หลวงพ่อรังแกฉัน (พฤษภาคม ๒๕๕๓)


หลวงพ่อรังแกฉัน
จากศิษย์วงในอีกคน ที่เคยตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจัง
และ เคยเชื่อว่า มรรคผล ง่ายๆ สบายๆ มีจริง

        ผมเขียนเรื่องนี้ส่งมาที่เว็บไซต์ antiwimutti เพื่อหวังว่าญาติธรรมของผมหลายๆคน จะเอะใจอะไรขึ้นมาบ้าง 

        ผมปฏิบัติธรรมแนวดูจิตมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร จนกระทั่งหลวงพ่อเคยบอกว่าผมได้วิปัสสนาญาณขั้นนิพพิทาแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอิจฉาอะไรแม้กระทั่งในหมู่ลูกศิษย์หลวงพ่อเองเพราะหลวงพ่อพูดเองว่าตอนนี้คนที่เดินมาถึงตรงนี้มีนับไม่ถ้วนแล้ว (อะไรจะง่ายปานนั้น ให้ง่ายๆ ก็อาจจะถูกถอดได้ง่ายๆ)

        ผมเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติมาก ผมได้ไปกราบหลวงพ่อมนตรีอยู่เนืองๆ ท่านบอกให้ไปเดินจงกรมเช้าเย็น ประกอบกับการที่ผมเคยฟังซีดีที่คุณชมพู กนิษฐวิริยา ส่งการบ้าน ที่เค้าบอกว่าเดินเช้าเย็นเหมือนกัน ก็เลยทำให้ผมมีแรงบันดาลใจที่จะเดินแบบนั้นบ้าง 

        ในหมู่เพื่อนๆที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อด้วยกัน ผมไม่ค่อยมีเพื่อนร่วมปฏิบัติเท่าไหร่นัก เพราะส่วนใหญ่ที่ผมถาม แทบจะไม่มีคนปฏิบัติในรูปแบบเลย บอกว่า เดินแล้วเพ่งบ้าง นั่งสมาธิไม่ได้บ้าง ก็เลยฟังซีดีหลวงพ่อเอา โดยหวังว่าจะเกิดความก้าวหน้าในการปฏิบัติ แล้วเพื่อนๆผมพวกนี้ ก็ไม่ค่อยจะกล้าไปสู้หน้าหลวงพ่อมนตรีสักเท่าไหร่นัก เพราะทำไม่ได้อย่างที่ท่านแนะนำไว้

        ครั้งแรกที่หลวงพ่อบอกผมว่า สภาวะที่ผมเจอนั้นเป็นนิพพิทา ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นอะไรอย่างไร ท่านแค่บอกว่ามันรู้โดยไม่จงใจก็เลยเป็นนิพพิทา ซึ่งตอนนั้นผมยังภาวนาตามแนวหลวงพ่อไม่ค่อยเป็นด้วยซ้ำ อาการเบื่อๆอะไรก็ไม่มี

หลังจากหลวงพ่อบอกว่าผมได้นิพพิทาครั้งที่สอง ผมได้ไปกราบวัดครูบาอาจารย์รูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากทางภาคอีสาน ผมไปคุยอวดว่าผมได้นิพพิทาแล้ว พระที่นั่นท่านถามกลับมาว่า แล้วผมนั่งสมาธิอะไรยังไง ผมตอบท่านไปว่า ผมนั่งสมาธิไม่เป็นหรอกครับ ไอ้ที่ได้นิพพิทาเนี่ย ก็เพราะว่าอาจารย์ผมบอกว่าผมได้ ท่านคงงงๆว่ามันปฏิบัติมายังไงกันหว่า ธรรมะเป็นปัจจัตตังไม่ใช่หรือ แล้วทำไมผมได้นิพพิทาทั้งๆที่ผมไม่รู้สึกตัวเท่าไหร่นักว่ามันเป็นนิพพิทา วิปัสสนาญาณเป็นโลกุตรปัญญาไม่ใช่เหรอครับ มันเบื่อๆอยู่วันสองวันมันก็ไม่เบื่อแล้ว

