลืมว่า หากเรื่องจริงคือหลวงพ่อมนตรีท่านเป็นผู้เลือกสถานที่หรือคนสร้างวัดให้จริง และวันนั้นเป็นวันตัดสิน ทําไมวันนั้นหลวงพ่อปราโมทย์จึงไม่พยายามจัดทุกคณะมาฟังการตัดสิน ทําไมจึงจัดมากันคณะเดียว และที่สําคัญที่สุดก็คือหลวงพ่อมนตรีท่านจะตัดสินให้ได้อย่างไร โดยไม่ถามหาคณะอื่นๆให้มาพร้อมกัน ก่อนตัดสิน
- หากจะเปลี่ยนเรื่องใหม่ออกเป็นว่า หลวงพ่อมนตรีเลือกให้ก่อนหน้านั้น จึงนําไปคณะเดียวเพราะทราบผลอยู่แล้ว คําชี้แจงสวนสันติธรรม ฉบับที่ 3 ก็คงกลายเป็นเรื่องโกหก ต้องเขียนใหม่อีก
- และหากอยากจะออกในแนวว่า ท่านทั้งสองรู้กันมา ก็จะไปติดประเด็นที่เขียนเปิดมาแล้วว่าถูกคนกลางลวง คําชี้แจงสวนสันติ ธรรม ฉบับที่ 3 ก็จะกลายเป็นเรื่องโกหกอีก
- เฉพาะกรณีนี้กรณีเดียว หลักฐานก็มีประจักษ์พอแก่ตาอยู่แล้วครับ เพียงแต่บางท่านอาจไม่ทันสังเกตความขัดแย้งและเป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งหมู่คณะถูกลวงด้วยเรื่องมนต์ดํา คุณไสย ความขัดแย้ง ขบวนการ หรือ เกรงจะเป็นการปรามาสอยู่ ฯลฯ จึงมองข้ามสิ่งฟ้องความจริงที่ตกอยู่ตรงหน้าตลอดเวลา
- กรรมการบางท่านที่ลาออกก็เพราะเพิ่งทราบความจริงหลายๆเรื่องเหล่านี้ครับ กรณีนี้เป็นการจัดฉากลวงทั้งคนนอกคนใน
- เรื่องทั้งหมด เป็นการพยายามแต่งเรื่องแล้วเอามายกให้หลวงพ่อมนตรี ไม่ต่างอะไรกับนิยายยุทธภพ ที่มีคนไปแต่งเรื่องหลวงปู่สําคัญมากท่านหนึ่งรับรองหลวงพ่อปราโมทย์ว่าเป็น "สมณะที่ดี" ทั้งๆที่ท่านไม่ได้พูดเลยนั่นแหละครับ คืออาศัยมีสถานการณ์จริง อย่างหนึ่ง แต่แอบเอาเรื่องโกหกแต่งสวมเข้าไป ให้คนเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง
- ขอเรียนตรงๆว่าเรื่องที่แอบอ้างเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อมนตรีทั้งหมด เป็นเรื่องโกหกมดเท็จทั้งหมดครับ ไม่มีความจริงรองรับเลย ไม่ ว่าจะเป็นความสัมพันธ์สนิทสนมฉันท์ศิษย์พี่ศิษย์น้อง ซึ่งตอนหลังอธิบายไม่ได้จึงมาบ่ายเบนเป็นว่า เป็นศิษย์หลวงปู่ดูลย์เหมือนกัน หรือเรื่องพยากรณ์ท่านแม่ชีนุช ซึ่งกลายเป็นกรณีใหญ่จนกระทั่ง กรรมการหลายท่านของสวนสันติธรรม ต้องเดินทางมาถามความ จริงจากหลวงพ่อมนตรีครั้งหนึ่งแล้ว