 จนกระทั่งมีเรื่องราวโต้เถียงกันในพันทิบนี่แหละครับ ผมนี่แหละ เคยไปโต้เถียงกับพวกลูกศิษย์หลวงพ่อสงบ เพราะดูเหมือนมาหาเรื่องกัน กระทั่งไปออกปากล่วงเกินหลวงพ่อสงบท่านด้วย เพราะได้ทราบข่าว(ลวง)มาว่า หลวงพ่อสงบโดนไล่ออกมาจากวัดแล้ว หรือไม่ก็ หลวงพ่อสงบเป็นเพียงพระทำสมถะ เป็นปุถุชนธรรมดาๆ บ้าง โดยที่ผมไม่เคยไปเช็คมาก่อนเลยว่า หลวงตามหาบัวท่านชื่นชมหลวงพ่อสงบมากขนาดไหน

ผมอยากบอกหลายๆท่านว่า แต่ก่อนผมก็คิดเหมือนๆกับพวกท่านแหละครับ ปฏิบัติแล้วได้ผล ทุกข์น้อยลง ถึงขนาดเคยประกาศอัตตาไปว่า แม้แนวทางนี้จะไม่สามารถตัดกิเลสได้จริง ก็จะขอเชื่อมั่นและเดินในเส้นทางนี้ตลอดไปด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้สังเกตเลยว่า ที่ผ่านมาเราทุกข์น้อยลงนั้น เป็นเพราะเราวางทุกข์ได้จริงๆ หรือเป็นเพราะเราปลอบใจตัวเองไม่สนใจมัน

        จนกระทั่งประกาศสวนพุทธธรรมป่าละอู คุณดังตฤณก็ออกมาเขียนข้อเขียนที่ทำให้ผมเข้าใจไขว้เขว ว่า สาเหตุของประกาศก็เพราะลูกศิษย์ของทั้งสองวัดเข้าใจหลักคำสอนไม่เหมือนกัน แปลกดีนะครับ ลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันแท้ๆ แต่คำสอนและปฏิปทากลับไม่เหมือนกัน ผมไปกราบครูบาอาจารย์พระป่าที่ไหนๆมาท่านสอนเหมือนกันเกือบหมด

        แล้วพอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่เห็นเป็นไปตามที่คุณดังตฤณบอกสักนิด หลวงพ่อมนตรีท่านตั้งใจออกประกาศเพื่อตัดความสัมพันธ์กับสวนสันติธรรมอย่างสิ้นเชิง เนื้อความก็เป็นไปตามที่จดหมายสามฉบับของคุณไกรศรได้บอกเล่าไว้ 

        แล้วผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า มีมือดีที่ไหนมาปล่อยข่าวลือว่าหลวงพ่อมนตรีท่านถูกคุณไสย ซึ่งเรื่องนี้ไปสอดคล้องกับเทศนาที่หลวงพ่อเทศน์เมื่อวันที่ ๒๑ ม.ค. ๕๒ เลยครับ เรื่องนี้ลือกันไปทั่ว ฟอร์เวิร์ดเมลผมก็ได้รับ ซึ่งก็เป็นอันเดียวกับที่เว็บ antiwimutti เอามาแสดงให้ดู เนื่องจากหลวงพ่อเคยสอนไม่ให้ผมงมงายและเชื่อมงคลตื่นข่าว ผมได้ไปกราบเรียนถามเรื่องนี้กับหลวงพ่อมนตรีด้วยตัวเอง ก็ไม่เห็นจะพบว่าหลวงพ่อมนตรี หรือผู้คนในสวนพุทธธรรม จะมีอาการโดนคุณไสยแต่อย่างใด ผมก็ไปกินอาหารที่นั่นมา ก็ไม่เห็นผมจะรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติแต่อย่างใด

        ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็ได้เดินทางไปกราบหลวงพ่อสงบเพื่อไปกราบขอขมาท่านด้วย ที่ผมเคยพลั้งปากว่าท่านไป และนอกจากนี้ ท่านยังได้เมตตาสอนธรรมะผมมากมายว่า แท้จริงแล้ว หากไม่มีกำลังจากสมถะ จะไม่สามารถทำวิปัสสนาได้เลย ซึ่งตรงกับคำสอนของครูบาอาจารย์พระป่าทุกอย่าง

        ผมลองมานั่งทำสมาธิอย่างจริงๆจังๆดู ก็พบว่าเอาเข้าจริงๆ ผมก็ทำสมถะได้นี่นา ไอ้เรื่องเพ่งเรื่องซึมอะไร มันไม่เห็นจะเกี่ยวเลย  ผมจะบอกว่าที่มันเพ่งมากไปจนอึดอัด ก็เพราะเราไปอยากในผล อยากได้สมาธิ แต่ไม่อยากในเหตุ คือ อยู่กับคำบริกรรมเท่านั้น ส่วนเรื่องซึม ก็เกิดจากคนไม่เคยนั่งสมาธิเลย ภาวนาแรกๆ มันก็อึดอัดขัดข้องเป็นธรรมดาเพราะกิเลสมันต่้อต้าน ตั้งใจสู้มันไป เดี๋ยวอาการเหล่านี้มันก็หายไปหมดเอง

        แม้การทำให้ถึงขนาดจิตรวมใหญ่เป็นเรื่องยากแสนยาก แต่ผมมั่นใจว่าทางนี้เป็นทางที่ถูกต้องเพราะผมได้ตรวจสอบกับคำสอนของครูบาอาจารย์พระป่าหลายๆองค์แล้ว แม้กระทั่งประเด็นการทำสมาธิในชีวิตประจำวัน ผมเห็นครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อท่านสอนเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็น

หลวงพ่อพุธ -- ถ้าใครจะภาวนาพุทโธ ก็ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ภาวนาพุทโธได้ตลอดกาล ผู้ที่มีสติคล่องแคล่วว่องไวดีแล้วไม่ต้องภาวนาพุทโธ ให้กำหนดลมตามรู้การยืนเดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ แล้วสมาธิจะบังเกิดขึ้นมาเองไม่ต้องสงสัย

หลวงปู่เทสก์ -- เราบริกรรมพุทโธ ๆ ๆ ไปนาน ๆ เข้า จิตก็จะค่อยคลายความฟุ้งซ่าน แล้วจะค่อยรวมเข้ามาอยู่กับพุทโธ จิตจะตั้งมั่นเป็นอารมณ์อันเดียวกับพุทโธ จนเห็นจิตที่ว่าพุทโธอันใดจิตก็อันนั้นอยู่ตลอดทุกเมื่อ ไม่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถใดๆ ก็เห็นจิตใสแจ๋วอยู่กับพุทโธนั้น

หลวงตามหาบัว -- ถ้ายังจับจุดของความรู้ไม่ได้ ก็อย่าลืมคำบริกรรมภาวนา ไปที่ไหนอยู่ในท่าอิริยาบถใด คำบริกรรมให้ติดแนบกับจิต ให้จิตเกาะอยู่กับคำบริกรรมภาวนานั้นเสมอ เช่น พุทโธ ก็ตาม อัฏฐิ ก็ตาม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ บทใดก็ตาม ให้จิตติดอยู่กับบทนั้น ไม่ให้จิตไปทำงานอื่น

หลวงปู่ดูลย์ -- ให้จิตเป็นผู้บริกรรม พุทโธ พุทโธ อยู่นั่นแหละ เกิดครั้งเดียวเท่านั้น และ พุทโธ นั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา เราจะได้รู้จักว่า พุทโธ นั้น เป็นอย่างไร แล้วรู้เอง เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรมากมาย ภาวนาให้มากๆ เข้า ใน อิริยาบถ ๔ ยืน เดิน นั่ง นอน อะไรๆ ทำให้หมดเลย 

        ผมยิ่งค้นหาความจริง ผมก็เริ่มจะถึงบางอ้อแล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นอย่างไร สรุปแล้ว หลวงพ่อหลอกผมมาตลอดเหรอครับ