- ที่ผ่านมาเป็นสิบปี หลวงพ่อมนตรีท่านไม่เคยออกมาปฏิเสธอย่างจริงจัง เพราะยังไม่เห็นว่าไม่มีอะไรรุนแรงมาก จนมามีเหตุจําเป็น ต้องชี้แจงภายหลัง
- ตรงนี้ อาจเป็นเหตุให้หลวงพ่อปราโมทย์เห็นว่าสามารถอ้างอะไรก็ได้โดยคิดว่าหลวงพ่อมนตรีท่านคงไม่ออกมาพูด จึงแต่งเรื่อง แอบอ้างออกมามากมายหลายอย่าง
- เทคนิคสําคัญในการพูดเรื่องโกหกของท่านที่ใช้เป็นประจํากับทุกเรื่อง คือการพูดเฉี่ยวๆ พูดวนไปมา ให้คนเขาเข้าใจไปเอง จะสื่ออะไร จะว่าใคร ก็ทําปรารภไปมาถึงเขา เดี๋ยวให้คนตีความเอง ถ้ายังไม่ได้ เดี๋ยววนมาใหม่จนได้ผล
- ถึงตอนนี้เรื่องโกหกมีมากมาย เต็มไปหมด คราวนี้พอจะกลบตรงไหน เดี๋ยวตรงอื่นก็โผล่
- ลองเป็นเรื่องโกหกแล้ว มันอธิบายบางอย่างได้ แต่ก็จะไปตันอย่างอื่นอีก ออกอย่างหนึ่งได้แนบเนียน ก็ไปติดอย่างอื่นอีก คนสังเกตุหน่อย เฉลียวใจหน่อย จะเห็นหมด
- ตอนนี้จวนตัวหลายอย่าง คนเริ่มจะสงสัยและถามหาความจริง ท่านและคณะจึงต้องไปพูดเรื่องขบวนการ คนบงการ บุคคลลึกลับ มนต์ดํา ขู่ศิษย์ว่าถ้าแม้แต่สงสัยท่านนิดเดียวจะภาวนาไม่ได้ ไม่บรรลุ ฯลฯ เพื่อเบี่ยงประเด็นไป กลัวคนไปถามเอาความจริงจาก หลวงพ่อสงบ หลวงพ่อมนตรี หลวงปู่ฟัก ฯลฯ เพราะเฉพาะ 10 ประกาศนั้น ใครสังเกตหน่อย จะพบเรื่องโกหกเต็มไปหมด
- กรณีแอบอ้างในลักษณะคล้ายๆกันนี้ ยังมีอีกหลายกรณี เช่น นําท่านอาจารย์ตั๋นที่บุญญาวาสมาแอบอ้างในลักษณะคล้ายๆกัน หรือกล่าวถึงหลวงพ่อทุยว่าเห็นด้วยกับคําสอนของท่าน หรือส่งครูบาอนุสรณ์มาเรียนกับท่าน ซึ่งมีคนไปกราบเรียนสอบถามท่านพระอาจารย์ทั้งสองมาก็พบว่าไม่จริงทั้งนั้น
ต้องขออภัยนะครับ ที่คราวนี้ชี้แจงมาค่อนข้างยาวและพูดตรงจนอาจดูรุนแรง เพราะที่ผ่านๆมา ผมถือว่าเป็นการชี้แจงเรื่องราวที่ไปเกี่ยวข้องกับผู้มีศีล แต่เมื่อเห็นว่าหลวงพ่อปราโมทย์ท่านไม่ได้ให้ความเคารพต่อศีลหรือความถูกต้องเสียแล้ว จึงเห็นควรที่จะพูดความจริงทุกอย่างออกมาโดยไม่ต้องอ้อมค้อมหรือถนอมน้ําใจกันนัก ไม่เช่นนั้น คนที่โชคร้ายและเสียหายที่สุด ก็คงจะเป็นคนที่เขายังศรัทธาและถูกลวงให้เข้าใจผิด และต้องทําหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นอกุศลหนักๆกันอย่างที่เห็นอยู่
ด้วยความนับถืออย่างสูง
ไกรศร