- หลอกว่าผมได้วิปัสสนาญาณขั้นสูง เดินมาครึ่งทางของความเป็นพระโสดาบันแล้ว
- หลอกว่าผมเป็นคนเมืองทำสมถะไม่ได้ 
- หลอกว่าหลวงพ่อสงบเป็นพระธรรมดา ถูกไล่ออกมา จนทำให้พลั้งปากไปล่วงเกินท่าน
- หลอกว่าสวนพุทธธรรมป่าละอูมีคุณไสย หลอกว่าหลวงพ่อมนตรีโดยคุณไสย
- พูดชักนำไปในทางที่ว่ากรรมฐานแนวทางอื่นๆไม่มีวิธีการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ต่างกับการดูจิตที่ดูในชีวิตประจำวันได้ แล้วการบริกรรมพุทโธตั้งแต่ตื่นจนหลับของพระป่าล่ะครับ
- หลอกให้ผมมองดูทุกข์แล้ววางมัน ทั้งๆที่ทุกข์นั้นมันยังอยู่ แต่วิธีการให้ "รู้" ทุกข์ของท่าน คือ การหลอกตัวเองว่าฉันไม่ทุกข์แล้ว หรือ เดี๋ยวทุกข์มันก็ผ่านไปเอง ซึ่งเป็นการช่วยผมได้แค่ตอนนั้น แต่ไม่สามารถช่วยให้ผมขจัดทุกข์ในระยะยาวได้เลย

        สำหรับคนอื่นๆที่อ่านๆกันมานี้ ผมใคร่ขอท่านทั้งหลายพิจารณาด้วย ธรรมะที่ท่านทั้งหลายเชื่อกันว่าเป็นของจริงนั้น ทำไมไม่มีครูบาอาจารย์ทั้งรุ่นก่อนรุ่นหลังยอมรับเลย ไอ้ที่เราฟังว่าท่านเห็นด้วยๆ ก็มีแต่ได้ยินได้ฟังมาจากหลวงพ่อปราโมทย์ทั้งนั้น ได้ลองเดินทางไปสอบถามท่านเหล่านั้นกันหรือยัง

        ถ้าท่านเริ่มเอะใจ แต่ยังมั่นใจในแนวทางปฏิบัติของท่าน ผมว่าอย่างน้อย ก็น่าจะระงับการช่วยเผยแผธรรมะของหลวงพ่อปราโมทย์ไปก่อน จนกว่าจะมีครูบาอาจารย์ออกมายอมรับจริงๆ ที่เขียนลงประกาศสวนสันติธรรมว่ามีครูบาอาจารย์ยอมรับนั้น ผมไม่เชื่อแล้วครับ เพราะหลวงพ่อหลอกผมมาหลายครั้งแล้ว

ธรรมะที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่าปิดกั้นมรรคผลนิพพาน ถ้าท่านทั้งหลายยังแจกต่อไป ทั้งๆที่ท่านยังเอะใจกันอยู่ มันจะเป็นบาปหรือบุญ ก็คิดกันเอาเองนะครับ

=======================================

การเอาคำโฆษณาว่า ง่ายๆ สบายๆ ดูเล่นๆ ทำเล่นๆ มาสอน มาปลูกฝังให้เป็นนิสัย จนกระทั่งเป็นอนุสัย ให้นองเนื่องไปกับจิตของลูกศิษย์นั้น ไม่ต่างอะไรกับนิทานเรื่อง พ่อแม่รังแกฉัน ที่เอาใจลูกจนลูกเสียคน เพราะอยากให้ลูกสบาย แต่การสอนของหลวงพ่อปราโมทย์นั้น
อาจจะร้ายกว่า พ่อแม่รังแกฉันหลายเท่านัก เพราะจิตดวงนี้คงหลงผิดไปหลายกัป

ทางเว็บขอขอบคุณที่ได้เขียนจดหมายมาเตือนสตินักภาวนาและนักเผยแพร่

จดหมายฉบับนี้ มีผู้ที่เห็นด้วยกับ Antiwimutti ส่งมาให้
ทางทีมงานได้ตรวจสอบถึงบุคคลหลายคนที่ถูกอ้างถึงในจดหมาย พบว่ามีตัวตนจริง และถูกต้องตามเนื้อความ จึงนำมาลงไว้ ณ ที่นี้
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศิษย์ลานธรรมเก่าๆ เพื่อนรวมงานที่องค์การโทรศัพท์ หรือ กรรมการที่ลาออกไป หรือที่ info@antiwimutti.net